ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

นักภาวนา
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58108
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 02 ต.ค. 2019, 05:23 ]
หัวข้อกระทู้:  นักภาวนา

"..คนเราเข้าใจผิด คิดว่าพอแก่แล้วจะสบาย ความจริงมีแต่ทุกข์ที่รออยู่ตลอดสาย พอแก่แล้วก็เจ็บนั่นเจ็บนี่ ยังอยากจะมาเกิดกันอีกเหรอ.."

ธรรมะคำสอน
หลวงปู่กวง โกสโล
วัดป่านาบุญ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่








พระพุทธเจ้าว่าธรรมะไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่สกนธ์กายของทุกคน ดูจิตใจของตนนี้ให้มันเห็นความจริงของมัน พระพุทธเจ้าว่า สกนธ์กายของเรานี้มันเป็นทุกข์ สกนธ์กายนี้ไม่เที่ยง ก้อนอันนี้ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ มันอยากจะเป็นไปอย่างใด ก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน กิริยาของมัน มันไม่ฟังคำเรา อยากแก่ มันก็แก่ไป อยากเจ็บ มันก็เจ็บไป อยากตาย มันก็ตายไป ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ของใคร ให้พิจารณาดูให้เห็นเป็นก้อนธรรม มันไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใครทั้งนั้น มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตา ตกอยู่ในไตรลักษณ์ เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็สมมติทั้งนั้น

หลวงปู่ขาว อนาลโย





"อายตนะทั้งหกมีไว้ใช้เพื่อให้เกิดความสุขแก่ปุถุชนก็จริงแล
แต่ท่านผู้มีบารมี ท่านได้บำเพ็ญมาสมควรที่จะได้ตรัสรู้
ท่านแลเห็นตรงกันข้าม คือเห็นว่าที่แท้นั้น
มันเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ นำเอาความทุกข์มาให้"

หลวงปู่ชา สุภทฺโท






อบรมจิตใจให้ดี

เพื่อจะได้เหินห่างจากความไม่ดี

อบรมจิตใจให้สงบ

เพื่อเหินห่างจากความวุ่นวาย

อบรมจิตใจของเราให้สะอาด

เพื่อพ้นจากความมัวหมอง

โอวาทธรรม หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
วัดป่าเขาน้อย อ.เมือง บุรีรัมย์






นักบวชต้องเจริญเมตตากัน ทางกาย
วาจา อย่าได้เบียดเบียนกัน ว่าไม่ดี
ไม่ชอบใจ คนนี้ไม่ดีคนโน้นไม่ดี
อย่างโน้นอย่างนี้ นี่แหละ...เบียดเบียนกันแล้ว ไม่ใช่ดีนักเป็นนักบวชชั้นเลวๆ
เป็นนักบวชที่ไปนรก
ไม่ใช่นักบวชที่จะไปสวรรค์นิพพาน
"นักบวชต้องมีพรหมวิหาร 4"
เป็นผู้รักใคร่ นักบวชมาจากทิศไหนๆ
ก็ดีด้วยกันหมด เหมือนกับเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกันอย่าเบียดเบียนกัน ทางวาจา คนมีศีล...มักจะเบียดเบียนกันทางวาจากันมาก เบียดเบียนกัน ตีกัน
ทะเลาะกัน นี่แหละ!!นรกทั้งนั้น....

โอวาทธรรม
หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก






นักภาวนาถ้าไม่สละตายแล้วก็ไม่เห็นล่ะ แล้วก็จะโทษว่าศาสนาไม่จริง ตนเองไม่จริงน่ะสิมันสำคัญ มีแต่เรื่องกิเลสเอาไปกิน ให้แก้ตนเอง มันไปทางราคะเราก็ต้องพิจารณาสิ ตั้งแต่ศีรษะลงมาหาพื้นเท้า ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไปหาศีรษะ แยกดูสิ ขาล่ะ ตาล่ะ ลองดึงตาออกมาดู อันไหนมันสวยมันงาม ลองพิจารณาดู ถ้าว่าหนังมันงาม ก็ลองเอามีดขูดหนังดูสิ ทั้งหมดในกายนี้ก็มีแต่หนังหุ้มอยู่นั่นล่ะ นอกนั้นมีแต่อสุภะหมด

ให้พิจารณาใคร่ครวญเข้าไป ทำยังไงมันจะแก้ได้ ตัวนี้ล่ะมันรุนแรงที่สุด มันไม่เป็นก็เดินอยู่อย่างนั้นล่ะเดินจงกรมน่ะ นั่งสมาธิก็นั่งเข้าไป เวลามันเป็นมันเป็นพรึ่บแป๊บเดียวนะ อย่างที่พ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ ถ้าเราไม่อยู่กับคำบริกรรมมันจะฟุ้งซ่านรำคาญ ให้พิจารณากาย พิจารณาเข้าๆ จิตรวมพรึ่บ เลยเป็นสมาธิ ท่านก็แสดงไว้หมด นี่ ปัญญาอบรมสมาธิ

หลวงปู่ลี กุสลธโร
๕ กรกฎาคม ๒๕๓๗

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/