วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 21:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2019, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


การเวียนว่ายตายเกิด
เราไม่ได้เกิดครั้งเดียว ตราบใดที่เรายังมีกิเลสอยู่ เรายังจะต้องเกิด จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตายต่อ
ถ้าชาตินี้ดีแล้ว ชาติต่อๆ ไปก็ต้องดี นี้เป็นสัจธรรมความจริง

พระอาจารย์ ชยสาโร






หลวงพ่อชาบอกว่า พุทโธ ผู้รู้
ไม่ได้เห็นอารมณ์ แต่อยู่กับผู้รู้
ตัณหา ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่ผู้รู้จะเห็นการเกิดดับของตัณหาได้
ตัณหาเห็นตัณหาไม่ได้

พระเทพญาณวิเทศ (โรเบิร์ต สุเมโธ)







"กิเลสคือ โลภะ โทสะ โมหะ
มันหมักหมมมาหลายภพหลายชาติ
ต้องคอยขัดคอยเกลา เพราะกิเลสเหมือนตาปู
ตีแฝก ตีลงแน่น แต่ก็ไม่เหลือวิสัย
ผู้สามารถที่ตั้งอกตั้งใจจะถอนตาปู
ถอนไม่หยุดไม่หย่อน ถอนไปถอนมา
...มันก็ออกสั้นเข้า ๆ มันก็ถอนขึ้นได้"

หลวงปู่ขาว อนาลโย






..ใจเป็นที่อยู่ของกิเลส..
...ใจเป็นที่อยู่ของธรรม..
...เบิ่งที่ใจ..ละที่ใจ..

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร








การทำความเพียรของผู้ตั้งใจจะข้ามโลก ไม่ขอเกิดมาแบกหามกองทุกข์นานาชนิดอีกต่อไป ต้องเป็นความเพียรชนิดเอาตายเข้าแลกกัน เฉพาะผมเองก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะ มิได้นึกว่าชีวิตจะยังเหลือเดนมาเลย เพราะความมุ่งมั่นต่อธรรมแดนหลุดพ้นมีระดับสูงเหนือชีวิตที่ครองตัวอยู่ การทำความเพียรทุกประโยคและทุกอิริยาบถได้ตั้งเข็มทิศไว้เหนือชีวิตทุกระยะ ไม่ยอมให้ความอาลัยเสียดายในชีวิตเข้ามากีดขวางในวงความเพียรเลย นอกจากความบีบบังคับของจิตที่เต็มไปด้วยความหวังต่อทางหลุดพ้นเท่านั้น เป็นผู้บงการแต่ผู้เดียวว่า ถ้าขันธ์ทนไม่ไหวจะแตกตายไปก็ขอให้แตกไป เราเคยตายมาแล้วจนเบื่อระอา ถ้าไม่ตายขอให้รู้ธรรมที่พระองค์รู้เห็น อย่างอื่นไม่ปรารถนาอยากรู้อยากเห็น เพราะเบื่อต่อการรู้เห็นมาเต็มประดาแล้ว บัดนี้เราอยากรู้เพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่เรารู้แล้วไม่ต้องกลับมาลุ่มหลงเกิดตายอีกต่อไป สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่งของเราในบัดนี้

พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)
จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








ทำบุญทั้งที_เอาให้แผ่นดินสะเทือน

ครูบาวงศ์_เล่าไว้ มีคนทำได้จริง
ไม่ต้องเป็นเศรษฐีก็ทำได้

เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเมตตาธรรมจากครูบาวงศ์ หรือครูบาชัยยะวงศา พระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งของแผ่นดินธรรม ครูบาวงศ์ ท่านเป็นศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน
ครูบาวงศ์ท่านมีเมตตามากโดยเฉพาะคนไทยและคนกระเหรี่ยงภาคเหนือตอนบนรู้จักท่านดี เรื่องที่ขอเมตตามาเล่าให้กำลังใจกันในวันนี้ชื่อเรื่องว่า
ทำบุญสองสลึง_ทำให้แผ่นดินไหว
ในอดีตกาล ล่วงมาแล้ว สมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนย์อยู่ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจศรัทธาปรารถนาจะถวายผ้ากฐินเป็นทาน จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมืองเพื่อเชิญชวนให้ชาวเมืองได้ร่วมทำบุญ
ในครั้งนี้
ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สองคนผัวเมีย
มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสองเกิดความศรัทธาปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจ
ที่จะร่วมถวายทาน ผ้ากฐิน ตกกลางคืนมา สองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะ เกิด อานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ เมื่อคิดอย่างนั้น ผู้เป็นผัวจึง ชวน เมีย ว่า พรุ่งนี้เช้า เราพากันไป เกี่ยว หญ้ามาขาย เอาเงินที่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง เรา ไป ทำบุญ มันจักได้บุญมาก ผู้เป็นเมียจึงตอบตกลง พอรุ่งเช้า ก็พากันถือเคียวเที่ยวเกี่ยวหญ้า กลางแดดร้อน ได้ หญ้า มาสามมัด จึงเอามาสาง เอามาล้าง เเล้ว มอบให้คนใช้นำไปขายให้คนเลี้ยงมา ได้เงินมา สามสลึง จึงมอบ ให้คนใช้ สลึงหนึ่ง ผัวเอา สลึงหนึ่ง เมียได้ สลึงหนึ่ง สองคนผัวเมีย ได้เงิน สอง สลึง แล้ว จึงพากันนำเงินนั้นมาชำระล้าง ด้วยน้ำอบน้ำหอม ตั้งจิตอธิษฐานยกเงินขึ้นเหนือหัว แล้วตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยความปิติยินดี แล้วคิดว่า นี่เเหละ! คือเงินที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เราจะได้บุญมาก!

จากนั้นสองคนผัวเมีย_มหาเศรษฐี จึงเดินทางไปที่บ้านของพระยาเจ้าเมือง พอไปถึงก็เดินเข้าไปในบ้าน ไปหยุดตรงที่เขาตั้งขัน รับบริจาคทานบุญกฐินไว้ เขาจึงพากัน หย่อนเงินลง "แก๊ก แก๊ก " แล้วก็เดิน ออกไป พอ พระยาเจ้าเมืองเห็นจึงเดินมาดูในขัน เห็น เงิน อยู่สองสลึง จึงเกิดโทสะโกรธขึ้น เป็นฟืนเป็นไฟ "ว่า ไอ้อี สองคนนี้ มัน เป็น ถึง มหาเศรษฐี มีข้าวของ ๘๘ โกฏิ มาตระหนี่ ดูถูกดูแคลนกู กูตั้งกองบุญกฐิน เอา เงิน มา ร่วม นิดเดียว จึง หยิบ เงิน ขว้างทิ้งลงพื้น กระเด็นไปตกข้างกำแพง
พอถึงเวลา พระยาเจ้าเมือง และบริวาร
ชาวบ้านชาวเมืองจึงพากัน แห่ผ้ากฐินเข้าไป
สู่อาราม เพื่อ จะ ถวาย พระพุทธเจ้า ครานั้นแผ่นดินไหวสนั่นไปทั่ว บังเกิดต้น กัลปพฤกษ์ งอกขึ้น ตรง ที่ เงิน สอง สลึง ตก อยู่ พระยาเจ้าเมืองดีใจ ว่า กูนี้ เป็นผู้มีบุญมาก ทำบุญกฐินแผ่นดินพอไหว ต้นไม้ กัลปพฤกษ์พองอก จึงวิ่งเข้าไปหมายจักหยิบเงินทองข้าวของที่ห้อยอยู่บนกิ่งกัลปพฤกษ์ แต่เข้าไม่ถึงเกิดร้อนขึ้น นัยตาแทบแตกใครก็เข้าไม่ถึงมีแต่สองคนผัวเมียมหาเศรษฐี เท่านั้นที่เข้าไปได้ และนำต้นกัลปพฤกษ์ มาวางบนฝ่ามือได้พอดี

เมื่อนั้น_องค์พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า..
"เหตุที่แผ่นดินไหว และ ต้นกัลปพฤกษ์ งอกขึ้นนั้น มิใช่ เพราะนาบุญ ของท่านพระยา
เจ้าเมือง เป็นเพราะ อานิสงส์ของสองคน
ผัวเมียมหาเศรษฐี นั่นแหละ"

คนเราอย่าได้นับประมาท ลาสา ดูถูก
ดูแคลน คนที่เขาทำบุญน้อยนิด เพราะเขา
อาจจะแลกด้วยชีวิตถึงจะได้ เงินนั้นมาทำบุญ เขาอาจจะได้อานิสงส์มากว่าเรา ที่มีเงินแสนเงินล้าน อีกก็ได้
บุญมิได้วัด_กันที่ค่าของ_ทรัพย์สินเงินทอง แต่ มัน อยู่ ที่กำลังใจ นั่นแหละ"
[บางที ชาวไร่ชาวนาที่ยากจน นำเงินน้อยนิด
ที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตนมา ทำบุญ อาจจะ ได้ อานิสงส์ มากกว่าคนรวยๆ ที่ได้เงินมาง่ายๆ เสียอีกเน้อ!]

ครูบาชัยยะวงศา​ [ครูบาวงศ์]









พระอาจารย์มั่นให้กำลังใจว่า
"น่าเสียดาย มันเสื่อมไปที่ไหนกันนา
เอาเถอะท่านอย่าเสียใจ จงพยายาม
ทำความเพียรเข้ามากๆ เดี๋ยวมันจะ
กลับมาอีกแน่ๆ มันไปเที่ยวเฉยๆ พอ
เราเร่งความเพียร มันก็กลับมาเอง
หนีจากเราไปไม่พ้น เพราะจิตเป็น
เหมือนสุนัขนั่นแลเจ้าของไปไหน
มันต้องติดตามเจ้าของไปจนได้ นี่
ถ้าเราเร่งความเพียรเข้าให้มาก จิต
ก็ต้องกลับมาเอง ไม่ต้องติดตามมัน
ให้เสียเวลา มันหนีไปไหนไม่พ้นเราแน่ๆ"
จงพยายามทำความเพียร..
"เข้าให้มากเชียว มันจะกลับมาใน
เร็วๆ นี้แล ไม่ต้องเสียใจให้มันได้ใจ
เดี๋ยวมันว่าเราคิดถึงมันมาก มันจะ
ไม่กลับมา จงปล่อยความคิดถึงมันเสีย
แล้วให้คิดถึงพุทโธติดๆ กัน อย่าลดละ
พอบริกรรมพุทโธถี่ยิบติดๆ กันเข้า
มันวิ่งกลับมาเอง คราวนี้แม้มันกลับมา
ก็อย่าปล่อยพุทโธ มันไม่มีอาหารกิน
เดี๋ยวมันก็วิ่งกลับมาหาเรา.. "
จงนึกพุทโธเพื่อเป็นอาหาร
"ของมันไว้มากๆ เมื่อมันกินอิ่มแล้ว
ต้องพักผ่อน เราจะสบายขณะที่
มันพักสงบตัวไม่วิ่งวุ่นขุ่นเคืองเที่ยว
หาไฟมาเผาเรา ทำจนไล่มันไม่ยอม
หนีไปจากเรา นั่นแลพอดีกับใจตัว
หิวโหยอาหารไม่มีวันอิ่มพอ ถ้า
อาหารพอกับมันแล้ว แม้ไล่หนีไปไหน
มันก็ไม่ยอมไป ทำอย่างนั้นแล จิตเรา
จะไม่ยอมเสื่อมต่อไป คือ ไม่เสื่อม..
เมื่ออาหาร คือ พุทโธ พอกับมัน จง
ทำตามแบบที่สอนนี้ ท่านจะได้
ไม่เสียใจ เพราะจิตเสื่อมแล้ว
เสื่อมเล่าอีกต่อไป"

หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน









“สำรวจถ้ำประจำตน”....ก็เข้าไปตรวจดูในถ้ำสิมันมีอะไร มันมีโครงกระดูก มีสันหลัง มีกระดูกหน้าอก แล้วมันก็โค้งใส่กัน แล้วมันก็มีเนื้อหุ้มอยู่ มีเส้นเอ็นดึงรัด มีหนังหุ้ม มีน้ำเลือด น้ำเหลือง แล้วมันก็มีอะไรเป็นขด ๆ อยู่ในถ้ำ ขั้วตับ ขั้วปอด ขั้วไต ขั้วอะไร ต่ออะไรมันอยู่ในถ้ำ

ถ้ำนี้มันถ้ำสกปรก เข้าไปดูถ้ำตัวเอง มันไม่น่าอยู่ และมันก็ไม่น่าดู แต่ทำไมถึงอยู่มาได้ ตั้งแต่ 1 วัน ถึงร้อยปี มันก็อยู่ด้วยความหลง อยู่ด้วยความไม่เห็น ถ้ามันเข้าไปเห็นสกปรกแล้ว มันก็ไม่เข้าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของ ๆ เราอีก มันจะไม่เอาอีกแล้ว มันก็จะเลิกกันเสียที มันก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในถ้ำที่มันอยู่มาประจำ ทุกวัน ๆ ต่อเมื่อมันเบื่อ มันก็จะหาทางหนีถ้ำ

ทางที่มันจะหนีก็ได้แก่ ปัญญาญาณก็จะมารู้สาเหตุของถ้ำ ถ้ำนี้ใครเป็นคนสร้าง และนายช่างซึ่งมันมาสร้างถ้ำอันนี้ขึ้นมันมาจากที่ไหน มันก็จะไปตามหาช่าง จนได้รู้จักว่าตัณหาเป็นนายช่างสร้างถ้ำนี้ขึ้นมา ตั้งแต่นี้ต่อไป กับนายช่างก็ขอให้เลิกกัน เลิกจากนายช่างคือเลิกจากตัณหา คือละกิเลส

เมื่อปัญญาญาณมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะไปละกันเอง ละกิเลสตัณหา เลิกจากกิเลสตัณหาแล้ว ก็ไม่ผูกพันกับนายช่างอีกแล้ว นั่นแหล่ะเขาเรียกว่าหลุดพ้น หรือเรียกว่าวิมุตติ ก็เมื่อมันหลุดพ้น ก็ทำลายนายช่างผู้มาสร้างถ้ำนี้ ถ้ำนี้ก็สิ้นสุดกันตรงนั้น แล้วก็จะไม่มีถ้ำที่จะไปอยู่อีกต่อไป ....”

หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก แสดงที่ศาลาขันตยาคมานุสรณ์ วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2541









ความมืดสูงสุด
คือ ความมืดของ “ผู้ไม่เห็นธรรม”

“เมื่อใด ในที่ใด มี "โมหะ" ที่นั้นก็เรียกว่า มีความมืดชนิดที่ทำให้เป็นคนตาบอด แต่ถ้าคนตาบอดไม่มีโมหะ ที่นั้นกลับมีแสงสว่าง คือกลายเป็นคนตาดีไป แม้ว่าจะเป็นคนตาบอดโดยกำเนิด แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเข้าใจ ก็ย่อมกลายเป็นคนมีแสงสว่างหรือมีตาดีไปได้ ดังนี้

เพราะฉะนั้น ความมืดหรือความสว่างนี้ ย่อมอยู่ที่"มีโมหะ" หรือ ไม่มีโมหะ

ที่ที่มืดที่สุดนั้น ก็คือที่ที่ถูกโมหะครอบงำ
เวลาที่มืดที่สุดนั้น ก็คือเวลาที่โมหะครอบงำ
เมื่อใดมี โมหะ คือ "ความหลง" ครอบงำคนเราแล้ว
เมื่อนั้นแหละ ชื่อว่า มีความมืดอันแท้จริง"

พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา "อันตมมุยหกถา" เมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ จาก หนังสือชุด ธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า "มาฆบูชาเทศนา"









“ โมหะ ” คือ สภาวะที่ไม่รู้ ทำจิตให้มืดบอด

“ โมหะ ” คือ สภาวะที่ไม่รู้ตามความเป็นจริงที่มีอยู่
ดังนั้น “โมหะ” จึงเป็นรากเหง้าแห่ง “อกุศลธรรม” ทั้งปวง อันเป็นเหตุให้สัตว์ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร

โมหะ คือ ความหลง ความหมายคือ การกระทำจิตให้มืดบอด โดยปิดบังฝ่ายดีไว้โดยสิ้นเชิง ประดุจการมืดมนของกลางคืน ที่ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ...

๑. วันแรม ๑๔ ค่ำ
๒. เวลาเที่ยงคืน
๓. ป่ารกชัฏ
๔. เมฆทึบบังพระจันทร์ ”

พระญาณธชะ
จากหนังสือ “ปรมัตถทีปนี”









ผู้ถาม : กรรมเวรที่มีติดตัวมาในชาตินี้จะสามารถชดใช้ให้หมดสิ้นในชาติหนึ่ง หรือไม่? ถ้าไม่สร้างกรรมเวรใหม่และมีวิธีใดจะชดใช้ให้หมดสิ้นไปโดยเร็วในชาติหนึ่งๆ ?

หลวงปู่ : โอ้!!ญาติโยม เรื่องกรรมเรื่องเวรเนี่ย ปัญหานี้อาตมาไม่อยากให้คิดจะดีกว่า อยากให้มุ่งสร้างความดีเลยปฏิบัติดีไปเลย กรรมเวรที่สร้างมาทุกภพทุกชาตินี้มีมากมายก่ายกองอย่าไปคิดถึงมัน ครูบาอาจารย์ทุกองค์เนี่ย อาตมาถามท่าน ถ้าเราว่าจะใช้ให้มันหมดเนี่ยมันเล่นงานเราทีเดียวเลยนะโยม เล่นงานให้เจ็บป่วยเลย มันรุมใส่เลย เหมือนเราปฏิบัติเร่งเดินจงกรม
เร่งนั่งภาวนา เร่งปฏิบัติ ขันธ์มารในร่างกายก็มีการเจ็บป่วยเป็นหวัดเป็นไอเป็นไข้รบกวน มันไม่อยากให้เราพ้นทุกข์ นี่ก็อย่างหนึ่งมันเป็นมาร ทีนี้ถ้าเรานึกว่ากรรมเวรทั้งหลายทุกชาติที่ทำมาขอจะใช้ ให้มันหมดชาตินี้ มันรุมจนโยมลุกไม่ได้แน่ อย่าไปคิดเลยเรื่องอย่างนี้ รีบพากันทำความดีไปเลย กรรมที่ไม่ดีที่มันจองเวรจองผลาญกัน ที่มันผูกเวรผูกพยาบาท หยุดเลยหยุดเลย พระพุทธเจ้าจึงสอน เวรย่อมไม่ระงับด้วยการผูกเวรเอาไว้


จะให้มันสิ้นหมดทุกอย่างนี่ มันไม่สิ้นนะโยมนะ เพราะมันเกิด
มาไม่รู้กี่โกฏิกี่ล้านชาติ สร้างทั้งความดีและความชั่ว ถ้าไม่ถึงนิพพานมันไม่หมด ถ้าใครถึงชาตินี้กรรมเวรทั้งหลาย มันก็หมดเรื่องกันไม่มีติดตาม เหมือนกับโจรไปปล้นเขาเอาเงินมา ไปงัดร้านทองร้านสิ่งของเขาเอาของเค้าไป แล้วไปขโมยโคกระบือไป แล้วก็ไปฆ่าคนตาย โจรคนเดียวเนี่ยนะ พอตำรวจตามแล้วก็ยิงตาย ก็ไปบอกร้านทอง ก็ไปบอกคนที่เป็นเจ้าของโค คนถูกลักสิ่งของอะไรก็มาดูมันตาย เจ้าโจรมันตายแล้วจะเข้าห้องขังก็ไม่ได้ ก็หมดแล้วกลายเป็นอโหสิกรรมกันไป ท่านเปรียบเทียบผู้ที่พ้นไป จิตทั้งหลายที่นิพพานไปกรรมจึงติดตามไม่ได้ ทำไมจึงติดตามไม่ได้?

ก็มันไม่มีรูปขันธ์นี่สิ เมื่อไม่มีรูปร่างกายแล้วจะเอาอะไรไปใช้กรรม ถ้ารูปร่างกายอยู่กรรมมันจึงตามได้ ในจิตของคนที่พ้นทุกข์แล้วเนี่ย รูปร่างกายนี้ยังไม่แตกดับไป มันก็ใช้อยู่ ยังใช้กรรมอยู่ เห็นไหมหลวงปู่นั้นหลวงปู่นี้ เดี๋ยวก็เจ็บโน่นเจ็บนี่เข้าโรงพยาบาล แท้ที่จริงจิตท่านหลุดแล้ว แต่ร่างกายมันเป็นของที่รองรับกรรมทั้งหลาย อาตมาจึงไปถามหลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ อาตมาก็ศึกษา หลวงปู่เวลาหลวงปู่จะหนีเข้านิพพานกรรมมันว่ากันยังไง?

โอ้ยมันรุมกันมากันไม่รู้ทางใต้ทางเหนือ มาทุกรูปแบบจะมารบกวน ก็จะหนีแล้วนี่ใครก็อยากใช้ เหมือนญาติโยมเป็นหนี้เขาซัก 10 คน พอขายที่บ้านในกรุงเทพได้หลายล้าน ให้เจ้าของนี่มีแต่คนจะมาเอา รุมเลย เค้าก็อยากมาเอาค่าหนี้ที่เราติดเค้า ก็เหมือนกับพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านจะเข้านิพพาน ก็เคยคิดนะบางที ว่าเออกรรมอะไรที่มันมีอยู่มาใช้ให้หมดตอนนี้ซะดีกว่า ไข้เลยนะไม่ถึงสามวัน เอาเลยมาจริงๆนะ เลยไม่พูดเลยทุกวันนี้


พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป







โจรปล้นบุญ
"...ตัวนี้เป็นกฐินโจรเหรอลูก โจรอยู่ใกล้ๆเราเหรอ
ไม่คิดว่าจะมีโจรอยู่ใกล้ๆ มีหัวหน้าโจรอยู่แถวนี้เหรอ
โจรปล้นบุญ เขาเรียกให้มันน่ากลัวว่า "กฐินโจร" ที่จริงก็ "จุลกฐิน" นี่แหละ แต่ว่าตัวนี้ไม่มีการปักกฐิน และ ไม่มีการกรานกฐิน ไม่มีการพินทุผ้ากฐินใช้ คือเพียงแต่รับให้ลูกได้บุญได้กุศลแค่นั้นเอง อานิสงส์ของลูกนี่ก็คือเต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ แต่อานิสงส์พระนี่ไม่มี นี่ขอให้ลูกเข้าใจนะ อานิสงส์พระนี่ไม่มีคือพระไม่ได้รับ ลูกทำบุญกฐินพระเพียงอุปโลกน์ แต่ไม่ได้อุปโลกน์กฐิน อุปโลกน์เป็นของสงฆ์เพื่อแจกทานได้ ถ้าไม่อุปโลกน์นี่ของนี้เป็นของสงฆ์เราจะแจกทานไม่ได้ นี่ขอให้ลูกเข้าใจนะ เราก็เลยอุปโลกน์เป็นของสังฆทาน ไม่ได้อุปโลกน์เป็นกฐิน ทีนี่หลวงปู่จึงไม่ได้รับกฐิน ทางด้านลูกศิษย์ลูกหาจึงไม่ได้รับกฐิน แต่ลูกทำบุญกฐิน เราไม่ได้รับผ้ากฐินแล้วมากรานใช้ไง แต่เรารับกองกฐินให้ลูกไง โจรกฐินปล้นลูกเดียว รับไม่รับก็ต้องรับ!! แต่ไม่ได้ใช้ปืนจี้พระล่ะนะ หะ..หะ.. อ้อหัวหน้าโจรอยู่นี่เหรอ...

มหาโจรนี่..หลอย..ตลอดนะ
มาปล้นพ่อเรา...
อ้อ..โจรอยู่ใกล้ๆนี่เอง ปล้นบุญพ่อนี่ ปล้นไม่หมดหรอกนะ
สามแดนโลกธาตุมาปล้นพ่อก็ไม่หมดหรอกนะ..."

พระธรรมเทศนา องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
วัดป่าห้วยริน









เมื่อ “ปัญญาวิปัสสนา” เกิดขึ้น ใน “ขณะจิตเดียว” นั้น “สิ้นสงสัย” ในธรรมทั้งหลาย เห็นสรรพสัตว์ในโลกเป็น “สภาพอันเดียวกัน” หมดเลย

"ไม่มีต่ำ ไม่มีสูง ไม่มีน้อย ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย" มีแต่ “ธาตุ ๔ เกิดขึ้นแล้วดับไป” เท่านั้น

เห็น “สิ่งทั้งปวง” หมด เป็น “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” สิ่งเหล่านั้น เป็นของไร้สาระ เป็นโทษเป็นทุกข์ เป็นภัยอันตรายแก่จิตใจ

จึง “ปล่อยวาง” ทอดธุระในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
อันนี้เป็น “ปัญญาอันวิเศษสูงสุด” เพราะคนจะ “พ้นจากโลก” ได้ ก็เพราะ “เห็นที่สุดของโลก” คือได้แก่เห็น “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

“วิปัสสนาจริงแล้ว” ... “ไม่ต้องคิดต้องนึก” ... “ไม่ต้องปรุงแต่ง”
มันเป็นเอง “มันเกิดของมันต่างหาก” เมื่อมันเกิดแล้วจะต้อง “ชัดแจ้งประจักษ์” ใน “พระไตรลักษณะฐาน” ด้วย “ตัวของตนเอง” ต่างหาก

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง...ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย










สิ่งของทั้งหลายที่หามาได้นั้น เราใช้มันได้เพียงระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์เท่านั้น ตายแล้วเอาไปด้วยไม่ได้เลยสักอย่างเดียว เหตุนั้น เราจะทำบุญทำกุศลต่างๆก็รีบทำเสียจะรักษาศีลภาวนาก็รีบปฏิบัติเสีย ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ไม่ควรอ้างการอ้างเวลา

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ดูคนสองจำพวกให้เป็น
26 ส.ค. 2523







เมื่อสัญญาผ่านเข้ามา ก็ปล่อยให้ผ่านไปตามเรื่องของมัน ความรู้ของเราก็ให้เฉยอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

ข้อที่ว่าใจเราไปอย่างนั้นไปอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแต่สัญญามันพาไป เท่านั้น

สัญญา นี้เปรียบเหมือนกับ “เงา” ส่วนตัวจริงของมันนั้นก็คือ “จิต” ต่างหาก

ถ้ากายของเราเฉยไม่มีอาการเคลื่อนไหวไปมาแล้ว เงาของเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร?
เพราะกายของเรามันไหวไม่อยู่นิ่ง เงาของเราจึงไหวไปด้วย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไปจับเอาเงามาอย่างไร? เงานี้จะจับมันก็ยาก จะละมันก็ยาก จะตั้งให้เที่ยงก็ยาก

ความรู้ที่เป็นตัวปัจจุบัน นั่นแหละคือ “ตัวจริง” ส่วนความรู้ที่เป็นไปตามสัญญานั้น ก็คือ “เงา”

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร







ดิฉันเกิดปัญหาถามตัวเองขึ้นมาว่า...
เกิดมาทำไม?
เกิดมาเพื่ออะไร?
อะไรนำพาให้เกิด?
เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์...
ทำไมคนเราจึงอธิษฐานขอเกิดอยู่ร่ำไป...

#หลวงปู่
ที่มีปัญหากับเจ้าตัวว่า
เกิดมาทำไม...
เกิดมาเพื่ออะไร...

คำว่าเกิดมาทำไม? ตอบว่า...
เพราะกรรมทำให้เกิด

เกิดมาเพื่ออะไร? ตอบว่า...
เกิดมาเพื่อสร้างบารมีหนีจากความหลงของเจ้าตัวที่เคยหลงมา

ถามว่าอะไรนำมาให้เกิด? ตอบว่าอวิชชาความโง่ๆ พาให้เกิด

อวิชชานั้น แบ่งออกเป็น 4
1 ไม่รู้ทุกข์
2 ไม่รู้ทุกข์สมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์
3 ไม่รู้ทุกขนิโรธ คือความดับแห่งทุกข์
4 ไม่รู้ทางดำเนินให้ถึงความดับทุกข์ เพิ่มทุกข์เข้าอีก
5 ไม่รู้จักอดีต
6 ไม่รู้จักอนาคต
7 ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคตโยงใส่กัน
8 ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือลูกโซ่ที่เกี่ยวคล้องเป็นสาย มันเป็นห่วงวงกลมคล้องคอจิตใจเราอยู่ อวิชชา 8 ก็ว่า

คำว่า "อวิชชา" แปลว่า "ไม่ใช่วิชชา"
ถ้าแปลให้เข้าใจง่าย ก็คือความโง่ความหลงของเราแต่ละท่านๆ นั่นเอง

ถ้าจะอธิบายในเรื่องนี้ให้พิสดารก็ต้องยาวเหยียดมาก
จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ต้องอธิบายยาวเหยียด...

ทำไมคนเราจึงอธิษฐานขอเกิดกันอยู่ร่ำไป? ตอบว่า...
เพราะกรรมบันดาล
ยังไม่เห็นทุกข์ในโลกพอ
เพราะมีความหวังในโลกนี้อยู่
เพราะเข้าใจว่ามันพอใช้พอสอยอยู่
ถ้าจะตอบให้ถึงที่แล้วก็คือบารมียังอ่อนอยู่นั่นเอง

เมื่อผู้อธิษฐานขอเกิด ก็แปลว่ามีความพอใจยินดีในการเกิด
ส่วนเป้าหมายในการเกิดแตกต่างกันออกไปตามเจตนา ตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคน ข้อนี้ก็จริงอยู่

แต่บางท่านอยากเกิดมาอีก เพื่อสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกฯ หรือพระอรหันตาขีณาสพ สาวกพุทธสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป จำพวกที่ต้องการแบบนี้คือต้องการไปทางโลกุตระกุศล

จำพวกหนึ่งนั้น ต้องการเกิดมาเป็นเศรษฐีกระฎุมพี ปรารถนาในโลกีย์ยุ่งเหยิงอยู่

บางจำพวกต้องการปรารถนาเกิดอีก เพื่อต้องการเสวยกามารมณ์ล้วนๆ

บางจำพวกต้องการมาสนองเวรกรรม สนองภัยกับผู้อื่นที่อาฆาตจองเวรผูกใจเจ็บไว้

สรุปความปรารถนาทั้งหลาย
มันก็เป็นไปตามกรรม และผลของกรรมอีกละ

ถ้าหากว่าจิตยอมรับด้วยจิตเองว่า การเกิดเป็นทุกข์ ไม่ปรารถนาที่จะเกิดอีก พูดมาถึงตรงนี้ก็ตีความหมายว่า เป็นเพียงความคิดมันไม่อยากเกิดเพราะมันทุกข์ ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า เป็นความคิดที่วิ่งวนตัวตัณหาเสียอีกแล้วกระมัง? ...
ตอบข้อนี้ว่า มันไม่เป็นตัณหาดอก
และก็ไม่กลายเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์โดยไม่รู้ตัวดอก

พระบรมศาสดาและพระอริยสาวกผู้ที่สร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว ก็ต้องยืนยันอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วการประพฤติพรหมจรรย์ก็ไม่มีความหมายในคิวสุดท้าย

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต







ท่านผู้ใดจะตั้งจุดใดๆ ภาวนาสติเป็นสำคัญอย่าปล่อยสติ
สติเป็นเครื่องยืนยันตลอดถึงมรรคผลนิพพานสูงสุด
ไม่พ้นจากสติไปได้เลย ตั้งแต่สติล้มลุกคลุกคลาน สติตั้งได้
สติอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติแล้วก็มหาสติมหาปัญญาพุ่งเลย
ถ้าใครปล่อยสติ..ตาย จำให้ดีนักปฏิบัติทั้งหลาย

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร