วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 16:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2019, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อานาปานสติภาวนา
ถือลมหายใจเข้าหายใจออก เป็นอารมณ์ของใจ
มีความรู้และสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก
เบื้องต้นการตั้งลม ควรตั้งที่ปลายจมูกหรือเพดาน
เพราะเป็นที่กระทบลมหายใจ
พอถือเอาเป็นเครื่องหมายได้
เมื่อทำจนชำนาญ และลมละเอียดเข้าไปเท่าไร
จะค่อยรู้หรือเข้าใจความสัมผัสของลมเข้าไปโดยลำดับ
จนปรากฏลมที่อยู่ท่ามกลางอก หรือลิ้นปี่แห่งเดียว
ทีนี้จงกำหนดลม ณ ที่นั้น
ไม่ต้องกังวลออกมากำหนดหรือตามรู้ลม
ที่ปลายจมูกหรือเพดานอีกต่อไป
การกำหนดลมจะตามด้วย พุทโธ
เป็นคำบริกรรมกำกับลมหายใจเข้าออกด้วยก็ได้
เพื่อเป็นการพยุงผู้รู้ให้เด่น
จะได้ปรากฏลมชัดขึ้นกับใจ
เมื่อชำนาญในลมแล้ว ต่อไปทุกครั้งที่กำหนด
จงกำหนดลงที่ลมหายใจท่ามกลางอกหรือลิ้นปี่โดยเฉพาะ
ทั้งนี้สำคัญอยู่ที่ตั้งสติ
จงตั้งสติกับใจ
ให้มีความรู้สึกในลมทุกขณะที่ลมเข้าและลมออก
สั้นหรือยาว จนกว่าจะรู้ชัดในลมหายใจ
มีความละเอียดเข้าไปทุกที
และจนปรากฏความละเอียดของลมกับใจเป็นอันเดียวกัน
ทีนี้ให้กำหนดลมอยู่จำเพาะใจ
ไม่ต้องกังวลในคำบริกรรมใดๆทั้งสิ้น
เพราะการกำหนดลมเข้าออกและสั้นยาวตลอดคำบริกรรมนั้นๆ
ก็เพื่อจะให้จิตถึงความละเอียด
เมื่อถึงลมละเอียดที่สุด
จิตจะปรากฏมีความสว่างไสว
เยือกเย็นเป็นความสงบสุขและรู้อยู่จำเพาะใจ
ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใดๆ
แม้ที่สุดกองลมก็ลดละความเกี่ยวข้อง
ในขณะนั้นไม่มีความกังวล เพราะจิตวางภาระ
มีความรู้อยู่จำเพาะใจดวงเดียว
คือ ความเป้นหนึ่ง ( เอกัคคตารมณ์ )
นี่คือผลที่ได้รับจากการเจริญอานาปานสติกรรมฐาน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน










เรื่อง "รูปร่างกายนี้ล้วนเป็นสมบัติของพ่อแม่"
ธาตุดิน เป็นสมบัติของบิดา
ธาตุน้ำ เป็นสมบัติของมารดา
พวกเราไม่ใช่ของเรา เดี๋ยวนี้เราใช้สมบัติของบิดามารดา เพราะฉะนั้นผู้ใช้เป็น เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตน ผู้ใช้ไม่เป็น เป็นบาปเป็นกรรมเป็นโทษ ท่านจึงให้รักษา รักษาสมบัติของบิดามารดาไม่ให้ทำความชั่วช้าเสียหาย
ฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์
ประพฤติผิดในกาม
พูดปดมดเท็จ
ดื่มสุราเมรัย
ถ้าใครรักษาได้แสดงว่ารักษาสมบัติของบิดามารดา ย่อมเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ตนทุกภพทุกชาติ

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม








เรื่อง "กิเลสเกิดที่จิต นิพพานก็เกิดที่จิต"

กิเลสเกิดที่จิต นิพพานก็เกิดที่จิต กิเลสเป็นอกาลิโก ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นอกาลิโกเช่นกัน กิเลสไม่ตาย เราตาย ผลงานของกิเลสก็คือความทุกข์ มรดกของกิเลสก็คือความทุกข์ อยู่กับกิเลสอย่างหยาบเหมือนถูกภูเขาทับ อยู่กับกิเลสอย่างกลางเหมือนถูกเสี้ยนหนามตำ อยู่กับกิเลสอย่างละเอียดเหมือนผงเข้าตา

คติธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








เรื่อง "อย่าปล่อยให้ใจเป็นบัลลังก์หนังหมาเน่า ให้กิเลสนั่งบัญชา เอาใจของเราเป็นบัลลังก์แก้ว รองรับคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์"

อย่าปล่อยให้กิเลสมาเหยียบพระนิพพานให้จมหายไป และอย่าให้กิเลสสลัดธรรมออกไป เหมือนสาดน้ำใส่หลังหมา หรือหมาโดนฝน มันจะสลัดน้ำออกจากขนของมันทันที และอย่าเอากิเลสมาเป็นอารมณ์ จงเอาใจเราคืนมาจากกิเลส อย่าปล่อยให้ใจเป็นบัลลังก์หนังหมาเน่า ให้กิเลสนั่งบัญชาการต่อไป เอาใจของเราเป็นบัลลังก์แก้ว รองรับคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ ก็จะพบกับอมตธาตุ อมตธรรม (ถึงฝั่งพระนิพพาน)

คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







เรื่อง "ปัญญารอบขันธ์เท่ากับรอบโลกรอบธรรม"

การภาวนาเพื่อความรู้ความฉลาด จงค้นลงที่ "เบญจขันธ์" "บ่อกิเลสตัณหา" อยู่ที่ขันธ์ แดนพ้นทุกข์ก็อยู่ที่ขันธ์ จะกำหนดทุกข์ก็ดี อนิจจังก็ดี อนัตตาก็ดี ในลักษณะใดก็ตาม จงกำหนดให้เห็นประจักษ์ใจจริงๆ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ที่ขันธ์ทั้งนั้น ความทุกข์ ทุกข์ตลอดอวัยวะและตลอดกาล ไม่เที่ยงและอนัตตาก็เช่นเดียวกัน ประกาศอยู่ที่ขันธ์ทุกเวลาไม่มีว่างเว้น เห็นความจริงจากขันธ์แล้ว หายเพลินหายโศก กิเลสไม่กว้างไม่แคบ ไม่มากไม่น้อย มีขนาดเท่าตัวหรือเท่าเบญจขันธ์เท่านั้น สันติธรรมคือพระนิพพานก็เช่นเดียวกัน ปัญญารอบขันธ์แล้วเท่ากับรอบโลกรอบธรรม หยั่งถึงโลกถึงธรรม ธรรมกับโลกไม่ลึกไม่ตื่นไปจากขันธ์ จงกำหนดลงที่ขันธ์นี้ ความหนาบางของกิเลสเป็นชื่อที่เราตั้งให้เขาต่างหาก ความจริงกิเลสกับนิพพาน คือ ใจดวงเดียวเท่านั้น จะหนาหรือบางก็ใจผู้รู้ดวงเดียวเท่านั้น ไม่มีใครเป็นกิเลสแลนิพพาน อย่าร้อนใจไปอื่น ผิดทางพ้นทุกข์

คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






อย่าประมาท
ในการสร้างคุณงามความดีนะ เพราะเราไม่รู้ ว่าชีวิตนี้ จะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน เวลาไหน ดังนั้นอย่าปล่อย ให้โอกาสสร้างคุณงามความดี หลุดไป ไม่รีบขนขวายทำเอาซะ ไม่ว่าจะเป็นการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาก็ตาม ให้มันเป็นนิสสัยเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ จะติดตัวเราไปได้ เราทำดีแล้ว มันก็ดีตั้งแต่ตอนเราทำนี่แหละ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก ทำตอนไหนก็ดีตอนนั้น ทำความชั่วตอนไหนก็มีความทุกข์ใจตอนนั้น มันเป็นอย่างนี้ อย่าประมาท

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่ไสว สุวโจ
วัดสิริสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู








เรื่องของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องตายเหมือนกันหมด จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไรในที่สุดก็ตายเหมือนกัน

พระท่านสอนไม่ให้เสียใจเพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีเยอะ แต่รับปฏิบัติ คือตัดใจไม่ให้เศร้าโศกถึงคนตายนี่หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัย ในเมื่อมีคนที่เรารักตายนี้มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอนไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น

ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แก่งอมร่วงลงมาจากต้นไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใด ๆ

ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร ถ้าคนที่เกี่ยวข้อง เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ตาย ไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจเขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความโศกเศร้ารำพันนั่นแหละ

เขาถึงจะนิยมว่าเป็นคนดีรักกันจริง เรื่องความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

โอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง
ที่มา:ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)







บุตรคนใด ชักจูง ปลูกฝัง ประดิษฐาน
ซึ่งมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ไว้ในศรัทธาสัมปทา...
ซึ่งมารดาบิดาผู้ทุศีล ไว้ในศีลสัมปทา...
ซึ่งมารดาบิดาผู้มัจฉริยะ (ตระหนี่)
ไว้ในจาคสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยการบริจาค...)
ซึ่งมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา ไว้ในปั...ญญาสัมปทา
ด้วยการกระทำเพียงนี้ จึงชื่อว่า
เป็นอันได้ทำคุณ ได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)







ถ้าหากว่าเรารู้จริงเห็นจริง
ด้วยอำนาจของปัญญาว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกแบบนี้ เราจะเอาจิตเข้าไปพัวพันร่างกายของบุคคลอื่น
เพื่อประโยชน์อะไร แม้แต่ร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเพียงแต่ว่าเป็นแดนสำหรับที่เราอาศัยเท่านั้น
เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปกายจนเกินสมควรและก็รู้อยู่เสมอว่าร่างกายของเรานี้มันสกปรก ร่างกายของคนอื่นก็สกปรกมันสกปรกไม่สกปรกเปล่า ในที่สุดมันก็พังทลายเหมือนผีตายทั้งหลายนั้นแหละ
ความจริงเราต้องการความสะอาด
เราไม่ต้องการความสกปรกเมื่อจิตของเราเห็นว่าอัตภาพร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดีสกปรก ความรัก ความปรารถนา ความใคร่มันก็หมดไป เพราะว่าไม่มีใครต้องการความสกปรก

ธรรมโอวาท:หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
ที่มา:บทความธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)










"ถ้านั่งคิด ถ้ามันสงบ มันก็คงพอที่จะให้คิด ถ้าเราไปนั่งคิด ก็เพราะมันนั่งไม่สงบ ที่เรานั่งปฏิบัติบูชา เพื่อไปถึงความสงบ การปฏิบัติคือการนั่ง ก็เพื่อความสงบนั่นแหละมันเป็นผลลัพย์ ไม่ใช่เราให้นั่งคิด ไอ้เรื่องความคิดนั่นมันเป็นของไม่ยาก นอนก็...คิดได้ นั่งอย่างอื่นก็คิดได้
ไอ้เรื่องความคิดนั่นไม่มีปัญหา เราจะอยู่อริยาบทใดก็ตาม แต่ไอ้เรื่องความสงบนั่นมันเป็นของลำบาก ไม่ใช่เราจะไปสวบด้วยความคิด เราจะสงบได้นั่นคือการ ระงับความคิดคือมันจะไม่ต้องไปตามเรื่องต่าง ที่เป็นอดีต ที่เราไปโกรธ ใคร เกียจใครมา ชอบใคร มา สิ่งเรานึ้มันจะมาฟ้องในจิตตนเอง แล้วมันมักจะมาปรุงแต่ง มาวิพากย์ วิจารย์ หาเรื่องความผิด ความถูก
ทั้งเขาและเรา มันก็จะต้องนึกและคิดอยู่อย่างงั้นแล้วมันจะหาที่สิ้นสุดไม่ได้และมันจะไปจบลงตรงนั้นเราก็หาทราบมั่ยเราก็ได้แต่คิด นั่งเค้าเวลาการปฏิบัติก็ไม่มี นั่นทางลบ เรื่องใครก็ตาม เรื่องเราก็ตาม อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเรานั้น นอกจากพระพุทโธ เราต้องนำจิตไปยับในความเป็นพุทธะ หรือ พุทโธ อย่าไปปราถนาอะไรให้มากนัก นอกจาก พุทโธ อย่าไปส่งจิตออก นอก ให้นึกแต่พระพุทโธในทรวงอก
ถ้ามันสงบแล้วเรามัน จะไปถึงฐานที่ตั่งของความสงบ ในทรวงอกนั้น ให้เราปล่อยจิต รวมจิต ลงไปในทรวงอกนั้น จิตมันก็จะดิ่งลงไป ถึงสภาพแห่งความสงบอยู่ภายใน"

หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก








“ทำกัน สร้างกันเอาเอง”
...บุญที่ญาติทำ แล้วอุทิศไปนี้
อุทิศไปได้เพียงเสี้ยวเดียว
เช่น ทำ ๑๐๐ หนึ่ง
"ก็อุทิศไปได้เพียง ๑ ส่วนเท่านั้น"
อีก ๙๙ ส่วนเป็นของผู้อุทิศ
"ผู้ที่รับอุทิศนี้..ได้รับเพียงส่วนเดียว"
...........................................
.
หนังสือธรรมะโดนใจ3 หน้า59
ธรรมะในศาลา 15/12/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







อย่าพูดคำว่า ไม่มี หลวงพ่อไม่ชอบ
สมบัติเต็มแผ่นดิน แค่มันยังไม่ถึงเวลาของเรา
มันอยู่ที่เราเคยได้สร้างได้ทำไว้หรือเปล่าแค่นั้นเอง
เมื่อวาสนาเรามีอยู่ที่ไหน ก็ตกทับเราเอง
ทำใจ ให้มีไว้เสมอ ใจมีอำนาจมาก
มีกระเเสพลังมาก มันจะดึงดูดมาเอง
ใจที่มีพลัง เหมือนแม่เหล็กที่ดูด เหล็กด้วยกันเองได้
ใจก็เหมือนกัน อย่าคิด อย่าพูดคำว่า ไม่มี
ให้คิดว่า มี ไว้เสมอ จะมีมากมีน้อย ก็ให้คิดว่ามี
อย่าพูดคำว่า ไม่มี

หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล







จงเลือกทำบุญกับเนื้อนาบุญที่ดี
กินก๋วยเตี๋ยวเราก็ยังอยากกินที่ดีๆ ที่อร่อยๆ
ทำบุญเราก็ต้องทำกับเนื้อนาบุญที่ดีสิ...มันถึงจะได้บุญมากๆ

โอวาทธรรม
พระอาจารย์โสภา สมโณ
วัดแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา






เรื่อง "กิเลสเกิดที่จิต นิพพานก็เกิดที่จิต"

กิเลสเกิดที่จิต นิพพานก็เกิดที่จิต กิเลสเป็นอกาลิโก ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นอกาลิโกเช่นกัน กิเลสไม่ตาย เราตาย ผลงานของกิเลสก็คือความทุกข์ มรดกของกิเลสก็คือความทุกข์ อยู่กับกิเลสอย่างหยาบเหมือนถูกภูเขาทับ อยู่กับกิเลสอย่างกลางเหมือนถูกเสี้ยนหนามตำ อยู่กับกิเลสอย่างละเอียดเหมือนผงเข้าตา

คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






ให้พิจารณาความตาย นั่งก็ตาย​ นอนก็ตาย​ ยืนก็ตาย​ เดินก็ตาย ทุกคนมีความตายเป็นที่สุด ตายได้ทุกเพศทุกวัย​ ตายได้ทุกกาลเวลา จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ให้เว้นจากความชั่ว​ สร้างสมคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศลไว้เป็นที่พึ่งของตน เมื่อล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว​ ผลบุญก็จะติดตามเราไป

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม






เรื่อง "ปัญญารอบขันธ์เท่ากับรอบโลกรอบธรรม"

การภาวนาเพื่อความรู้ความฉลาด จงค้นลงที่ "เบญจขันธ์" "บ่อกิเลสตัณหา" อยู่ที่ขันธ์ แดนพ้นทุกข์ก็อยู่ที่ขันธ์ จะกำหนดทุกข์ก็ดี อนิจจังก็ดี อนัตตาก็ดี ในลักษณะใดก็ตาม จงกำหนดให้เห็นประจักษ์ใจจริงๆ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ที่ขันธ์ทั้งนั้น ความทุกข์ ทุกข์ตลอดอวัยวะและตลอดกาล ไม่เที่ยงและอนัตตาก็เช่นเดียวกัน ประกาศอยู่ที่ขันธ์ทุกเวลาไม่มีว่างเว้น เห็นความจริงจากขันธ์แล้ว หายเพลินหายโศก กิเลสไม่กว้างไม่แคบ ไม่มากไม่น้อย มีขนาดเท่าตัวหรือเท่าเบญจขันธ์เท่านั้น สันติธรรมคือพระนิพพานก็เช่นเดียวกัน ปัญญารอบขันธ์แล้วเท่ากับรอบโลกรอบธรรม หยั่งถึงโลกถึงธรรม ธรรมกับโลกไม่ลึกไม่ตื่นไปจากขันธ์ จงกำหนดลงที่ขันธ์นี้ ความหนาบางของกิเลสเป็นชื่อที่เราตั้งให้เขาต่างหาก ความจริงกิเลสกับนิพพาน คือ ใจดวงเดียวเท่านั้น จะหนาหรือบางก็ใจผู้รู้ดวงเดียวเท่านั้น ไม่มีใครเป็นกิเลสแลนิพพาน อย่าร้อนใจไปอื่น ผิดทางพ้นทุกข์

คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร