วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 04:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2019, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีสังเกตตัวเอง
สังเกตจิตที่มีนิสัยหลุกหลิก ไม่อยู่เป็นปกติสุข
ด้วยมีสติตามระลึกรู้ความเคลื่อนไหวของจิต
โดยมีธรรมบทใดบทหนึ่งเป็นคำบริกรรม
เพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวอยู่
ด้วยความสงบสุขในขณะภาวนา
ที่ให้ผลดีก็มี อานาปานสติ
คือ กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออก
ด้วยคำภาวนา พุทโธ
พยายามบังคับให้อยู่กับอารมณ์แห่งธรรมบท
ที่นำมาบริกรรมขณะภาวนา
พยายามทำอย่างนี้เสมอด้วยความไม่ลดละ ความเพียร
จิตที่เคยทำบาปหาบทุกข์อยู่เสมอ
จะค่อยรู้สึกตัวและปล่อยวางไปเป็นลำดับ
มีความสนใจหนักแน่นในหน้าที่ของตนเป็นประจำ
จิตที่สงบตัวลงเป็นสมาธิ
เป็นจิตที่มีความสุขเย็นใจมาก และจำไม่ลืม
ปลุกใจให้ตื่นตัว และตื่นใจได้อย่างประหลาด

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







หลวงพ่อสาครเล่าว่า ช่วงที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ฝั้น ตอนนั้นมีพระเขามาขอพระบรมสารีริกธาตุ หรือ ขออัฐิธาตุของหลวงปู่มั่น กับขอผมของหลวงปู่ หลวงปู่ฝั้นให้สติว่า "เราบอกทางที่จะเข้าไปหามรรคผลนิพพาน แต่มันอยากได้อสุภะ" "กระดูกตัวมันเต็มตัว ไม่สนใจ จะมาเอากระดูกครูบาอาจารย์"

หลวงพ่อสาคร ธัมมาวุโธ







อยากได้ของดีให้นักแน่น.เบิ่งครูบาอาจารย์ให้เบิ่งตอนเพิ่นปฏิบัติ อย่าเบิ่งตอนเพิ่นเฒ่าตอนเพิ่นสบาย
ให้เอาตอนที่เพื่นปฏิบัติสละเป็นสละตายเพื่อสิได้ธรรม ให้เอามาพิจารณาให้เป็นกำลังใจตัวเองให้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติภาวนา ของอย่างอื่นบ่ต้องไปถามหามันทรัพย์ภายในเต็ม ทรัพย์ภายนอกมันก็ย่อมมี เทวดาเขาหามาให้ถ้าคนสิมีสิดีไปอยู่ใสตกใสก็ดี บ่อึดบ่จน เฮาปฏิบัติเอาธรรมให้มันได้ อย่าไปสนใจสิ่งอื่น

โอวาทธรรม หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตโต







ถึงเราจะมีเงินถึงแปดหมื่นเก้าหมื่น
ก็เป็นแต่ของกลางเท่านั้นที่มีอยู่ในโลก เราตายเสียแล้วก็ทิ้งหมด
ถ้าเมื่อเรายังไม่ตาย จงมาพากันสร้างบุญสร้างกุศลให้พอ
เมื่อเราตายไปแล้ว บุญนั้นก็จะเป็นที่พึ่งของเรา เป็นที่อาศัยของเรา บุญเกิดทางกายนั้นประการใด
จะขยายให้เป็นพระสูตร
อะนะวัชชานิ กัมมานิ
บุคคลเกิดมาในโลกนี้ ทำการงานปราศจากโทษ มีแต่ประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นปัจจัยแก่เราผู้สร้างบารมี
หนึ่ง สร้างพระพุทธรูป สร้างพระเจดีย์ สร้างวัดวาอาราม โบสถ์วิหารไว้ในพระพุทธศาสนา
ผู้ใดหากได้ทำแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา "ฉายาวะ" เปรียบเหมือนเงาที่ตามตัวเราตลอดเวลา
ตามธรรมดาเรานั่ง เงาก็นั่ง เรานอน เงาก็นอน เราเดิน เงาก็เดิน
บุญกุศลที่เราสร้างเอาไว้
ก็ห่อตัวใจของเราไว้
เรารับศีล 5 ได้ เรานั่ง เราก็นั่งในศีล 5 เรานอนเราก็นอนในศีล 5 เราเดินเราก็เดินในศีล 5 เรารับศีล 8 เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ไปไหนๆ ก็ไปด้วยศีล 8 ทั้งสิ้น ศีล 10 ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเรารับศีล 227 นอนก็นอนในศีล 227 เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็อยู่ในศีล
เมื่อได้ "พุทโธ" แล้ว
นั่งก็นั่งพุทโธ นอนก็นอนพุทโธ เดินก็เดินพุทโธ "ธัมโม" เมื่อได้แล้ว นั่งก็นั่งธัมโม นอนก็นอนในธัมโม เดินก็เดินในธัมโม "สังโฆ" ทั้งนั้น

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม





ที่จริง พระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย
เพียงแต่ เจริญจิตให้รู้แจ้งใน ขันธ์๕
แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท
...หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกริยาจิต
มันก็จบแค่นี้
เหลือแต่ บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง
ว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล




" ฉะนั้น การทำสมาธิภาวนา
จึงเป็น วิธีปฏิบัติต่อใจได้ดี และถูกทาง
ยิ่งเวลาหัวเลี้ยว หัวต่อด้วยแล้ว สติปัญญา
ยิ่งมีความสำคัญมากในการ ตามรู้
และ รักษาจิต
ตลอดการต้านทานทุกขเวทนา
ไม่ให้ทับจิต ในเวลา...จวนตัว
ซึ่งเป็นเวลาเอาแพ้ เอาชนะกันจริง ๆ
ถ้าพลาดท่าขณะนั้น ก็เท่ากับพลาดไป
อย่างน้อย ภพหนึ่งชาติหนึ่ง
เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดใด ก็ต้องเสียเวลานาน
เท่าชีวิต ของสัตว์ในภพภูมินั้น ๆ
ขณะที่เสียเวลา ยังต้องเสวยกรรมในกำเนิด
นั้น ไปด้วย
ถ้าจิตดี มีสติพอประคอง ตัวได้
อย่างน้อยก็ มาเกิดเป็นมนุษย์
มากกว่านั้น ก็ไปเกิดในเทวสถานชมวิมาน
และ เสวยทิพย์สมบัติอยู่ นานปี
ถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
เวลา มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่ลืมศีลธรรมที่ตน
เคยบำเพ็ญรักษามา แต่บุพเพชาติ
ทำให้เพิ่มอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารขึ้น
โดยลำดับ
จนจิต มีกำลังแก่กล้าสามารถรักษาตัวได้
การตาย ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนร่าง
จากต่ำ ขึ้นไปสูง จากสั้น ไปหายาว
จากหยาบ ไปหาละเอียด จากวัฏจักร
ไปเป็น วิวัฏจักร
ดังพระพุทธเจ้า และสาวกท่านเปลี่ยนภพ
เปลี่ยนภูมิ
เปลี่ยนเครื่องเสวยมาเป็นลำดับ
สุดท้าย ก็หมดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง
ให้เป็นอะไรต่อไปอีก
เพราะจิต...
ที่ได้รับการอบรม ไปทุกภพ ทุกชาติจนฉลาด
เหนือสิ่งใด ๆ
กลายเป็นนิพพานสมบัติขึ้นมาอย่างสมพระทัย
และ สมใจ
ซึ่งล้วนไปจาก...
การฝึกฝนอบรมจิตให้ดี ไปโดยลำดับทั้งสิ้น."

(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)








พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ใช่ศาสนพิธี
เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่เคย
มีพิธี ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาแห่งพิธี แต่ทุก
วันนี้ จะทำอะไรมีแต่พิธี หากศึกษาประวัติ
ของพระพุทธเจ้าให้ดี จะพบว่า พระพุทธเจ้า
ไม่เคยมีพิธี เวลาที่ท่านจะตรัสรู้ ก็ไม่เคยทำ
พิธี ไม่เคยสวดมนต์ ไม่กราบไหว้อ้อนวอนผีสางเทวดา มีแต่นั่งภาวนาสู้กับกิเลสที่ใจ เวลาแสดงธรรมก็ไม่มีพิธี ไม่ต้องมีธรรมมาสน์ อยู่ที่ไหนๆก็แสดงธรรมได้ อยู่ในป่า ใต้โคนต้นไม้ ท่านก็แสดงธรรมได้ มีผู้สนใจธรรมเมื่อไรท่านก็แสดงได้ทันที ไม่ต้องมีพิธี ไม่ต้องถวายซองปัจจัย ท่านก็แสดงได้ แต่ทุกวันนี้ เอะอะ...อะไรก็มีแต่พิธี เป็นพิธีของพวกพราหมณ์ มิใช่ศาสนาพุทธ มีการเขียนตำราพิธีต่างๆ มากมาย พากันหลงผิดไปตามตำรา ปฏิบัติผิดตามกันมานานจนกลายเป็นศาสนพิธี ยากที่จะแก้ไขได้ บ้างก็มีการเขียนตำรา พากันถวายข้าวพระพุทธเจ้า ทั้งที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมานาน พระพุทธองค์และเหล่าสาวกอรหันต์ เป็นผู้อิ่มพอและหมดกิเลสแล้ว จึงไม่ต้องเสวยอะไรอีก หรือแม้แต่พรหมเทวดาที่แท้จริง เขาก็ไม่มากินเครื่องเซ่นไหว้ของมนุษย์ เพราะเขามีอาหารทิพย์ ที่ได้ทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ จะมีแต่พวกอสูรและเหล่าวิญญาณเท่านั้น ที่ยังกินเครื่องเซ่นไหว้อยู่
#และที่หลงกันมาก ก็คือ มีการทำพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธรูป เบิกพระเนตรพระพุทธเจ้ากันไปทั่ว ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตาสว่างไสว รู้แจ้งโลกมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว มีแต่ผู้ที่ยังตาบอดและใจมืดมิดอยู่นั้นละ ที่บังอาจไปเปิดตาพระพุทธเจ้า ชั่งทำไปได้ หลวงพ่อจึงขอถามพวกท่านทั้งหลายว่า... ศาสนาเป็นพิธี หรือพิธีเป็นศาสนากันแน่?...
นี่_ขนาดหลวงพ่อพูดจบ ก็จะยังให้หลวงพ่อทำพิธีอีก หลวงพ่อไม่มีพิธีหรอก เพราะบุญมันสำเร็จแล้วที่ใจ มิใช่สำเร็จตรงที่พิธี นี่..หลวงพ่อคงบ้าอยู่ผู้เดียว เพราะหลวงพ่อไม่มีพิธีอย่างคนอื่นเขา เพราะหลวงพ่อทำตามพระพุทธเจ้าและหลวงปู่มั่น ก็ลองพิจารณากันดูนะ

หลวงพ่อฉลวย_อาภาธโร
วัดโคกปราสาท ต.หลุ่งตะเคียน
อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา









"สุขบ้าง ทุกข์บ้าง:
ชีวิตก็มีเท่านี้....เข้าใจให้ได้
อยู่ให้เป็น"

โอวาทธรรม หลวงปู่ท่อน ญาณธโร








ผู้ที่ไม่ได้เจริญปัญญา
"จึงทำแต่กุศลที่วนอยู่ในโลก
ไม่สามารถจะตัดกิเลสวัฏฏ์ได้
กรรมวัฏฏ์ วิบากวัฏฏ์จึงไม่ขาด
ลงได้ เพราะการที่จะตัดกิเลส
วัฏฏ์นั้น ก็ต้องอาศัยอริยมรรค"
บรรดากุศลส่วนอื่นๆ
"ไม่มีอำนาจที่จะตัดกิเลสวัฏฏ์ได้
เพราะโลกิยะกุศลทั้งหลายนั้น
ประกอบด้วยเจตนาเป็นกรรมวัฏฏ์
ฝ่ายบุญ สำหรับละกิเลสที่ประกอบ
ด้วยเจตนา ซึ่งเป็นกรรมวัฏฏ์ฝ่ายบาป
แล้วก็ละได้ชั่วคราวไม่ขาด"
เช่นเดียวกับตัดต้นไม้
"ที่ลิดใบหรือกิ่งลงเสียได้ แต่ส่วน
ลำต้นและรากแก้วนั้น ยังอยู่ จึง
งอกงามขึ้นอีกได้ฉันใด รากแก้ว
ก็คือกิเลสวัฏฏ์ เช่น อนุสัยหรือ
สังโยชน์นั้น ยังอยู่เพราะกรรมวัฏฏ์
ฝ่ายบุญที่ประกอบด้วยเจตนา
ไม่สามารถละและตัดกิเลสวัฏฏ์
ได้ขาดก็ฉันนั้น.."

พระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ






ปัญหาและอุปสรรคที่ทุกท่านเผชิญอยู่
มิใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นเป็นหนแรก
ขึ้นชื่อว่าโลกแล้ว สรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์
ซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







"พากันทำภาวนาไป วันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป ภาวนาไป ชั่วโมงหรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด อาศัยอบรมจิตใจของตน ทำมันไป ขัดเกลาใจของตน ใจมันมีโลภะ โทสะ โมหะเข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง ธรรมชาติจิตเดิมแท้นั้น เป็นธรรมชาติผ่องใส ปภสฺสรมิตํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปฺกิเลเสหิ อุปฺกกิลิฏฺฐํ
ธรรมชาติจิตเดิมเป็นของเลื่อมประภัสสร เป็นของใสสะอาด แต่มันอาศัยอาคันตุกะกิเลสเข้าครอบงำย่ำยี ทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัวไป เพราะฉะนั้นให้พากันทำ อย่าประมาท อย่าให้มันเสียชาติ อย่าให้มันโศกเศร้าเป็นทุกข์ มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ให้พากันทำ อย่าให้มันเสียไป วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ อย่าให้มันล่วงไปเปล่า ประโยชน์ภายนอกก็ทำ ประโยชน์ของตนนั่นแหละมันสำคัญ พระพุทธเจ้าว่าให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน แล้วจึงค่อยทำประโยชน์อื่น"

หลวงปู่ขาว อนาลโย









" แม้จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้
มากมายมีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้าง
วัตถุได้อย่างมากมาย หรือสามารถอธิบายถึง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหน
ก็ตาม ถ้ายังประมาทอยู่ก็ยังว่าไม่ได้รสชาติของ
พระพุทธศาสนาแต่ประการใด เพราะสิ่งเหล่านี้
เป็นของภายนอกเท่านั้น
เมื่อพูดถึงประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์ภายนอก คือ
เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น
เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง หรือเพื่อสัญญลักษณ์
ของศาสนาวัตถุ
ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้นคือ ความพ้นทุกข์
#จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อรู้จิตหนึ่ง "

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล









เรื่อง " โมหะความหลงละเอียดลออลึกซึ้งมาก แทรกสิงซึมซาบอยู่ในกิเลสทุกประเภท"
"ความหลงนั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียดมาก มีแทรกอยู่กับกิเลสประเภทต่างๆ เต็มไปหมดไม่มีเว้น เพราะเป็นประเภทซึมซาบละเอียดลออ สามารถเข้าแทรกซึมได้ในกิเลสทุกประเภท เพราะฉะนั้น เราจะยกออกมาพูดเฉพาะโมหะเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เช่น ความโลภก็มีความหลงมาแทรก ความโกรธก็มีความหลงมาแทรก ความรักก็มีความหลงมาแทรก ความชังก็มีความหลงมาแทรกทั้งนั้น มันแทรกได้หมด.
จึงระงับดับกันด้วยสติปัญญาอันแหลมคมเท่านั้น ที่จะให้โมหะนี้สิ้นสุดลงไปได้"

คติธรรมหลวงตามหาบัว







"คนมีธรรมภายในใจ อันไหนพอจ่ายถึงจ่าย อันไหนพอใช้ถึงใช้ ประหยัดอดออม เมื่อเราแข่งขันกับสังคม ความล้มจ่มจะตามมา"

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่ประเวศ ปญฺญาธโร
วัดป่าคลองมะลิ อ.มะขาม จ.จันทบุรี



อะไรทำให้มนุษย์มี “ความทุกข์”
แล้วจะถอนตัวออกมาเป็นอิสระได้อย่างไร?

“อะไรที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์ ค้นไปค้นมา ในที่สุดสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์ ก็คือ ความเป็นไปของกฎธรรมชาตินี่เอง ในที่สุดแล้ว มนุษย์ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของ“กฎธรรมชาติ” การที่เรามีความเป็นไปอะไรต่างๆเหล่านี้ ก็เพราะกฎธรรมชาติ คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

ดูง่ายๆ ความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงนี้ เป็นไปในทุกสิ่งทุกอย่างตลอดทุกเวลา มันครอบคลุมและครอบงำทั้งชีวิตของเราและสิ่งทั้งหลายที่เราเกี่ยวข้อง รวมทั้งโลกที่เราอยู่นี้ทั้งหมด ไม่เว้นเลย

เมื่อสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป เราก็พลอยได้รับผล ถูกกระทบกระทั่งบีบคั้น ได้อย่างใจบ้าง ไม่ได้บ้าง ปรารถนาสมหวังบ้าง ไม่สมหวังบ้าง ที่อยากให้คงอยู่ก็หายสิ้นบ้าง ที่ไม่ชอบใจก็ต้องเจอบ้าง เราก็เกิดความทุกข์ เพราะเจ้าตัวกฎธรรมชาตินี่แหละ ที่ทำให้เกิดความเป็นไปต่างๆ ที่บีบคั้นเรา

แต่ที่จริง การที่ความเป็นไปต่างๆนั้นบีบคั้นเรา ก็เพราะว่า..เราไปวางท่าทีต่อมันผิด แล้วก็ไม่รู้เท่าทันมัน กับทั้งจะเอาแต่ที่ใจอยากและชอบ แต่รับกระทบ สิ่งที่เป็นไปดีๆมากมายก็ไม่เอา ไปคอยรับแต่ที่ขัดใจ และในที่สุดว่ากันตามจริงแท้ สิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามธรรมดาของมันนั้นแหละ ใจของเราตั้งรับผิดเองหรือเปล่า?

ในขั้นสุดท้ายก็คือ ทำอย่างไรจะไม่ให้กฎธรรมชาติมาครอบงำมีอิทธิพลต่อสุขทุกข์ของเรา อันนี้แหละเป็นวิธีขั้นสุดท้าย คือถึงขั้น“อิสรภาพจากกฎธรรมชาติ”เลยทีเดียว อิสรภาพนี้ถือว่าสูงสุด หมายถึงการมีปัญญารู้ทันความจริงของสิ่งทั้งหลาย รู้เท่าทันเป็นกันเองได้แม้แต่กับ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกระแสเหตุปัจจัยของมัน ความรู้อันนี้แหละ จะทำให้เราถอนตัวออกมาเป็นอิสระได้ จนกระทั่งว่า ความเปลี่ยนแปลงและความทุกข์ที่มีอยู่เป็นของธรรมชาติ ก็ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นทุกข์ของมันไป ไม่ใช่เที่ยวเก็บเอาทุกข์มาใส่ตัว

ธรรมชาติ น่ะ!
เป็นทุกข์อยู่ตามธรรมดา
คือ มันเปลี่ยนแปลงไป
คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
ธรรมชาติเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์ของมันไป
ไม่มีใครไปห้ามได้
แต่เราไม่ต้องไปทุกข์ด้วย
อันนี้แหละ คือความสำเร็จของการพัฒนามนุษย์ มนุษย์จะไม่ต้องขึ้นต่อธรรมชาติ ก็ตรงนี้”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ เรื่อง “พัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยจิตวิทยาแบบยั่งยืน”



คนที่มีบุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ คนที่มีบุญเล็ก ถูกนินทาเล็ก

ชีวิตมีแต่อุปสรรค
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระมหาวีระ ถาวโร)


:b49: :b49: โยม : หลวงพ่อคะ ลูกได้ทำบุญทำทานทำกุศลไว้มาก แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดชีวิตมีแต่อุปสรรค มีแต่ปัญหาถูกคนนินทาบ้าง ถูกคนว่าร้ายบ้าง แสดงว่าบุญกุศลที่ทำในชาตินี้ไม่ให้ผลดีใช่ไหมเจ้าคะ ?

:b50: :b50: หลวงพ่อ : นั้นแหละให้ผลดีมากเป็นมหากุศล ก็ทำถูกแล้วนี่เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเพื่อพบกับคำนินทาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก” คนที่มีบุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ คนที่มีบุญเล็ก ถูกนินทาเล็ก อย่างพระพุทธเจ้าเขาไม่นินทาน่ะ เขาด่าต่อหน้าเลยนะ โดนว่าหนักกว่าเรามาก นั้นแหละคนมีบุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ ด่าแหลกเห็นไหมล่ะ

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบุญกุศลชาตินี้ชาติหน้าหรอก มันเป็นกฎธรรมดา เราเกิดมาเพื่อถูกนินทาแน่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ อีกประการหนึ่งขอให้คิดว่า คนที่นินทาคนก็ดี คนด่าก็ดี เป็นลักษณะของคนบ้า เราก็ไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเมาก็หมดเรื่อง ให้เขาว่าเพียงฝ่ายเดียว อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตอบพราหมณ์ พระพุทธเจ้าท่านกำลังเทศน์อยู่ พราหมณ์โมโหที่ลูกศิษย์ของแกสรรเสริญพระพุทธเจ้า แกรู้ก็ไปชี้หน้าด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยปล่อยให้แก่เทศน์แทน ตามบาลีท่านบอกว่า ด่าแบบทาสกรรมกรด่ากัน ด่าไปด่ามาแกเหนื่อยแกก็หยุดแล้วชี้หน้า “พระสมณโคดม แกแพ้ข้าแล้ว”

พระพุทธเจ้าถามว่า “ตถาคตแพ้เธอตรงไหนเล่า ?” ท่านพูดแบบเรียบๆ นะ

พราหมณ์ตอบว่า “ข้าด่าแก แกไม่ด่าตอบนี่หว่า”

พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า “พราหมณ์ ตถาคตมีความรู้สึกว่าถ้าใครโกรธตถาคตมา ตถาคตโกรธตอบ ตถาคตเลวกว่าคนนั้นนะ” โดนน๊อคเลย อีตานั่นนั่งทรุดเลย ยกมือไหว้กล่าวว่า วาจาของท่านเหมือนสุภาษิต เหมือนกับหงายของที่คว่ำมารับน้ำค้าง ท่านก็เลยขอบวช บวชแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ แบบนี้ถึง ๔ คนด้วยกัน ไม่ทราบว่าทำบุญอะไร ด่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ อย่าไปเอาเข้านะ นี่เพิ่งได้ ๔ คน แต่อย่าไปว่าท่านนะท่านเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานหมดแล้ว

ไอ้นี่แหละการนินทาหลบไม่ได้ ต้องถือว่าตามคติของพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสงฆ์ ระหว่างพระองค์เดินไปกับพระสงฆ์ เมืองนาลันทากับกรุงราชคฤห์ต่อกัน ที่พราหมณ์นำคณะตามไป ท่านลุงนินทาพระพุทธเจ้าหลานสรรเสริญ พระกลับมาฉันข้าวแล้วก็ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและเล่าให้ฟัง

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจในวาจาทั้งสอง คือ นินทาและสรรเสริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตามเขาพูด เราจะดีหรือเลวอยู่ที่การประพฤติและปฏิบัติเท่านั้น”

พูดสั้นๆ เท่านี้ พระพวกนั้นได้บรรลุมรรคผล นี่ต้องถือตามคตินี้นะ ถ้าไปคิดว่าเกิดมาชาตินี้ถูกนินทาแล้วกลุ้มใจ ตายตกนรกแน่


คัดจาก : หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๗
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี :b8: :b8: :b8:


:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=34508

:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38703

:b44: “วัดท่าซุง” สถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน (ยอดนิยม)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=91&t=56512



หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต !!! ยืนยัน “ชาติก่อนมีจริง ทุกคนย่อมไปตามกรรมของตน แม้แต่หลวงปู่ชอบยังเคยเกิดเป็นปลากระพงขาวอยู่ทะเล”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ท่านเล่าเรื่อง “ปลาทอง” ที่บ้านลูกศิษย์ฝรั่งของท่านที่อยู่ประเทศออสเตรเลีย ให้หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และพวกเราพระเณรอุปัฏฐาก ตลอดจนโยมที่อยู่ในห้องพักหลวงปู่ชอบ-โรงเก็บรถวัดป่าโคกมนฟัง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องกรรมที่แปลกๆ ระหว่าง “คน” กับ “ปลาทอง” ตนเอง (ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) เลยขออนุญาตท่านหลวงปู่ทำการบันทึกโน้ตในเรื่องนี้เอาไว้

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเล่าเรื่อง “ปลาทอง” ตัวนี้ให้ฟังว่า...ตอนอยู่ประเทศออสเตรเลีย ท่านรับกิจนิมนต์ไปฉันข้าวที่บ้านลูกศิษย์ฝรั่งในเมืองแอดิเลด (Adelaide) ท่านว่าระหว่างที่เรากำลังนั่งรอผัวเมียลูกศิษย์ฝรั่งเจ้าของบ้านเขากำลังพากันจัดเตรียมอาหารมาถวายท่านอยู่นั้น หลวงปู่บุญฤทธิ์ว่าขณะที่เรากำลังภาวนากำหนดจิตแผ่เมตตาให้กับบ้านหลังนี้อยู่นั้น จู่ๆ จิตเราไปก็ไปสะดุดกับความรู้หนึ่งเข้ามากระทบกับภายใน เราก็กำหนดพิจารณาไล่ตามดูความรู้นี้ว่ามาจากไหน

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านว่า...“ความรู้สึกทุกข์ในอาทรนี้มาจากปลาตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในโถที่บ้านหลังนี้ เราเลยพิจารณาดูปลาทองตัวนี้ว่ามันเป็นอะไร ปลาทองที่เขาเลี้ยงไว้ในโถตัวนี้ ก็คือ อดีตเขาคือเจ้าของบ้านหลังนี้ และเป็นพ่อเจ้าของบ้านหลังนี้”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านว่า ตอนนั้นเราก็คิด เอ..! แล้วเราจะบอกเจ้าของบ้านหลังนี้เกี่ยวกับปลาทองตัวนี้ว่าคือพ่อเขาได้ยังไง เจ้าของบ้านเขาก็พึ่งจะเลิกถือคริสต์หันมานับถือศาสนาพุทธใหม่ๆ ฝรั่งคนนี้เขายังมีความเชื่อฝังอยู่ในศาสนาเก่า ว่าตายแล้วจะได้ขึ้นไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า เขายังไม่มีความคิดตามหลักศาสนาพุทธของเราว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเลยถามโยมฝรั่งผู้ชายเจ้าของบ้านว่า Do you love your farther ? (คุณรักพ่อของคุณไหม)

โยมฝรั่งผู้ชายเจ้าของบ้านที่เมืองแอดิเลด ตอบท่านว่า...เขารักเขาคิดถึงพ่อของเขามาก ตั้งแต่พ่อของเขาตายไปบ้านนี้หลังนี้ก็เหงา อะไรทุกๆ อย่างที่เป็นของพ่อเขาก็เก็บไว้เป็นอย่างดี แม้แต่ห้องนอนของพ่อเขาก็จัดทำให้เหมือนกับตอนที่พ่อของเขายังมีชีวิตอยู่

ลูกศิษย์ฝรั่งของท่านที่อยู่เมืองแอดิเลด เขานำรูปถ่ายพ่อของเขาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่เอามาให้หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านดู

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านว่า...“เป็นหน้าตารูปร่างเดียวกันกับที่เขามาแสดงให้ดูจากภายใน”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ว่า...เราชี้ไปที่โถเลี้ยงปลาทองตัวนี้ เราก็ถามเจ้าของบ้านว่าคุณเอาปลาตัวนี้มาจากไหน ปลาทองตัวนี้สีสันของมันสวยดี

โยมผู้ชายฝรั่งเจ้าของบ้านบอกท่านว่า...ปลาทองตัวนี้เขาไปเห็นโดยบังเอิญที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงในเมือง พอเห็นปลาทองตัวนี้แล้วตนเองเกิดความสงสาร คิดว่ามันคงจะเหงาไม่มีเพื่อนเพราะทั้งร้านมีมันอยู่ตัวเดียว เขาก็เลยซื้อปลาทองตัวนี้เอามาไว้เลี้ยงเล่นๆ ที่บ้าน

โยมผู้ชายฝรั่งเจ้าของบ้านบอกหลวงปู่บุญฤทธิ์ว่า...เขาเองไม่เคยเลี้ยงปลามาก่อน แต่กับปลาตัวนี้ตนเองจะรู้สึกชอบตั้งแต่แรกเห็น พอเอาปลาตัวนี้มาเลี้ยงที่บ้าน เขาก็เลือกมุมให้อยู่ในหลายๆ ที่ พอเอาโถเลี้ยงปลาไปตั้งไว้ที่มุมไหนของบ้าน ปลาตัวนี้มันก็จะว่ายแบบกระวนกระวายไม่มีความสุข แต่พอตนเองเอาโถเลี้ยงปลามาตั้งไว้ที่กลางบ้านตรงจุดที่พ่อของตนเองชอบจะมานั่งดูทีวี ปลาตัวนี้มันก็ไม่แสดงอาการว่ายกระวนกระวายออกมาให้เห็น ตนเองเลยเอาโถเลี้ยงปลาตัวนี้มาตั้งไว้ที่กลางบ้านมุมเดียวกับที่พ่อชอบมานั่งดูทีวีตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

หลวงปู่บุญฤทธิ์ว่า...เราถามเจ้าของบ้านเขาพอให้รู้ความเพื่อจะพิสูจน์ความรู้ของตนเอง เราบอกเขาให้เลี้ยงปลาทองตัวนี้ดีๆ นะ อย่าเอาไปปล่อยหรือเอาไปให้ใครเป็นอันขาด ถ้าไม่เช่นนั้นปลาทองตัวนี้มันจะตรอมใจตาย ลูกศิษย์ฝรั่งท่านที่เป็นเจ้าของบ้านเขาก็รับปากกับท่านในเรื่องนี้

หลวงปู่บุญฤทธิ์...“เราก็บอกเจ้าของบ้านให้เอาโถปลาตัวนี้ตั้งอยู่ในที่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องย้ายเอาไปไว้ที่ไหน ให้ปลาตัวนี้อยู่ในที่พ่อของคุณเคยชอบมานั่งดูทีวีเพื่อเป็นที่ระลึกแทนพ่อ เจ้าของบ้านเขาก็ทำในสิ่งที่เราแนะนำ”


เราผู้บันทึก (ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ถามครูอาจารย์ (หลวงปู่บุญฤทธิ์) คนเราถ้าตายแล้วมันจะไปเกิดเป็นปลาได้ทันทีเลยหรือขอรับ

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านว่า...ได้สิ ทำไมมันจะไปเกิดเป็นปลาไม่ได้ สัตว์โลกถ้ามีกรรมดีกรรมชั่วพาไปเกิดแล้ว มันก็จะไปเกิดเป็นอะไรได้ทั้งนั้น ถ้ามีกรรมดีก็ได้ไปเกิดในสุคติ สวรรค์ พรหม เป็นที่อยู่ หรืออย่างน้อยก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ถ้ามีกรรมชั่วก็จะได้ไปเกิดในอบายเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย ถ้ากรรมชั่วนั้นเบาหน่อยก็จะได้ไปเกิดเป็นเดรัจฉานใกล้คนอย่างเป็นหมาเป็นแมว หรือไม่ก็จะเหมือนกับปลาทองตัวนี้ที่มันได้มาอยู่ใกล้คน

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านก็แจงเรื่องกรรมให้พวกเราที่พากันนั่งฟังอยู่ในห้องโรงเก็บรถทราบ


หลวงปู่บุญฤทธิ์ว่า...อย่างท่านอาจารย์ (หลวงปู่ชอบ) นี่ก็ยังเคยเกิดเป็นปลามาเหมือนกัน

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านกราบเรียนถามองค์ท่านหลวงชอบ...“ท่านอาจารย์เคยเกิดเป็นปลาที่ไหน สมัยไหนหรือขอรับ”

หลวงปู่ชอบท่านบอก...“สมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ เฮาเกิดเป็นพญาปลากะพงขาวอยู่ทะเล ทะเลแห่งนั่นปัจจุบันนี่กะคือที่พักสงฆ์เจ้ากรมโพยม (ที่พักสงฆ์ ก.ม.๒๗ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี) เจ้ากรมพโยมเคยเป็นบริวารเกิดร่วมเป็นปลากะพงขาวกับเฮาในชาตินั่น เกิดอยู่เมืองละโว้ (ลพบุรี) กะเคยเกิดนำกัน”


ตนเองเรียนถามหลวงปู่บุญฤทธิ์ ฝรั่งออสเตเรียคนนี้ที่เขาได้ตายจากชาติมนุษย์ไปเกิดเป็นปลาทองนั้นเพราะกรรมอะไร

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านบอก...“มันเป็นกรรมของคนที่ไม่มีปัญญา ทำให้ตนเองไปหลงติดที่ ติดถิ่น หลงในทรัพย์สินบ้านเรือนของตนเอง หลงติดอยู่ในลูกในหลาน พอตายไปแล้วจิตมันเลยข้องคาในเรื่องที่ตนเองแต่ก่อนชอบไปตกปลา กรรมตัวนี้เลยเป็นเหตุทำให้เขาได้มาเกิดเป็นปลาทอง ถูกลูกชายของตนเองซื้อเอามาเลี้ยง”


หลวงปู่บุญฤทธิ์...“จะว่าอะไร เศรษฐี...อยู่เชียงใหม่ยังไปเกิดเป็นหมาเฝ้าบ้านเก่าของตัวเอง”

หลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านถามหลวงปู่ชอบ...“ท่านอาจารย์จำได้ไหม เศรษฐีหมาที่ท่านอาจารย์เคยพากระผมไปฉันข้าวที่บ้านมันน่ะ หมาตัวนี้มันจะกัดท่านอาจารย์กับกระผมน่ะ”

หลวงปู่ชอบท่านบอก...“จำได้บ้านมันอยู่แถวเจดีย์หลวง ป้อเลี้ยงขี้จิ๊ (เศรษฐีขี้เหนียว) อาจารย์ลี (ท่านพ่อลี ธัมมธโร) อาจารย์สิม (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) บิณฑบาตผ่านบ้านมันยังสิกัด จนอาจารย์ลีเพิ่นจ้องไฟ (กสิณ) ใส่”


:b8: :b8: :b8: ที่มา : บันทึกโดย ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท (๒๕๓๔) ธรรมะประวัติ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม-หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต เรื่อง กรรมคาปลาทอง (วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔)

• ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่ชอบ ฐานสโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24649

• ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21313


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 99 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร