วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 21:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2019, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"...ไม่มีใครที่จะเป็นนักเหตุผลยิ่งกว่าชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธไม่มีเหตุผลแล้ว ใครเล่าในโลกนี้เขาจะมีเหตุผล เพราะชาวพุทธก็คือชาวธรรมนั่นเอง ธรรมก็คือองค์แห่งเหตุผล บวกกันเข้าแล้วเป็นธรรม นี่ละหลักใหญ่อยู่ที่ธรรม แยกออกมาก็คือเป็นเหตุเป็นผล ยอมรับกันด้วยเหตุด้วยผลแล้วก็ไม่ควรจะทำอย่างนั้น นี่เห็นต่อหน้าต่อตา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็ต้องดุกันบ้าง ไม่ดุไม่ได้ คนดื้อด้านต้องเอาธรรมดื้อด้านเข้าใส่ซิ คำว่าธรรมดื้อด้านธรรมยังไง ธรรมปราบความดื้อด้านของคนมี กิเลสเป็นกองทัพใหญ่ กิเลสโหดร้ายทารุณ ธรรมะก็ต้องเป็นธรรมะที่เด็ดเดี่ยว เป็นธรรมะประเภทที่กิเลสจะหมอบ ไม่อย่างนั้นกิเลสจะเพ่นพ่านทั่วโลกดินแดน ธรรมหาที่ออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงต้องมีทั้งประเภทที่เด็ด เพื่อปราบกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกประเภทเด็ด ๆ ธรรมจึงจะอยู่ครองโลกได้ ฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง

เวลามันเด็ดต่อเรามีนะ กิเลสประเภทต่าง ๆ ที่จะเป็นข้าศึกต่อเรานั่นเองแหละมันแสดงขึ้นในใจของเรา อยากให้ทำอยากให้พูด อยากให้ไปอยากให้มา อยากให้ประพฤติอย่างรุนแรง นี่ละประเภทที่รุนแรง ทั้งอยากคิดทั้งอยากพูด ทั้งอยากทำ ทั้งอยากประพฤติต่าง ๆ อันเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา ทำลงไปมากน้อยเป็นความเสียหายทั้งนั้น นี่ประเภทที่โหดร้าย เมื่อประเภทที่โหดร้ายแสดงขึ้นในตัวของเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบเราจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องประกาศหรือเป็นเครื่องยืนยัน เป็นเครื่องต่อสู้ เป็นเครื่องปราบปรามกัน ด้วยความเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกัน
มันอยากคิดประเภทนั้นซึ่งเป็นของไม่ดี เราไม่ยอมคิด เด็ดต่อเด็ดใส่กัน มันอยากพูดเราไม่ยอมให้พูด เราเป็นผู้รับผิดชอบในปากของเราเอง ทำไมจะรับผิดชอบไม่ได้ ข้าวต้มขนมเรายังรับผิดชอบเอาใส่ปากมาแล้วเท่าไร ความรับผิดชอบในลมปากของเราที่จะไปก่อความเสียหายแก่คนอื่น ทำไมเราจะรับรองไม่ได้จะห้ามปรามไม่ได้ เมื่อเรามีธรรมะอันเด็ดเข้าไปสู่ในปากของเราแล้ว จะพูดออกมาไม่ได้เลยคำอันเป็นความเสียหายนั้น นี่คือธรรมะที่เด็ดเพื่อปราบกิเลส หรือความเสียหายที่จะออกมาทางปาก มันจะออกมาทางความประพฤติแง่ใดที่จะเป็นความเสียหาย เราไม่ทำในแง่นั้น ๆ ห้ามปรามให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างบรรดาที่เป็นความชั่วด้วยความดีของเรา นี่ก็ชื่อว่าธรรมะอันเด็ด
เราไม่มีธรรมะอันเด็ดไว้ใช้เราจะแพ้กิเลสวันยังค่ำ จะแพ้ต่อความชั่วทั้งหลายคืนยังรุ่ง หาเวลาดีหาคนดีไม่ได้ในโลกนี้ ถ้าปล่อยให้แต่กิเลสมันเด็ด ๆ มีประเภทไหนก็มีแต่เด็ดๆ อย่างเดียว ประเภทไหนก็ไม่มีคำว่าเบรกห้ามล้อมันเลย มีแต่เหยียบคันเร่งเรื่อยไปแล้ว คนในโลกนี้จะไม่มีเกาะมีดอน ที่อยู่แห่งความดีแห่งคนดี แห่งความสงบร่มเย็นเลย จะเกลื่อนไปด้วยความชั่วช้าลามกความไม่เอาไหน ความเสียหายความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัวลามกทั้งหลายที่ก่อขึ้นมา ผลิตขึ้นมา สร้างขึ้นมานั่นแล เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องปราบปรามมัน
เพราะฉะนั้นเราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ว่า ธรรมะสำหรับปราบกิเลสนั้นมีทุกประเภท กิเลสมีกี่ประเภทธรรมะมีเท่านั้นประเภท กิเลสประเภทโหดร้ายที่สุด ธรรมะจะมีที่โหดดีที่สุดต่อสู้กัน กิเลสที่ทรหดดื้อด้านที่สุด ธรรมะประเภทที่ปราบความดื้อด้านของกิเลสก็มี อย่างนั้นโลกถึงอยู่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วขอให้ย้อนเข้ามาสู่ตัวของเรา คืนหนึ่งวันหนึ่งตั้งแต่เราเกิดมานี้ กิเลสออกเพ่นพ่านมันฉุดมันลากเราไป ด้วยพลังงานของมันมากน้อยเพียงไร เราเคยมีอะไรฉุดลาก เราเคยมีอะไรยับยั้ง เราเคยมีอะไรเป็นเบรกห้ามล้อมันบ้างมีไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่าเราแพ้มันตลอด เอ้า มันโหดร้ายเราต้องโหดดีสู้กัน มันเด็ดเราต้องเด็ด มันเด็ดชั่วเราต้องเด็ดดีใส่กัน นี่ละธรรมะเป็นคู่เคียงกับโลกมาเป็นอย่างนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมะที่เด็ดเดี่ยวก็มี ธรรมะที่ขึงขังตึงตังก็มี ธรรมะที่เป็นประเภทปรมาณูก็มี เช่นเดียวกับกิเลสประเภทปรมาณูเหมือนกัน กิเลสประเภทที่ชั่วช้าลามกที่สุด ก็เรียกได้ประเภทนิวเคลียร์นิวตรอน พวกธรรมะก็เหมือนกันมีประเภทนิวเคลียร์นิวตรอน ดัดกันเหมือนกัน สังหารกันเหมือนกัน ให้นำเอาไปใช้
เวลามันโหดร้ายทารุณขึ้นมามาก ๆ จะมองเห็นอะไรเป็นเท่าหนูตัวหนึ่งนี่นะ คนทั้งคนก็เห็นเท่าหนูตัวหนึ่ง นี่ละที่ฆ่าได้อย่างสบาย ๆ นี่คือความโหดร้ายของมันได้เกิดขึ้นเต็มที่แล้ว เป็นหูหนวกตาบอดไปหมด ไม่ยอมมองดูอะไร ไม่ยอมฟังเสียงใครห้ามปรามทั้งนั้น มีแต่จะเอาให้ได้อย่างใจท่าเดียว นี้คือกิเลสประเภทที่โหดร้ายทารุณที่สุด เราก็ต้องใช้ธรรมะที่โหดต่อกิเลสที่สุด ห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ก้าวออกไปเลย จะก้าวไปไหน เราไม่พาทำมันทำได้เหรอ มันก็ทำไม่ได้ นี่ละเรียกว่าธรรมะประเภทที่เด็ดที่สุด….มี
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่ากิริยาแห่งการกระทำ เราอย่าเข้าใจว่าอันใดที่เป็นกิริยาขึงขังตึงตังจะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แต่เป็นกิริยาของธรรมที่ปราบกิเลสก็มี ไม่อย่างนั้นกิเลสจะมากที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิน เพราะมีอยู่ทุกหัวใจ ถ้าธรรมไม่ผลิตขึ้นทุกหัวใจเหมือนกับคำที่คิดว่าเราเป็นชาวพุทธแล้ว เราจะแพ้กิเลสวันยังค่ำคืนยังรุ่งตลอดไป..."
"ธรรมคู่เคียงกับโลก"

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙






"คนมันชอบดูทุกอย่าง อะไรๆ มันก็จะดู แต่ไม่ชอบดูตัวเอง ลุกไปก็ไม่ดูตูด ตูดนั่งทับหนังตัวเองก็ไม่ดู พอจะดูตัวเองก็ต้องส่องกระจกดู มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุทำงานกันเท่านั้น มีสัตว์มีคนที่ไหนเล่า?"

หลวงปู่บุดดา ถาวโร






การทำดีต้องไม่มีพอ
ต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่า
เมื่อใดจะตกไปในที่มืดมิดขนาดไหน

โอวาทธรรมเด็จพระญาณสังวรฯ







" อายตนะ เป็นบ่เกิดของกิเลสทั้งปวง
กิเลสเกิดขึ้นมาแล้วความร้อนก็เกิดขึ้น
ความร้อนของกิเลสนั้นได้ชื่อว่า " ไฟนรก "
ความเย็นไม่มีกิเลสได้ชื่อว่า " สวรรค์ "
นรกและสวรรค์เกิดขึ้นที่จิตทั้งนั้น."

โอวาทธรรม...
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








บางทีสมาธิเนี่ย
ถ้าเราเข้าถูกจังหวะ
อากาศเหมือนไม่มี
มีอยู่แต่ใจเพียงเท่านั้น
ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใด
ดับสนิทเต็มที่
กายนี้ไม่รู้เลย
รู้แต่ใจตัวนั้น
มันหมดความรู้สึก
แต่รู้ในตัว มีอะไรบ้าง
แต่ว่าถ้าถึงเต็มที่
ก็ขนาดนั้นแล้วไม่รู้ ยุงไม่มี
ไม่มีความรู้สึก หมด
หมดความรู้สึก
แต่เป็นยากนะแบบนี้


หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท







"หลวงพ่อถึงย้ำแล้วย้ำอีก
ให้พยายามพากันทำบุญ(นั่งสมาธิ)
มันไม่ได้ซื้อ อาหารใจไม่ได้ซื้อ
เลี้ยงใจ แต่งใจ รักษาใจหน่อย
เวลาเสียชีวิตแล้วก็จะเห็นใจ เห็นบุญ.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ








ทำบุญแต่ไปเกิดเป็น”หมา”
“ถ้าเราอยากเกิดเป็นมนุษย์ เราต้องยังทำบุญอีกระดับนึง คือการรักษาศีล ๕ เพราะถ้าเราทำบุญให้ทานอย่างเดียว แต่ไม่รักษาศีล ๕ เวลาเราไปเกิดข้างหน้า ถึงแม้เราจะไปเกิดบนกองเงินกองทอง ไปเกิดมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่จะไม่ได้รูปร่างของมนุษย์
เช่นไปเกิดเป็น “หมา” สุนัขที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ก็มีคนมีเงินมีทองซื้อเอาไปเลี้ยง ก็อยู่อย่างสุขสบายอยู่เหมือนลูกเศรษฐี เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นมนุษย์ เพราะไม่ได้รักษาศีล ๕ ไว้ ก็ต้องไปเกิดเป็นสุนัข แต่ถ้าอยากไปเกิดเป็นลูกของมนุษย์ลูกของเศรษฐี มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ก็ต้องรักษาศีล ๕ ไปด้วย คือต้อง
ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ละเว้นจากการลักทรัพย์
ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี
ละเว้นจากการพูดปลดงดเท็จ
ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา
เพราะศีลเป็นเหตุที่จะพาให้เราได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นเทพเป็นพรหมตามลำดับต่อไป ”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
เทศนาชุดกำลังใจ ตอนที่ ๒๘๙








ผู้ที่ไม่เคยทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ความสมหวังแห่งผู้นั้นไม่มี
ย่อมคลาดแคล้วแห่งสมบัติหลายประการ ทำนาข้าวตาย ค้าขายขาดทุน
หาคนค้ำจุนไม่ค่อยได้ คนนั้นป่วยไข้ไปหาหมอก็ขัดข้อง รักษาไม่ได้
ให้ตกอับทุกหน้าที่ ตกลงคนนั้นต้องกอดเข่าเจ่าจุก
เพราะไม่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติปางก่อน ไม่ชวนให้คนอื่นเมตตา
.
หลวงปู่หลุย จันทสาโร








"เมื่อตื่นเช้า เราก็ควรนั่งภาวนาก่อนสัก ๕ นาที ๑๐ นาที ก่อนที่จะลุกไปทำการทำงาน ไม่ให้ขาด เมื่อนั่งภาวนาเสร็จแล้วก็มาไหว้พระ แผ่เมตตา
ในเมื่อไปทำงาน ก็จะสำรวมระวังเสมอว่า เราจะตั้งตนเป็นคนดี จะมองตนเองอยู่เสมอ หิริคือความละอายแก่ใจเราจะคิดไว้อยู่เสมอ โอตตัปปะคือความกลัวต่อบาป เราจะไม่ทำบาป เราจะไม่เอารัดเอาเปรียบคดโกง เราจะทำดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อาชีพใดที่เป็นมิจฉาอาชีพก็หลีกเลี่ยง เราจะไม่ให้ผู้ใดคนใดหนักใจเพราะเรา
ขอให้ตั้งอกตั้งใจเป็นฆราวาสที่ดี และพร้อมกันก็ให้มีศีลธรรม บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา หาทางพ้นทุกข์ให้ตัวเอง อย่าไปหมกมุ่นกับโลกจนเกินไป โลกมันก็เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เกิดแก่เจ็บตายอยู่อย่างนั้น พวกเราก็ควรหาทางสู่มรรคสู่ผลของพวกเรา..."

พระธรรมคำสอน
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
วัดป่านาคำน้อย จ. อุดรธานี






"คนเราไหว้พระเช้าๆ ปากก็ว่าเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ สายๆ ก็กลายเป็น ลูกหลานสรณัง คัจฉามิ พวกที่เขาไปชุมนุมกันก็ ฆ่ากันสรณัง คัจฉามิ คนท่องพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ ไม่ถึง จะถึงจริงๆ น่ะ หายาก หากเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะจริงๆ ต้องฝากเป็นฝากตาย"

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองแสง จ.อุดรธานี








ไขข้อสงสัยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องหลวงตาบัวไม่ให้ถ่ายรูป
"ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะเข้าใจว่าจะมีเป็นจำนวนมากที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องหลวงตาบัวไม่ให้ถ่ายรูป ความจริงการถ่ายรูปเราไม่หวงแต่ไม่อยากอวด คืออยากให้ถ่ายเรื่อยไป เขาจะได้เอาไปชมเชยว่าหลวงตาบัวดีอย่างนั้นอย่างนี้เราก็ไม่มี เราจะหวงหาเหตุหาผลไม่ได้ก็ไม่มี เราหวงเพราะสิ่งที่ควรให้หวงมีอยู่ ส่วนมากผู้ที่ถ่ายไปแล้วเอาไปล้างฟิล์มที่ร้านเขานั่นแหละ พอไปล้างฟิล์มแล้วเจ้าของไม่รู้ และเขาเอาไปแล้วตอนนั้นน่ะ จากนั้นมาก็ออกไปจ่ายตลาด รูปครูบาอาจารย์เต็มตลาดเหมือนกับปลาเน่า ไม่น่าดูเลย รูปครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินอย่างนั้นไม่เหมาะ เราจึงไม่อยากเห็นไม่อยากให้เป็น นี่ละเหตุสำคัญที่ไม่ค่อยจะให้ถ่ายรูปหรือไม่ให้ถ่ายรูป เพราะอันนี้เองเป็นหลักใหญ่มากกว่าเหตุอื่น
ส่วนที่จะให้ถ่ายเพื่อให้เขาเคารพบูชาอะไรอย่างนั้น เราก็ไม่คิดนัก เพราะหลวงตาบัวก็ยังไม่ได้แน่ใจตัวเองว่า เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วเหรอ หลวงตาบัวนั่นน่ะ เราอยากถามเจ้าของเสียก่อน ก่อนที่จะให้ใครถ่ายรูป ฟังแต่ว่าหลวงตาบัวเป็นไร มันได้หน้าได้หลังอะไรหลวงตาบัว สิ่งที่เก่งก็มีแต่กินกับนอน หลวงตาบัวน่ะเก่ง ใครอย่ามาแข่งถ้าไม่อยากตกเวที หลวงตาบัวเอาไม่ได้พอยกล่ะน่ะ ยังไม่ได้ยกครูด้วยซ้ำไป หลวงตาบัวเอาตกเวทีแล้ว ถ้าเป็นเรื่องกินกับนอนไม่มีใครสู้ เก่งกว่าใครทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะนอนมาตั้งแต่วันเกิด กินมาตั้งแต่วันเกิด จนกระทั้งป่านนี้ทำไมจะไม่ชำนิชำนาญล่ะ ต้องชำนาญแน่นอน ส่วนใครจะเป็นเหมือนกันหรือไม่เป็น ไม่เอาเราไม่รับรู้ เรารับรู้แต่หลวงตาบัวองค์เดียว ใครจะกินจะนอนขนาดไหนตั้งแต่เกิดมานั้น เราไม่รับรู้ด้วยตรงนี้นะ
นั่นละการถ่ายเราจึงให้ถ่ายพอประมาณ ทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในเกณฑ์พอประมาณแล้วเหมาะ ถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า หลวงตาบัวนี้หึงหวงรูปเพราะเหตุผลกลไกอะไร ก็ได้เล่าให้ฟังเรียบร้อยแล้วนะ ที่ดุนั่นเพราะอะไรถึงดุ นี่อันหนึ่งนะ ดุนั้นเราก็ชี้แจงเหตุผลให้ทราบเรียบร้อยแล้ว และผู้ที่รับทราบก็เป็นที่ลงใจแล้วยอมรับ แล้วอยู่ ๆ ก็ถ่ายพึ่บเอาเลย นี่คนยอมรับกันยังไงจึงต้องเป็นอย่างนั้น ชาวพุทธเราไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น..."

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙







ฉะนั้นเราสมารถเลือกเกิดได้
โดยการรักษา ศีล ภาวนา
ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพราะมีโอกาสบำเพ็ญ
เฉพาะในช่วงที่เป็นมนุษย์เท่านั้น
เรารู้ตั้งแต่เรายังไม่ตาย
เราบำเพ็ญอยู่ในขั้นไหนจะเกิดเป็นอะไร
เช่น การให้ทานเป็นนิจ เป็นประจำ
ก็ไม่อดไม่อยาก
ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ก็
จะเป็นคนร่ำรวย
ถ้าศีลดีก็เป็นคนสวย หน้าตาผ่องใส
ถ้าศีลไม่ดี ศีลเศร้าหมอง
แม้เกิดมาเป็นคน
หน้าตาก็บูดบึ้งเศร้าหมอง เป็นต้น

.........หลวงตาศิริ อินทสิริ.........
วัดถ้ำผาแดงผานิมิต ต. บัวเงิน อ. น้ำพอง จ. ขอนแก่น








สติ เหนือกรรม
ทุกคนชอบบุญ ทุกคนไม่ชอบบาป แต่ปัจจุบันก็น้อยคนนักที่ปฏิเสธคำยั่วยุต่างๆ นานาของบาป หรือของกรรมนั่นเอง มีน้อยคนนักที่เข้มแข็งปฏิเสธคำยั่วยุของบาปกรรมได้สำเร็จ การทำบาปทำไม่ดีจึงไม่เบาบางจากโลก ทั้งยิ่งวันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที
...ที่รู้ได้ดังนี้ก็ด้วยเราพากันสารภาพเอง บอกเองว่า โลกทุกวันนี้มืดแล้ว ไม่มีแสงแห่งความดีงามเพียงพอจะสู่กับอำนาจเลวร้ายของกรรม
ที่จริงเราพากันแพ้กรรม ยอมตกอยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของกรรม ยอมคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ได้ต่างๆ นานา
ไม่ใช่เพราะเราอยากทำเช่นนั้น ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว แต่ที่พากันเป็นคนชั่วคนไม่ดีก็เพราะตกอยู่ใต้อำนาจของกรรม โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกรรมบัญชา
ถูกกรรมสั่งให้ยอมเป็นคนไม่ดี ความยินยอมพร้อมใจไปกับกรรมก็เพราะขาดสติอย่างสิ้นเชิง จนไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้ความควร ไม่รู้ความไม่ควร
สติจึงสำคัญนัก สำคัญที่สุด สติจะทำให้ผู้มีสติรู้ผิดรู้ชอบดังกล่าวแล้วไม่มีใครอยากทำผิด ถ้ามีสติรู้ตัวรู้ผิดชอบ จะรู้เมื่อกรรมเข้ามาบัญชา จะไม่ยอมแพ้กรรม
นั่นก็คือจะสามารถรักษาตัวให้พ้นจากการเป็นคนคิดชั่ว คนพูดชั่ว คนทำชั่วได้
จงเห็นความสำคัญที่สุดของสติ พยายามมีสติไว้ให้เสมอ คือพยายามอย่าให้ขาดสติ อะไรเกิดขึ้นได้จะได้ไม่ยอมเป็นผู้แพ้กรรม จะรู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบ อะไรจะพาไปถูกก็รู้ อะไรจะพาไปผิดก็รู้ อะไรจะพาไปดีก็รู้ อะไรจะพาไปชั่วก็รู้
ความมีสติรู้เช่นนี้สำคัญนัก ให้มีสติจริง ให้รู้จริง จะไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวร้ายรุนแรงของกรรม กรรมที่ทุกคนได้ทำไว้มากมายด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
อกุศลกรรมคือกรรมไม่ดี ตามทันเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละที่จะบังคับบัญชาผู้ที่ได้ทำกรรมไม่ดีไว้ ให้ทำบาปทำชั่วต่างๆ นานา อันจะฉุดกระชากลากถูไปสู่ห้วงเหวแห่งความชั่วร้าย ที่จะให้โทษทุกข์รุนแรงทั้งสิ้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก






"ให้รู้จักกายกับใจ ในตัวของเรามีกายกับใจเท่านั้น แต่อย่าทิ้งใจนะทีนี่ให้ดูใจ แต่งใจ รักษาใจ ให้อาหารใจบ้าง อาหารใจคือดูลมหายใจเข้า-ออก มันไม่ได้ซื้อ..อาหารกายเห็นไหมละวันหนึ่งกี่อย่างๆ "

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ









สำรวมจิตใจของตนให้ดี เราเกิดมาในโลกนี้ก็ให้เรานึกว่า “เราเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี” นี่ก็เคยพูดเตือนอยู่บ๊อยบ่อย ไม่ใช่เกิดมาเล่น ไม่ใช่เกิดมาเพื่อความรักความใคร่ในรูปในเสียงในกลิ่นในรส ในเครื่องสัมผัสต่างๆแต่เพียงเท่านี้ ถ้าบุคคลใดเกิดมาเพื่อผูกพันกับสิ่งเหล่านี้โดยส่วนเดียวแล้ว ชีวิตของผู้นั้นก็เป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เพราะว่าใครๆ ก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า “กามคุณทั้งห้า” นั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน แม้ว่าใครจะผูกพันกับสิ่งเหล่านั้นเท่าไร มันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นแก่นเป็นสาร เพราะบรรดารูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสทั้งหลายมันก็มีในตัวนี้หมดแล้ว ไม่ใช่มีแต่ภายนอกนั้น รูปก็ได้แก่ รูปร่างกายทุกส่วนนี้ เสียงอันนี้ เสียงคำพูดคำจาต่างๆ นี้มันก็มีอยู่ในนี้นิ กลิ่นอย่างนี้มันก็อยู่ในกายนี้ รสก็มีอยู่นี้ สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็มีอยู่ในนี้ ลองคิดดู จะมีอยู่ที่ไหนล่ะ มันมีอยู่ในนี้แล้ว
ทีนี้เมื่อเราเพ่งดูอยู่ในนี้เมื่อเห็นว่ามันไม่เที่ยงไม่สดสวยงดงามอะไรเลยอย่างนี้ เมื่อมันเห็นรูปอันนี้มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนไม่สวยไม่งามแล้วรูปอื่นมันก็ไม่สวยไม่งามเหมือนกันนั่นแหละ เหมือนกัน เสียง กลิ่น รสก็ดี สัมผัสทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อเห็นในนี้มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนอะไรแล้ว ภายนอกนู้นมันไม่ก็เที่ยงไม่ยั่งยืนเหมือนกัน เมื่อเห็นในนี้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจอะไรเลยอย่างนี้ มันก็เห็นสิ่งภายนอกนู้นไม่น่าปรารถนาไม่น่าพอใจอะไรเหมือนกัน แต่ว่าทำอย่างไรได้ ไหนๆ มันก็ได้เกิดมาแล้ว ได้มาอาศัยอยู่ขันธ์ห้านี้แล้ว จะฆ่าตัวตายเสียอย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง ก็เป็นกรรมเป็นเวร
เมื่อบุคคลมารู้อย่างนี้แล้วก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่า การที่เราได้ขันธ์ห้าการที่เป็นรูปร่างของมนุษย์มานี้นะ บุญกรรมตกแต่งให้มา เพื่อให้เราได้สร้งบุญบารมีเพิ่มเติมของเก่า ให้มันมากขึ้นไปโดยลำดับ จนกว่ามันจะเต็มบริบูรณ์ คนเรานี้ถ้าสั่งสมบุญไม่เต็มตราบใดแล้วก็จะไม่ยุติลงได้เลยการท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตายในโลกนี้นะ ก็จะต้องท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตายในโลกนี้ร่ำไปอยู่อย่างนั้นแหละ เรียกว่า ท่องเที่ยวเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมีเพื่อให้มันเต็ม

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “เกิดมาเพื่ออะไร”
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย







เร่งรีบสะสมคุณงามความดีใส่ตน
ให้รอดพ้นจากวัฏฏะทุกข์เสีย
ถึงแม้ไม่ได้ธรรมขั้นสูง
ก็ขอให้ได้ตัดกระแสของวัฏฏสงสาร คือ
1 สักกายทิฏฐิ
2 วิจิกิจฉา
3 สีลัพพตปรามาส
ตัดได้ 3 อย่างนี้ก็พอแล้ว
แปลว่าตัดวัฏฏสงสารได้แล้ว
ตัดวัฏฏะทุกข์ขั้นต้นได้แล้วแน่นอน
อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้
จิตสูง จิตเด่น จิตเลิศประเสริฐแท้ในขั้นนี้


(คำสอนหลวงปู่ทับ ที่สอนหลวงปู่จันทา)
จากหนังสือชีวประวัติ
หลวงปู่จันทา ถาวโร







" .. จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ?
คนเราไม่รู้จัก นึกว่าการเดินจงกรม นึกว่าการฟังธรรม นึกว่าการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติ นั่นเป็นส่วนน้อย ก็จริงอยู่ แต่มันเป็นเปลือกของมัน
การปฏิบัติจริง ๆ ก็ปฏิบัติเมื่อประสบอารมณ์ นั่นแหละการปฏิบัติ
แล้วที่มันประสบอารมณ์กับอยู่นั้น เช่น.. มีอะไร มีคนมาพูดไม่ถูกใจนะ เราเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าคนพูดให้ถูกใจเรา เราก็เป็นสุข ตรงนี้แหละตรงที่จะปฏิบัติ
เราจะปฏิบัติอย่างไร อันนี้สำคัญ
ถ้าเราไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์ มัวไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่พบธรรมะ
เมื่อรู้จัก สุข ทุกข์ ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร เราจะแก้ไขปัญหาอย่างไร โดยธรรมะ นี่คือการปฏิบัติ .. "

หลวงปู่ชา สุภัทโท






หลวงปู่ขาวท่านฉลาดในการสอนเด็กมาก ท่านบอกว่า
“ถ้าเด็กคนไหนมีความประพฤติเรียบร้อย ไม่ดื้อดึง ไม่เกเร รักพ่อรักแม่ รักญาติมิตร ขยันหมั่นเพียรเรียนวิชาความรู้แล้ว หลวงปู่จะสอนคาถาดีให้ ถ้าคนไหนไม่ขยันหมั่นเพียร ก็เอาของดีไปไม่ได้ คาถาหรือของดี มันจะอยู่กับคนดีเท่านั้น”
พวกเด็กๆ ในหมู่บ้านล้วนแต่ขยันขันแข็ง ทำตัวน่ารักทุกคน พ่อแม่พอใจมาก วันหนึ่ง หลวงปู่จึงบอกคาถาดีให้ พวกเด็กประณมมือ แล้วตั้งใจทำสมาธิ ทำใจให้
แน่วแน่ แล้วหลวงปู่ก็บอกคาถาหัวใจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ว่า
“อิ สวา สุ อิ สวา สุ นะโมพุทธายะ”
เด็กๆ จดจำกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะต่างก็ได้ฝึกสมาธิมาแล้ว หลวงปู่ให้ฝึกท่องบริกรรมทุกเช้าเย็น หรือบริกรรมตลอดเวลาเหตุการณ์เกิดขึ้น เนื่องจาก
เด็กๆ ชอบพากันไปกระโดดน้ำเล่นมีฝายกั้นน้ำเข้านาใกล้หมู่บ้าน สร้างรำคาญใจให้เจ้าของนา เพราะกลัวฝายจะพัง เจ้าของนาจึงไปตัดไม่ไผ่รวกลาย แล้วเอาไปปักไว้ใต้น้ำ ตรงที่เด็กชอบกระโดด หวังจะให้ไม่ไผ่เสียบเด็กตาย หรือบาดเจ็บ จะได้เข็ดหลาบ
พวกเด็กๆ ไปกระโดดน้ำเล่นเช่นเคย ก่อนกระโดดก็ว่าคาถาก่อนทุกคนไป ทุกคนจึงรอดพ้นจากขวากไม้ไผ่ที่เจ้าของนาปักไว้หลายอันเจ้าของนาแอบดูอยู่ ไม่เห็นเด็กรับอันตรายสักคน จึงได้เข้าใจว่าคง เป็นเพราะคาถาที่เด็กท่องนั่นเองทำให้แคล้วคลาดได้
หลวงปู่ขาวท่านบอกว่า
“คาถานี้ดีสำหรับผู้นับถือเชื่อถือด้วยศรัทธา อย่างจริงใจ เพราะพระธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง เว้นไว้เสียแต่กรรมเวรตามทัน หรือหมดอายุขัยซึ่งต้องไปตามบุญกรรมนั้นๆ”

ที่มา : หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล จ.หนองบัวลำภู (โครงการหนังสือบูรพาจารย์)






..อัน "สรรเสริญ" ไม่มีตัวตนหรอก
มีแต่ลม ๆ แล้ง ๆ หาแก่นสารไม่ได้
แต่เรากลับไปหลงว่า "เป็นตัวเป็นตนจริง"
ไปหลงหอบเอาลม ๆ แล้ง ๆ มาใส่ตนเข้า
ก็เลย "พองตัวอิ่ม" ไปตามความยึดถือนั้น
ไปถือ "เอาเงาเป็นตัว" เป็นจริงเป็นจัง
แต่ "เงาเป็นของไม่มีตัว เมื่อเงาหายไป"
ก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ โทมนัสน้อยใจไป
ตามอาการต่างๆ ตามวิสัยของโลก..

- หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
สิ้นโลก เหลือธรรม







“ทุกอย่าง ในโลกนี้
แม้แต่ “เลวที่สุด”
ถ้ามองเป็น ก็ได้ประโยชน์
อย่างน้อยก็ได้ “ความรู้
ได้ “ความจริง”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยาย “ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม”







สิ่งที่นักปฏิบัติควรใส่ใจให้มาก คือต้องพยายามลดหรือพยายามเลิกละกามคุณทั้ง ๕ เพราะกามคุณเป็นศัตรูของจิตใจ ทำให้ใจเดือดร้อนวุ่นวาย เป็นทุกข์
ถ้าทำใจให้สงบจากกามคุณทั้ง ๕ ได้ จึงจะพบคำว่า วิเวก (ความสงบ) แนวทางสำหรับปฏิบัติก็คือ ให้มองทุกสิ่งทุกอย่างว่า ล้วนตกอยู่ในกฎพระไตรลักษณ์ คือ ไม่มีอะไรที่จะคงสภาพอยู่เหมือนเดิม แต่จะต้องเปลี่ยนแปร มีลักษณะแฝงอยู่ที่เรียกว่าเป็นทุกข์
เพราะทนต่อสภาพอยู่อย่างเดิมไม่ได้ มีลักษณะที่เรียกว่าเป็นอนัตตา คือ ไม่มีจุดที่จะบังคับได้ว่า อย่า แก่ อย่าเจ็บ อย่าแปร รวมความคือ ทุกๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง
ล้วนมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไป การกำหนดได้อย่างนี้ ความยึดมั่น(อุปทาน) จะอ่อนกำลัง ถ้าความยึดมั่นอ่อนตัว ทุกข์ก็จะน้อยลง ถ้าจิตไม่ยึดมั่นเลย เช่นเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เป็นต้น ใจก็ไม่เป็นทุกข์
ข้าพเจ้าก็เจอมารทางจิตใจอย่างสาหัส มันโถมกำลังย่ำยี จนข้าพเจ้าแทบป่นปี้ ตั้งตัวไม่ติด มารที่ว่าคือ กามคุณ ๕ (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) เกิดขึ้น ก่อกวนใจอย่างหนัก มีรูปและเสียงปรากฏทางนิมิตเสมอ จิตใจของข้าพเจ้าทุรนทุราย ร้อนรุ่ม อึดอัด หนักอึ้ง
เป็นอาการที่แสนทรมาน เกือบจะเอาเพศบรรพชิตไปไม่ตลอด แต่แล้วสติปัญญา (ปัญญาบารมี) ที่รับการอบรมมาจากครูอาจารย์ ก็ผุดมาช่วยแก้ปัญหา ประมาณเดือนหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าแสนทรมาน
แต่แล้วก็ปลุกใจตนเองว่า ปัญหาคือสิ่งที่ต้องแก้ อุปสรรคคือสิ่งที่ต้องสู้ เราจะหาวิธีแก้มัน สู้มันให้สมกับการเป็นลูกผู้ชาย เป็นไงก็เป็นกัน ฉันจะไม่ยอมสยบต่อมาร
ว่าแล้วก็กำหนดหาวิธีแก้แบบอัตโนมัติ ตามแต่จะคิดได้ ครั้งแรกกำหนดหลักการว่า จะฉันให้น้อยพออยู่ได้ แต่จะเดินจงกรมทั้งวัน เพื่อเป็นการทรมานให้เมื่อยเพลีย จิตใจจะได้ไม่มีโอกาสคิดถึงรูปเสียง...
ขั้นตอนในการปฏิบัติคือ ฉันเช้าเสร็จ พอล้างบาตรเสร็จเรียบร้อย ก็เข้าห้องไหว้พระให้ใจสบาย พร้อมกับขอให้บารมีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ได้ช่วยบันดาลให้จิตใจของข้าพเจ้าพบความเบา ความสว่าง ความสงบ ให้จิตได้คลายจากกามคุณทั้ง ๕
จากนั้นก็เข้าสู่ที่จงกรม พอ ๓ โมงเช้าก็เริ่มเดินจงกรม เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น จนถึง ๕ โมงเย็น ก็เลิกเดิน แล้วไปทำกิจวัตรประจำวัน ตั้งใจว่า ทำอยู่อย่างนั้น
ถ้าครบ ๑๕ วันแล้วไม่ได้ผล ก็จะเปลี่ยนวิธีใหม่ ทำความเพียรเพื่อทรมานตนโดยไม่ยอมถอย แม้ว่าฝนจะตกแดดจะออกครบ ๑๕ วันแล้วก็ยังไม่ได้ผล กามคุณมิได้เพลาเลย แต่กลับยิ่งกำเริบ
ปัญญาบารมีช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากบ่วงมาร
ทรมานตนให้ลำบากครบ ๑๕ วันแล้ว กามคุณก็ยิ่งกำเริบ เลยนึกได้ว่า ทุกขกิริยานั้นมิใช่ทางประเสริฐ ฉะนั้น กิเลสจึงมิได้ลดละ ต่อไปนี้เราควรใช้ หลักสติปัฏฐานเข้าแก้ปัญหาดู
นั่นคือ จะคอยติดตามดูจิตอยู่ทุก ๆ ขณะ จิตคิดไปไหน เราจะตามกำหนดรู้จิตมันอยู่อย่างไร เราจะตั้งใจดูอาการอยู่ของจิต ถ้ามันร้อน มันร้อนยังไง และมันร้อนเพราะอะไร
ถ้าจิตรู้สึกสบาย ก็จะกำหนดดูว่ามันสบายอย่างไง จะคอยควบคุมให้สติสัมปชัญญะอยู่กับจิตตลอดเวลาโดยไม่ลดละ ถ้ามันหาเรื่องหาราวที่เป็นทุกข์ใส่ตัว เราก็จะพยายามรู้ มันใฝ่ไปทางดี ทางเสีย เราก็ตามรู้
พอพยายามอยู่อย่างนั้นทุก ๆ ขณะ ได้ประมาณ ๓๐ นาที จิตเริ่มเบา เย็น สงบ ข้าพเจ้าอุทานในใจ ด้วยความดีใจว่า นี่ถูกวิธีแล้ว ๆ
จากนั้นก็เกิดอาการภูมิใจ อิ่มใจ ปลื้มใจจนขนลุกขนชัน และก็ยิ่งมีกำลังใจ จึงตามดูจิตอย่างหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผลก็ยิ่งคืบหน้า คือจิตยิ่งสบาย ๆ จนในที่สุดก็ปกติเหมือนเมื่อครั้งก่อน ๆ มา
สำหรับข้าพเจ้าเอง เมื่อมีปัญหาทางจิต ก็ใช้แนวทางของสติปัฏฐานในการแก้ปัญหา และก็ได้ผลดีเสมอมา นี่คือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงกับตนเอง แต่นักปฏิบัติทั้งหลายไม่ควรปลงใจเชื่อข้าพเจ้าทันที เพราะอุปนิสัยและบารมีของแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน
วิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลจึงอาจจะแตกต่างกันไป ถึงอย่างไรด้วยความหวังดีต่อกัน ข้าพเจ้าใคร่ขอเสนอแนะต่อผู้ปฏิบัติว่า เมื่อท่านเจอมารทางกายหรือมารทางใจก็ตาม
ท่านจงตั้งสติให้ดี อย่าให้หวั่นไหว อย่าให้สติรวน จงควบคุม ความคิดของตัวเองให้มั่นคง อย่าให้หวั่นไหว อย่าให้คลอนแคลน แล้วค่อย ๆ คิดหาวิธีแก้ปัญหานั้นด้วยความใจเย็น และให้สุขุมรอบคอบที่สุด โดยเฉพาะต้องใช้ขันติและความฉลาดให้มากเป็นพิเศษ
เมื่อกำหนดหลักการในการแก้ปัญหาได้แล้ว ก็ให้ดำเนินการแก้ปัญหาตามหลักการที่กำหนดไว้นั้นด้วยความมีสัจจะที่แน่นอน และมั่นคงว่า จะทดลองแก้ปัญหานั้นตามหลักการนั้น ๆ
สักกี่วันก็พยายามทำให้ได้ตามที่ตั้งใจ ถ้าไม่ได้ผลโดยวิธีปฏิบัติเช่นนั้น ท่านก็จะพบวิธีใดวิธีหนึ่งในใจของท่านเองจนได้ เพราะจิตที่ศึกษาสภาพ ย่อมจะเกิดการรู้ผลไปโดยอัตโนมัติ
ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองก็โดยอาศัยหลักค่อยทำ ค่อยปฏิบัติ ค่อยติดตามดูจิตนั่นเอง เอาจิตศึกษาจิต แล้วก็เกิดความรู้สึกที่เป็นสภาวธรรม โดยผู้นั้นจะรู้ด้วยตนเองดีว่า สภาพจิตนั้นมันเป็นอย่างไร (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ)
สาระทางธรรมประดับแง่คิด
ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดมีในตัวเรา ก็ต้องปฏิบัติหรือเจริญธรรมตามหลักอริยมรรค จึงจะคลายหรือถอนกิเลสได้ ถ้าเพียงแต่อ่านหรือศึกษา ก็ให้ผลดีเพียงขั้นต่ำ คือ ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ความซาบซึ้ง รู้ว่าอะไรควรและไม่ควร ถึงจะละราคะ โทสะ โมหะ ได้นิดหน่อย
ด้วยเหตุที่ยังรู้สึกละลายต่อความรู้อยู่บ้าง ผลของการเรียนรู้ก็ คงช่วยทำให้เป็นคนดีระดับกัลยาณชน ราคะ โมหะ โทสะ ยังมีอยู่ในใจ และจะแสดงอาการเป็นครั้งคราว จิตใจก็มืดเป็นครั้งคราว ไม่มืดตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าดีอยู่บ้าง
เมื่อเดินทางต้องอย่าหลงทิศทาง เพราะถ้าหลงทิศ และเดินไปตามทางที่ตนหลงนั้น ก็ยิ่งนับวันจะไกลจุดหมาย ถ้าหลงทิศแล้วก็ยืนอยู่กับที่คอยถามคนอื่นที่เดินผ่านมา
เมื่อแน่ใจก่อนจึงค่อยเดินต่อไป อย่างนี้มีโอกาสถึงเป้าหมายได้ ข้อนี้ฉันใด นักปฏิบัติธรรมที่ดี ก็ไม่ควรหลงหลักสัจธรรม เช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุไม่ควรเกี่ยวข้องกับที่สุด ๒ อย่าง
คือ การมัวเมาหมกมุ่นอยู่กับกามคุณ ๕ (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) และไม่ควรทรมานตนให้ตึงเกินไป เช่น อดข้าว อดน้ำ เป็นสิบๆ วัน จนเกือบตายเป็นต้น
ใครก็ตามที่ลืมหลักสำคัญที่ว่ามา คนนั้นประสบทุกข์แน่ๆ ยิ่งมั่วยิ่งเสพกามคุณ ๕ เท่าไร ความเป็นตัวของตัวก็ยิ่งหมดไป ใจจะติดหรือตกเป็นทาสของสิ่งนั้นๆ โดยหมดความเป็นอิสระในตัว เหมือนคนเสพฝิ่น ยิ่งเสพยิ่งติด หิวและหงุดหงิดอยู่เรื่อย นี่คืออาการของคำว่าติด
คนที่ติดกามคุณก็เช่นเดียวกันถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่น่าสงสารเหลือเกิน เพราะบางคนติดมาก จนได้แต่หวง หึง และเป็นทุกข์ทรมานจิตใจ เป็นแรมเดือน แรมปีก็มี
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ คนที่เมาเหล้าก็ไม่เคยสมเพชตัวเอง คนที่เมากามคุณก็ไม่เคยสลดใจตนเองฉันนั้น ถ้าอยากมีความสุขแท้จริง หรือสุขที่บริสุทธิ์ปลอดภัย ให้ดำรงตนอยู่ในขอบเขตของศีล สมาธิ ปัญญา
อย่ากระทำ พูด คิด ในทางที่ขัดต่อ ศีล สมาธิ ปัญญา อีกนัยหนึ่งก็คือ ให้ปฏิบัติตนตามหลักอริยมรรค ๘ อย่าใช้ชีวิตในทางที่ขัดต่อมรรค ๘ ชีวิตท่านจะพบความสุขใจ ความเอิบอิ่มใจ ที่บริสุทธิ์อย่างแน่นอน

หลวงปู่หลอด ปโมทิโต






ธรรมถึงใจ
“การปฏิบัติ ต้องให้ใจเข้มแข็ง ใจเด็ด ใจเดี๋ยว จะเอาอันใดก็ต้องเอาอย่างนั้น จนให้เห็นใจนั้น ทำไมทรมานยากนัก ให้มันอันเดียวอยู่อย่างนั้น ดูซิว่าจะไปไหนใจนั่นน่ะ
แล้วนิวรณ์มันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าเมื่อเราพยายามอยู่อย่างนั้น เอ้อ มันไม่หนีเอาไป หนีไปไม่ได้ เหมือนไฟเข้าไปเผาอยู่ในกองขยะ ก่อขึ้นน้อย พอขยะติดแล้วลุกอยู่ตลอดเวลา...ผลที่สุดกองใหญ่ ๆ เท่าไรก็ไหม้ลงไปจนหมด”
คนเราแม้จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ก็ไม่มีวันพอ ไม่มีวันอิ่ม มีเงินทองมากมายขนาดไหน ก็ไม่มีวันอิ่มวันพอเหมือนกัน กินข้าปลา ก็เหมือนกันไม่มีวันอิ่มวันพอ เช้ามาก็กิน กินแล้วก็ถ่าย ถ่ายแล้วก็กินอยู่อย่างนี้ ไม่มีที่สุดของมนุษย์
เมื่อบุคคลผู้มีปัญญาที่ควรแล้วมาพิจารณาตัวเรา สิ่งทั้งหลายพระองค์ทรงตรัสว่า “เป็นสิ่งที่เราจะต้องตัดทิ้ง เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งทั้งปวงในโลกนี้เลย
แม้แต่ร่างกายของเราอันนี้ก็ต้องพลัดพรากทิ้งไว้ ไม่สามารถจะนำไปได้...”

พระครูสิทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 112 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร