วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2019, 06:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:


ถ้ามีปัญญาอ่านเข้าใจ
ก็รู้คำตอบไปแล้ว
บอกหลายครั้ง
ว่าไม่เข้าใจ
อ่านใหม่
จนกว่าจะได้คำตอบ
เพราะการถามคือผู้ถามสงสัยค่ะ
คนถูกถามไม่สงสัยค่ะการตอบง่ายๆทำให้คนถามสิ้นคิดค่ะ
การตอบคำถามที่ถูกต้องตามคำตถาคตคนอ่านต้องคิดให้ลึกซื้งถึงจะได้คำตอบ
ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่าปัญญาคนถามมียังไม่พอจึงต้องฟังต่อไปจนกว่าจะหายสงสัยจึงจะเลิกถามงัยคะ
:b32:
อ่านทบทวนก็ได้คำตอบเพราะคนถูกถามตอบไว้ละเอียดทุกกระทู้เลยจ้ะ


ตอบตรงไหน

เขาถามว่าเนี่ยมีไหม

บาตร, กุฏิ, ศาลา มีไหม

บาตร มีไหม กุฎิ มีไหม ศาลา มีไหม เคยเห็นศาลาไหม

คุณโรสไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจสมมุติบัญญัติ ไม่เข้าใจปรมัตถ์ ฟังดู ดูดูเหมือนจะพูดปรมัตถ์ แต่ไม่เข้าใจปรมัตถ์ ตัวอย่างที่พูดที่ยกมานั่นแหละ คุณโรสพยายามจะพูดปรมัตถ์ แต่ไม่เข้าใจปรัมัตถ์ ไม่เข้าใจสมมุติ จบข่าว :b13: เสียเวลาหุงข้าวเช้าเปล่าๆ คนรุ่นยายรุ่นย่า ตื่นขึ้นมาหุงข้าวใส่บาตร ใช้ฟืนใช้ถ่าน แต่ปัจจุบันนี้ดีหน่อยใช้หม้อไฟฟ้า แต่คุณโรสก็ให้กลับไปใช้ฟืนใช้ใต้อีก คิกๆๆ ปัดโท่โว้ย :b32:

:b12:
ก็บอกว่าไม่ได้คำตอบก็ให้อ่านทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
ความเห็นผิดและคิดไม่ได้ไม่มีปัญญาจะให้ว่ายังไง
แสดงว่าไม่อ่านเนื้อความให้เข้าใจทุกคำทุกประโยค
คิดไม่ซื่อตรงคดไปเลี้ยวมาอ้อมถึงไม่รู้แปลว่ามีกิเลส
:b32: :b32:
อ่านใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ...ไม่ได้คำตอบก็อ่านใหม่
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ทุกคนท่องกาลามสูตร10ไว้ก่อนทำ
ไว้ใจหน้าคนที่จะรับเงินใช่ไหมถึงให้
แค่พระพุทธเจ้าบอกให้ฟังคำสอนก่อน
โรสเป็นหญิงประกอบอาชีพหาเงินเลี้ยงชีพ
ไม่ได้แต่งตัวให้ดูดีไปหลอกชาวบ้านแล้วขอเงิน
ขอบวชคือการปฏิญาณตนว่าจะทำตามสิกขาบทนะ
ทำไม่ได้ก็รู้จักตัวเองสิว่าต้องลาสิกขาบทหรือหน้าบาง
กิเลสหนาอยากได้เงินแบบไม่ต้องทำงานได้ลาภได้ชื่อเสียง
ทั้งมีคนมากราบไหว้ทั้งคนเข้าใจผิดให้เงินหาทางสร้างวัตถุมากๆเพื่อเรียกลาภ


วัตถุตามที่คุณโรสเข้าใจได้แก่อะไร เอาชัดๆ

คำสอนตรงมากๆ
พระพุทธศาสนา
แปลให้ตรงคำสอน
พระคือผู้ประเสริฐ
พุทธรู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนาคือคำสอน
แปลรวมกันได้ว่า
พระพุทธศาสนาคือคำสอนผู้ประสริฐผู้รู้ตื่นเบิกบาน
มีคำว่าวัตถุที่แปลและตีความตรงความหมายคำสอนไหม
ตถาคคยกตัวคนขึ้นแทนคำสอนหรือคะหรือยกให้อาจารย์คนไหนเป็นศาสดาแทนตถาคตเหรอ
:b32: :b32:



:b32: โจทก์เขาถามว่า วัตถุที่พูดบ่อยๆนั่นมันอะไร ให้โอกาสอีกที ทีนี้ ยกตัวอย่างสิ่งที่ว่านั่นมาดู :b1:

:b32:
กระทบมหาภูตรูปทั้งวันเอาล่ะสิมหาภูตรูปรู้ว่ามีที่ตั้งตอนที่กายไปกระทบก็ไม่มีเราแล้ว
คนเดียวนอนแค่หลังติดพื้นหลังเดียวไม่รู้กระทั่งว่าเห็นบาตรเห็นกุฏิเห็นศาลาไม่ได้


:b32: :b32:


เพ้อเจ้อไปตามอัธยาศัย ไหนคุณโรสลองตอบชัดๆตามที่ถามสักทีสิ

บาตร, กุฏิ, ศาลา มีไหม ตอบ มี ไม่มี



เอาคำพูดของตัวเองแท้ๆมาถาม แต่ก็ตอบไม่ได้ :b32: พูดไปเรื่อยเปื่อยแต่หาเข้าใจเนื้อสาระสิ่งที่พูดนั้นไม่ อันนี้ชัดเตาปูน เอ้ย ไม่ใช่ ชัดเจน :b13:

:b12:
ถ้ามีปัญญาอ่านเข้าใจ
ก็รู้คำตอบไปแล้ว
บอกหลายครั้ง
ว่าไม่เข้าใจ
อ่านใหม่
จนกว่าจะได้คำตอบ
เพราะการถามคือผู้ถามสงสัยค่ะ
คนถูกถามไม่สงสัยค่ะการตอบง่ายๆทำให้คนถามสิ้นคิดค่ะ
การตอบคำถามที่ถูกต้องตามคำตถาคตคนอ่านต้องคิดให้ลึกซื้งถึงจะได้คำตอบ
ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่าปัญญาคนถามมียังไม่พอจึงต้องฟังต่อไปจนกว่าจะหายสงสัยจึงจะเลิกถามงัยคะ
:b32:
อ่านทบทวนก็ได้คำตอบเพราะคนถูกถามตอบไว้ละเอียดทุกกระทู้เลยจ้ะ
:b12:
:b4: :b4:

เห็นดับหายพร้อมสีตอนดับ
ตอนคิดเป็นมโนทวารวิถี
คนละวิถีกับตอนเห็น
อะไรมีจริงยังไม่รู้
แล้วจะภาวนาถูกมั๊ยคะ
บอกว่าคิดตามคำสอนให้ตรงทีละ1ทาง
เพราะความจริงเกิดตรงทางไม่ปนกัน
จิตเกิดดับสลับกันเป็นแต่ละทางไม่พร้อมกันเลย
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2019, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เล่มที่ ๔๕ เล่มสุดท้าย

เล่ม ๔๕ ปัฏฐาน ภาค ๖ เป็นปัจจนียปัฏฐาน คือ อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายอย่างเล่มแรกๆ นั่นเอง แต่อธิบายแง่ปฏิเสธ แยกเป็น ปัจจนียปัฏฐาน คือ ปัจจนีย์ (ปฏิเสธ) + ปัจจนีย์ (ปฏิเสธ) เช่นว่า ธรรมที่ไม่ใช่กุศล อาศัยธรรมที่ไม่ใช่กุศลเกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร
อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน คือ อนุโลม + ปัจจนีย์ (ปฏิเสธ) เช่น ว่า อาศัยโลกียธรรม ธรรมที่ไม่ใช่โลกุตรธรรม เกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร
ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน คือ ปัจจนีย์ (ปฏิเสธ) + อนุโลม เช่นว่า อาศัยธรรมที่ไม่ใช่กุศล ธรรมที่เป็นอกุศล เกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัยอย่างไร และในทั้ง ๓ แบบนี้ แต่ละแบบ จะอธิบายโดยใช้ธรรมในแม่บทชุด ๓ แล้วต่อด้วยชุด ๒ แล้วข้ามชุดระหว่างชุด ๒ กับชุด ๓ ชุด ๓ กับชุด ๒ ชุด ๓ กับชุด ๓ ชุด ๒ กับชุด ๒ จนครบทั้งหมดเหมือนกัน ดังนั้น แต่ละแบบจึงแยกซอยละเอียดออกไปเป็น ติก - ทุก - ทุกติก - ติกทุก - ติกติก - ทุกทุก - ตามลำดับ (เขียนให้เต็มเป็นปัจจัยนียติกปัฏฐาน ปัจจนียทุกปัฏฐาน ปัจจนียทุกติกปัฏฐาน ฯลฯ ดังนี้ เรื่อยไปจนถึงท้ายสุดคือ ปัจจนียานุโลมทุกทุกปัฏฐาน)



คัมภีร์ปัฏฐานนี้ ท่านอธิบายค่อนข้างละเอียดเฉพาะเล่มต้นๆเท่านั้น เล่มหลังๆ ท่านแสดงไว้แต่หัวข้อหรือแนว และทิ้งไว้ให้ผู้เข้าใจแนวนั้นแล้วเอาไปแจกแจงโดยพิสดารเอง โดยเฉพาะเล่มสุดท้าย คือ ภาค ๖ แสดงไว้ย่นย่อที่สุด แม้กระนั้น ก็ยังเป็นหนังสือถึง ๖ เล่ม หรือ ๓,๓๒๐ หน้ากระดาษพิมพ์
ถ้าอธิบายโดยพิสดารทั้งหมด จะเป็นเล่มหนังสืออีกจำนวนมากมายหลายเท่าตัว ท่านจึงเรียกปัฏฐานอีกชื่อหนึ่งว่า มหาปกรณ์ แปลว่า "ตำราใหญ่" ใหญ่ทั้งโดยขนาดและโดยความสำคัญ



พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระไตรปิฎกมีเนื้อความทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2019, 05:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2019, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ถ้ามีปัญญาอ่านเข้าใจ
ก็รู้คำตอบไปแล้ว
บอกหลายครั้ง
ว่าไม่เข้าใจ
อ่านใหม่
จนกว่าจะได้คำตอบ
เพราะการถามคือผู้ถามสงสัยค่ะ
คนถูกถามไม่สงสัยค่ะการตอบง่ายๆทำให้คนถามสิ้นคิดค่ะ
การตอบคำถามที่ถูกต้องตามคำตถาคตคนอ่านต้องคิดให้ลึกซื้งถึงจะได้คำตอบ
ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่าปัญญาคนถามมียังไม่พอจึงต้องฟังต่อไปจนกว่าจะหายสงสัยจึงจะเลิกถามงัยคะ
:b32:
อ่านทบทวนก็ได้คำตอบเพราะคนถูกถามตอบไว้ละเอียดทุกกระทู้เลยจ้ะ

เห็นดับหายพร้อมสีตอนดับ
ตอนคิดเป็นมโนทวารวิถี
คนละวิถีกับตอนเห็น
อะไรมีจริงยังไม่รู้
แล้วจะภาวนาถูกมั๊ยคะ
บอกว่าคิดตามคำสอนให้ตรงทีละ1ทาง
เพราะความจริงเกิดตรงทางไม่ปนกัน
จิตเกิดดับสลับกันเป็นแต่ละทางไม่พร้อมกันเลย
:b32: :b32:


เกินเยียวยา :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2019, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ถ้ามีปัญญาอ่านเข้าใจ
ก็รู้คำตอบไปแล้ว
บอกหลายครั้ง
ว่าไม่เข้าใจ
อ่านใหม่
จนกว่าจะได้คำตอบ
เพราะการถามคือผู้ถามสงสัยค่ะ
คนถูกถามไม่สงสัยค่ะการตอบง่ายๆทำให้คนถามสิ้นคิดค่ะ
การตอบคำถามที่ถูกต้องตามคำตถาคตคนอ่านต้องคิดให้ลึกซื้งถึงจะได้คำตอบ
ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่าปัญญาคนถามมียังไม่พอจึงต้องฟังต่อไปจนกว่าจะหายสงสัยจึงจะเลิกถามงัยคะ
:b32:
อ่านทบทวนก็ได้คำตอบเพราะคนถูกถามตอบไว้ละเอียดทุกกระทู้เลยจ้ะ

เห็นดับหายพร้อมสีตอนดับ
ตอนคิดเป็นมโนทวารวิถี
คนละวิถีกับตอนเห็น
อะไรมีจริงยังไม่รู้
แล้วจะภาวนาถูกมั๊ยคะ
บอกว่าคิดตามคำสอนให้ตรงทีละ1ทาง
เพราะความจริงเกิดตรงทางไม่ปนกัน
จิตเกิดดับสลับกันเป็นแต่ละทางไม่พร้อมกันเลย
:b32: :b32:


เกินเยียวยา :b32:

:b12:
คิดให้มันตรงและถูกทีละทางนะคะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของโลกแต่ละ1ทาง
ที่แต่ละ1ทางเกิดได้ทีละ1ขณะตรง1ทางตรงทางที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
และรู้ตรงตามได้ตอนที่โลกแต่ละ1ทางมีที่กายใจตัวเองจิตไม่เกิดนอกรูปกายเลย
:b32:
1ทางตา เห็นสีดับที่กลางตาดำที่จักขุปสาทะดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ
2ทางหู ได้ยินเสียงที่กลางหูที่โสตประสาทะในหูดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ
3ทางจมูก ดมกลิ่นที่กลางจมูกที่ฆานะประสาทะในจมูกจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ
4ทางลิ้น รู้รสที่กลางลิ้นที่ชิวหาปสาทะดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปที่หทยวัตถุดับแว๊บหายเข้าไปในใจโน่น
5ทางกาย รับสัมผัสที่อวัยวะต่างๆทั่วกายที่กายปสาทะดับจึงส่งต่อไปดับที่หทยวัตถุดับหายเข้าไปในใจ
6ทางใจ คิดนึกถึงสิ่งที่กระทบทั่วกายใจผ่านมโนทวารวิถีส่งต่อไปดับในหทยวัตถุทุกอย่างดับทีละ1ในใจค่ะ
สรุปแต่ละทางมันดับหายไปในหทยวัตถุหมดเลยมีอะไรให้เห็นข้างนอกที่ไม่อยู่ที่กายตัวเองไหมทีละ1ทาง
คราวนี้ตอบได้ยังว่าที่ขยันสร้างวัตถุนอกกายมันมีจริงๆไหมตามคำสอนนั่นน่ะค๊ะะะ...หลงวัตถุมากมั๊ยยยย
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2019, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

คิดให้มันตรงและถูกทีละทางนะคะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของโลกแต่ละ1ทาง
ที่แต่ละ1ทางเกิดได้ทีละ1ขณะตรง1ทางตรงทางที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
และรู้ตรงตามได้ตอนที่โลกแต่ละ1ทางมีที่กายใจตัวเองจิตไม่เกิดนอกรูปกายเลย
:b32:
1ทางตา เห็นสีดับที่กลางตาดำที่จักขุปสาทะดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ

2ทางหู ได้ยินเสียงที่กลางหูที่โสตประสาทะในหูดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ

3ทางจมูก ดมกลิ่นที่กลางจมูกที่ฆานะประสาทะในจมูกจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ

4ทางลิ้น รู้รสที่กลางลิ้นที่ชิวหาปสาทะดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปที่หทยวัตถุดับแว๊บหายเข้าไปในใจโน่น

5ทางกาย รับสัมผัสที่อวัยวะต่างๆทั่วกายที่กายปสาทะดับจึงส่งต่อไปดับที่หทยวัตถุดับหายเข้าไปในใจ

6ทางใจ คิดนึกถึงสิ่งที่กระทบทั่วกายใจผ่านมโนทวารวิถีส่งต่อไปดับในหทยวัตถุทุกอย่างดับทีละ1ในใจค่ะ
สรุปแต่ละทางมันดับหายไปในหทยวัตถุหมดเลย มีอะไรให้เห็นข้างนอกที่ไม่อยู่ที่กายตัวเองไหมทีละ 1 ทาง
คราวนี้ตอบได้ยังว่าที่ขยันสร้างวัตถุนอกกายมันมีจริงๆไหมตามคำสอนนั่นน่ะค๊ะะะ...หลงวัตถุมากมั๊ยยยย

:b32: :b32:



สำนักคุณโรสนี้ เหมือนกับสำนักกินผักแถวบึงกุ่มแท้ :b32: กล่าวคือ อ่านหนังสือแล้วทิ่มลงไปตรงๆ ดังที่เขียนนั่นแหละคือตัวอย่าง

ดูที่สรุปแล้วเหมือนคนตาบอด หูหนวก มองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจบบาลีแล้ว เข้าเรื่องอรรถกถาต่อไป ดูความหมายอรรถกถาชัดๆ


@ อรรถกถาและคัมภีร์รุ่นต่อมา

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแสดงคำสอนคือพระธรรมและวินัยแล้ว สาวกทั้งพระสงฆ์ และคฤหัสถ์ก็นำหลักธรรมวินัยนั้นไปเล่าเรียนศึกษา คำสอนหรือพุทธพจน์ส่วนใดที่ยาก ต้องการคำอธิบาย นอกจากทูลถามจากพระพุทธเจ้าโดยตรงแล้ว ก็มีพระสาวกผู้ใหญ่ที่เป็นอุปัชฌาย์ หรืออาจารย์คอยแนะนำชี้แจงช่วยตอบข้อสงสัย

คำอธิบาย และคำตอบที่สำคัญก็ได้รับการทรงจำถ่ายทอดต่อกันมาควบคู่ กับ หลักธรรม และวินัยที่เป็นแม่บทนั้นๆ จากสาวกรุ่นก่อนสู่สาวกรุ่นหลัง
ต่อมาเมื่อมีการจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยเป็นพระไตรปิฎกแล้ว คำชี้แจงอธิบายเหล่านั้น ก็เป็นระบบและมีลำดับไปตามพระไตรปิฎกด้วย

คำอธิบายพุทธพจน์ หรือ หลักธรรมและวินัย หรือคำอธิบายความในพระไตรปิฎกนั้น เรียกว่า อรรถกถา


เมื่อมีการทรงจำถ่ายทอดพระไตรปิฎกด้วยวิธีมุขปาฐะ ก็มีการทรงจำถ่ายทอดอรรถกถาประกอบควบคู่มาด้วย จนกระทั่งเมื่อมีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานเป็นลายลักษณะอักษร ณ ประเทศลังกา ประมาณ พ.ศ.๔๖๐ ตำนานก็กล่าวว่าได้มีการจารึกอรรถกถาพร้อมไปด้วยเช่นกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง พึงสังเกตว่า พุทธพจน์หรือข้อความในพระไตรปิฎกนั้น ในภาษาวิชาการท่านนิยมเรียกว่า บาลี หรือ พระบาลี (คำว่า บาลี มาจาก ปาลฺ ธาตุ ซึ่งแปลว่า รักษา) สำหรับบาลี หรือพระไตรปิฎกนั้น ท่านทรงจำถ่ายทอดกันมาและจารึกเป็นภาษาบาลีมคธ แต่อรรถกถา สืบมาเป็นภาษาสิงหล


ทั้งนี้ สำหรับพระไตรปิฎกนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ในฐานะเป็นตำราแม่บท อยู่ข้างผู้สอน จึงจะต้องรักษาให้คงอยู่อย่างเดิมโดยแม่นยำที่สุดตามพระดำรัสของพระผู้สอนนั้น

ส่วนอรรถกถาเป็นคำอธิบายสำหรับผู้เรียน จึงจะต้องช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้ดีที่สุด เมื่ออรรถกถาสืบมาในลังกา ก็จึงถ่ายทอดกันเป็นภาษาสิงหล จนกระทั่งถึงช่วง พ.ศ.๙๕๐ - ๑๐๐๐ จึงมีพระอาจารย์ผู้ใหญ่ เช่น พระพุทธโฆสะ และพระธรรมปาละ เดินทางจากชมพูทวีป มายังลังกา และแปลเรียบเรียงอรรถกถากลับเป็นภาษาบาลีมคธ อย่างที่มีอยู่และใช้ศึกษากันในปัจจุบัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะสำคัญของอรรถกถา คือ เป็นคัมภีร์ที่อธิบายความในพระไตรปิฎกโดยตรง หมายความว่า พระไตรปิฎกแต่ละสูตร แต่ละส่วน แต่ละตอน แต่ละเรื่อง ก็มีอรรถกถาที่อธิบายจำเพาะสูตร จำเพาะส่วนตอน หรือ เรื่องนั้นๆ และอธิบายตามลำดับไป
โดยอธิบายทั้งคำศัพท์ หรือ ถ้อยคำ อธิบายข้อความ ชี้แจงความหมาย ขยายความหลักธรรม หลักวินัย และเล่าเรื่องประกอบ ตลอดจนแสดงเหตุปัจจัยแวดล้อม หรือ ความเป็นมาของการที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพุทธพจน์นั้นๆ หรือ เกิดเรื่องราวนั้นๆ ขึ้น พร้อมทั้งเชื่อมโยง ประมวลความเป็นมาเป็นไปต่างๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจพุทธพจน์ หรือ เรื่องราวในพระไตรปิฎกชัดเจนขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากอรรถกถา ซึ่งเป็นที่ปรึกษาหลักในการเล่าเรียนศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว คัมภีร์พระพุทธศาสนาภาษาบาลีทีเกิดขึ้นในยุคต่างๆ หลังพุทธกาล ยังมีอีกมากมาย ทั้งก่อนยุคอรรถกถา หลังยุคอรรถกถา และแม้ในยุคอรรถกถาเอง แต่ไม่ได้เรียบเรียงในรูปลักษณะที่จะเป็นอรรถกถา

คัมภีร์สำคัญบางคัมภีร์ เป็นผลงานอิสระของพระเถระผู้แตกฉานในพระธรรมและวินัย ท่านเรียบเรียงขึ้นตามโครงเรื่องที่ท่านจัดวางเอง หรือ เกิดจากเหตุการณ์พิเศษ เช่น การตอบคำถามชี้แจงข้อสงสัยของผู้อื่น เป็นต้น ปกรณ์ หรือ คัมภีร์พิเศษเช่นนี้ บางคัมภีร์ได้รับความเคารพนับถือและอ้างอิงมาก โดยเฉพาะคัมภีร์ เนตติ เปฏโกปเทส และ มิลินทปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนยุคอรรถกถา ในพม่าจัดเข้าเป็นคัมภีร์ในพระไตรปิฎกด้วย (อยู่ในหมวดขุททกนิกาย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในยุคอรรถกถา คัมภีร์ วิสุทธิมัคค์ ของพระพุทธโฆสะ ผู้เป็นพระอรรถกถาจารย์องค์สำคัญ แม้จะถือกันว่าปกรณ์พิเศษ ไม่ใช่เป็นอรรถกถา เพราะท่านเรียบเรียงขึ้นตามโครงเรื่องที่ท่านตั้งเอง ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎกตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ได้รับความนับถือมากเหมือนเป็นอรรถกถา เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์ระดับอรรถกถา ประเทศพุทธศาสนาเถรวาทต่างให้ความสำคัญ ถือเป็นแบบแผนในการศึกษาหลักพระพุทธศาสนา

คัมภีร์ที่เกิดหลังยุคอรรถกถา ก็มีทั้งคัมภีร์ที่อยู่ในสายเดียวกับอรรถกถา คือ เป็นคัมภีร์ที่อธิบายพระไตรปิฎก และอธิบายอรรถกถา และอธิบายกันเอง เป็นขั้นๆ ต่อกันไป กับทั้งคัมภีร์นอกสายพระไตรปิฎก เช่น ตำนานหรือประวัติและไวยากรณ์ เป็นต้น คัมภีร์เหล่านี้ มีชื่อเรียกแยกประเภทต่างกันออกไปหลายอย่าง จะกล่าวเฉพาะในสายของอรรถกถา คือ ที่อธิบายต่อออกไปจากอรรถกถา และเฉพาะที่ควรรู้ในที่นี้ คือ ฎีกา และอนุฎีกา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเรียงลำดับคัมภีร์ในสายพระไตรปิฎกและอรรถกถาก็จะเป็น ดังนี้

ก.บาลี คือ พระไตรปิฎก

ข.อรรถกถา คือ คัมภีร์ที่อธิบายบาลี หรืออธิบายความในพระไตรปิฎก

ค.ฎีกา คือ คัมภีร์ที่อธิบายอรรถกถา หรือ ขยายความต่อจากอรรถกถา

ฆ.อนุฎีกา คือ คัมภีร์ที่อธิบายขยายความต่อจากฎีกาอีกทอดหนึ่ง


ส่วนคัมภีร์ชื่ออย่างอื่นต่อจากนี้ไปที่มีอีกหลายประเภท บางทีท่านใช้คำเรียกรวมๆกันไปว่า ตัพพินิมุต (แปลว่า คัมภีร๋พ้นหรือนอกเหนือจากนั้น)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์พระพุทธศาสนาที่มีอยู่มากมาย ทั้งในสายและนอกสายพระไตรปิฎกนี้ ในประเทศไทยเท่าที่ผ่านมาได้ตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือออกมาแล้วเพียงจำนวนน้อย ส่วนมากยังคงค้างอยู่ในใบลาน เพิ่งจะมีการตื่นตัวที่จะตรวจชำระและตีพิมพ์กันมากขึ้นในช่วงเวลาใกล้ๆนี้ จึงจะต้องรออีกสักระยะหนึ่งซึ่งคงไม่นานนัก ที่ชาวพุทธแลผู้สนใจจะได้มีคัมภีร์พุทธศาสนาไว้ศึกษาค้นคว้า อย่างค่อนข้างบริบูรณ์

สำหรับคัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถานั้น ได้มีการตีพิมพ์เป็นเล่มพรั่งพร้อมแล้วใน พ.ศ.๒๕๓๕ ส่วนคัมภีร์อื่นๆ รุ่นหลังต่อๆมา ที่มีค่อนข้างบริบูรณ์พอจะหาได้ไม่ยาก ก็คือ คัมภีร์ที่ใช้เรียนในหลักสูตรเปรียญธรรม

เนื่องจากคัมภีร์เหล่านี้ มีความสัมพันธ์อธิบายความต่อกัน กล่าวคือ อรรถกถา อธิบาย พระไตรปิฎก และ ฎีกาขยายความต่อจากอรรถกถา หรือ ต่อจากคัมภีร์ระดับอรรถกถา จึงจะได้ทำบัญชีลำดับเล่ม จับคู่คัมภีร์ที่อธิบายกันไว้ เพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจในการที่จะศึกษาค้นคว้าต่อไป และเพื่ออำนวยความสะดวกในการโยงข้อมูลระหว่างคัมภีร์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพียงนั้นพอแล้ว

คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีมากมายดังว่านั้น ชั่วชีวิตนี้ก็ศึกษาไม่หมด


รูปภาพ

ใครที่ว่า จะคัดเอาแต่คำที่เป็นพุทธพจน์ ไม่เอาอรรถกถาไม่เอาของใครอื่น ว่ากันตามนั้น เห็นจะไม่พ้นอรรถกถาไปได้แน่นอนนอนแน่ :b12:

https://f.ptcdn.info/319/067/000/q2lj54 ... XbUP-o.jpg

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

คิดให้มันตรงและถูกทีละทางนะคะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงของโลกแต่ละ1ทาง
ที่แต่ละ1ทางเกิดได้ทีละ1ขณะตรง1ทางตรงทางที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
และรู้ตรงตามได้ตอนที่โลกแต่ละ1ทางมีที่กายใจตัวเองจิตไม่เกิดนอกรูปกายเลย
:b32:
1ทางตา เห็นสีดับที่กลางตาดำที่จักขุปสาทะดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ

2ทางหู ได้ยินเสียงที่กลางหูที่โสตประสาทะในหูดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ

3ทางจมูก ดมกลิ่นที่กลางจมูกที่ฆานะประสาทะในจมูกจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปดับในหทยวัตถุในหัวใจ

4ทางลิ้น รู้รสที่กลางลิ้นที่ชิวหาปสาทะดับจึงส่งต่อมโนทวารวิถีไปที่หทยวัตถุดับแว๊บหายเข้าไปในใจโน่น

5ทางกาย รับสัมผัสที่อวัยวะต่างๆทั่วกายที่กายปสาทะดับจึงส่งต่อไปดับที่หทยวัตถุดับหายเข้าไปในใจ

6ทางใจ คิดนึกถึงสิ่งที่กระทบทั่วกายใจผ่านมโนทวารวิถีส่งต่อไปดับในหทยวัตถุทุกอย่างดับทีละ1ในใจค่ะ
สรุปแต่ละทางมันดับหายไปในหทยวัตถุหมดเลย มีอะไรให้เห็นข้างนอกที่ไม่อยู่ที่กายตัวเองไหมทีละ 1 ทาง
คราวนี้ตอบได้ยังว่าที่ขยันสร้างวัตถุนอกกายมันมีจริงๆไหมตามคำสอนนั่นน่ะค๊ะะะ...หลงวัตถุมากมั๊ยยยย

:b32: :b32:



สำนักคุณโรสนี้ เหมือนกับสำนักกินผักแถวบึงกุ่มแท้ :b32: กล่าวคือ อ่านหนังสือแล้วทิ่มลงไปตรงๆ ดังที่เขียนนั่นแหละคือตัวอย่าง

ดูที่สรุปแล้วเหมือนคนตาบอด หูหนวก มองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

:b32:
คนที่คิดว่าตนเองปกติดีเลิศวิเศษเนี่ยมีมานะทิฏฐิถือว่าตัวดี
ไปอ่านพระไตรปิฏกตรงกับคำว่าตาบอดคลำช้างเต่าตาบอด
ยังไม่เข้าใจอีกหรือคะว่าเดี๋ยวนี้กำลังเป็นแบบนั้นเลือกคิดเอง
หรือจะเริ่มฟังเพื่อการคิดไตร่ตรองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อให้เข้าใจความจริงตรงปัจจุบันตามได้คือการพึ่งตถาคตทีละคำ
ทีละคำเนี่ยแหละคือตถาคตไม่เข้าใจเหรอว่าคำสอนทุกคำแทนศาสดา
คำสอน=ศาสนา เท่ากับ ศาสดา=เจ้าของศาสนาคือผู้ตั้งศาสนา
จะทำตามคำของตถาคตในพระไตรปิฏกหรือครูอาจารย์ที่นับถือ
ปัญญาตามคำสอนทำได้ตามลำดับเริ่มต้นจากฟังทุกครั้งมีการลืมตาตื่นรู้ด้วยไม่ใช่ไปหลับตาหาเห็นนะจ๊ะ
:b32:
:b32: :b32:
https://youtu.be/ZvzLHeoZwYs


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร