วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2019, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติอะไรในโลกนี้ที่ยิ่งไปกว่าการปฏิบัติธรรมไม่มี ผู้ใดไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ผู้นั้นแหละเป็นผู้ประเสริฐ
จริงอยู่ทุกคนยังมีกิเลส แต่ถ้าปฏิบัติเอาสติไปตั้งในกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วกำหนด พอมีสติไปกำหนด กิเลสก็ไม่เกิด นี่แหละคือผู้ประเสริฐ ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า

หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล
วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง เชียงใหม่







มันไม่ได้ถึงง่ายๆนะศาสนาพุทธนะ
ขนาดเทวทัตเหาะเหิร
เดินอากาศได้ ยังไม่ถึง
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ลงอเวจี
ขนาดนี้ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้านะ
มันถึงยาก
#ร้อยต่อสามจะมีมั๊ย
ถึงจริงๆเนี๊ยะ จะมีมั๊ยหละ
#ถึงจริงๆนะมันไม่ถึงนะสิ
#ถึงแต่ปากออกข้างนอกหมด
#ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
#อย่าให้มันไปสิ
#ไม่มีจิตดวงใดพ้นสติไปได้ดอก

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร









เรื่อง "จุดที่เยี่ยมยอดของโลก คือ ใจ"
การบำรุงรักษาสิ่งใดๆในโลก การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยื่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือ "ใจ" ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตน แล้วคือถึง "พระนิพพาน"
ใจนี้ คือ สมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือคนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติ ก็คือ "ผู้เกิดพลาด" อยู่นั่นเอง

คติธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต








“…ดีที่สุด คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ กินไม่หมด ‘กินไม่บก จกไม่ลง’ อะไรที่ออกจากพุทโธ ไม่ได้ออกจากไหน ออกจากที่เดียว ถ้าแปลตามหนังสือ ‘พุทโธ’ แปลว่าพระพุทธเจ้า ‘พุทโธ’ แปลว่าผู้ตื่น ‘พุทโธ’ แปลว่าผู้รู้แจ้งโลก ‘พุทโธ’ แปลว่าแสงสว่าง ก็แปลได้ใกล้ ๆ กันกับของจริง ของจริงเป็นอย่างหนึ่ง อันหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง ฉะนั้นท่านจึงให้ภาวนา ดูพุทโธก็ไม่ให้ดูพุทโธเฉย ๆ ดูความตายไปด้วย ดูความเกิดไปด้วย เกิดอย่างไร ตายอย่างไร ต้องรู้จักจิต รู้จักชีวิต รู้จักวิญญาณ รู้จักตนจักโต รู้จักพ่อจักแม่ รู้จักพระนิพพาน ถึงจะได้ ภาวนาว่าพุทโธก็พุทโธเฉย ๆ ไม่ไปหาก็ไม่เห็น ก็ไปหาตั๊ว…”

โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่ประไพร สุภโร วัดป่าไพรรัตนวณาราม บ้านหลุบหวาย ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี








"#จิตที่ตั้งไว้ผิด"
จะหันกลับมา ทำร้าย
ตัวเรา​ ยิ่งกว่าศัตรูคู่เวร
ไม่มีใครทำร้ายเรา ได้มาก
เท่ากับเราทำร้ายตนเอง
ไม่มีใครต้มตุ๋นเรา..
เท่ากับเราต้มตุ๋นตัวเรา
ไม่มีใครหลอกลวงเรา
เท่ากับเรา หลอกลวงตนเอง
ก็คือ..
#กิเลสหลอกลวงจิตนั่นเอง

#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน







#ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ
ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลาย
เป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็น
ของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว
#ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย
#คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน
#ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง

#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)







ผู้ที่จะเป็นกัลยาณมิตรให้เราได้ดีที่สุด
ก็คือ ตัวของเราเองนี่แหละ
ดังนั้น อย่าลืมเป็นกัลยาณมิตรให้ตัวเองด้วย
หมั่นเตือนตัวเองด้วย
ถ้าซึมเศร้าก็ต้องปลุกจิตได้ ปลอบจิตได้
ถ้าฟุ้งซ่านหรือมีศรัทธามีปัญญาแล่นมากไป
ก็ต้องข่มจิตได้เช่นกัน
สรุปง่ายๆว่าต้อง
" อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวชัด "

พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ









"....เจริญคาถาพระสีวลี..."
เรื่องปัจจัย ๔ ขณะที่อยู่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ทุกครั้งทุกคราวไม่ขาดอะไรสักอัน ยิ่งเรื่องอาหารบิณฑบาตด้วยแล้วไม่เคยลำบากเลยได้มาก หมู่พระเณรไปบิณฑบาตกลับมาได้หมู่ละน้อยเดียว จะฉันก็ไม่พออิ่ม
ส่วนผู้ข้าฯ บางวันรถล้อถีบตามมาส่ง ศรัทธาที่เขาใส่บาตรเขาจ้างให้ บางวันก็หิ้วพะรุงพะรัง
เดินไปทางเส้นไหนก็ได้มาทุกเส้นทุกสายบิณฑบาต จนพระเณรเขาอิจฉาหรือบางคนถึงกับเดินตามไปก็มี ยิ่งกว่านั้นมาถามว่า
“ท่านอาจารย์ทำไมรวยอาหารแท้ทำอย่างไร”
“ก็บุญเก่าของเพิ่น” ผู้ข้าฯ ตอบ
“ได้ยินเขาว่า ท่านอาจารย์เจริญคาถา”
“เจริญคาถาพระสีวลี”.(หลวงปู่จาม)
“พวกผมก็เจริญเหมือนกันไม่เห็นร่ำรวยได้มาอย่างท่านอาจารย์เลยครับ คาถาของท่านอาจารย์ว่าอย่างได๋”
“ไม่มีคาถมคาถาอะหยังดอก ก็ไปตามปกตินี้หล่ะไปขอข้าวเขามากิน เขาให้ก็เอา เขาไม่ให้ก็แล้วไป เดินไปข้างหน้าจนสุดทางแล้วก็กลับมา ไม่ได้ว่าไม่ได้ขอออกปากกับใคร”.(หลวงปู่จาม)
“ท่านอาจารย์ต้องมีคาถาเรียกลาภ พวกผมเคยได้ยินพระเณรวัดพระสิงห์เชียงใหม่ เล่าลือกันอยู่ว่า ตุ๊ป่าวัดเจดีย์หลวง ตนหนึ่งเจริญคาถาพระสีวลีก่อนออกบิณฑบาตจึงได้ร่ำรวยได้อาหารมาก พวกผมได้ยินมาอย่างนี้ และยังได้เห็นท่านอาจารย์ แบ่งอาหารให้เณรวัดพระสิงห์อีกด้วย”
พวกเขาไม่ยอมวันต่อมาก็มาขอเรียนคาถาพระสีวลีอีก...หลายครั้งหลายวัน จนผู้ข้าฯ ก็ออกจะรำคาญ จึงได้บอกแก้รำคาญพอแล้วๆ ไป พอคนนี้มาเรียน คนนั้นก็มาเรียน
แต่เราก็บอกว่า หากผู้ใดเคยให้ทานทำบุญมาก่อนแต่หลายภพหลายชาติ คาถาบทนี้จึงจะศักดิ์สิทธิ์เป็นผลเป็นมงคล ทีนี้บางคนเรียนไปก็ได้ผล บางคนเรียนไปเจริญก่อนออกบิณฑบาตกลับมาบาตรเปล่าก็มี
ก็มาต่อว่า หาว่าบอกคาถาไม่จบบท ก็เลยวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ๆ
ผู้บิณฑบาตร่ำรวยก็เชื่อศรัทธา ผู้มาใหม่ก็มาขอเรียนอีก วุ่นกันไม่รู้จบ ในที่สุดเลยให้พระนักเรียนนักศึกษาเขาเขียนใส่กระดาษแปะติดกับแผ่นไม้อัดแล้วแขวนไว้หน้ากุฎิว่า...
“อิติปิโส ภควา สิมพะลี จ มหาเถโร มหาลาโภ มหาลาภัง มหาเตชา สัพพะลาภา ภะวันตุ เม เอตัง มะมะ”
ก็แก้รำคาญไปอย่างนั้น มันไม่ใช่แก่นสารสาระอะไรหรอก บุพกรรมเคยทำบุญให้ทาน เคยฝากไว้กับพระพุทธศาสนากับโลกสงสารนี้เองก่อนทั้งนั้นแหละ ของใครของมัน ทำไว้ทำมาแล้วต่างหาก...

ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร







"....ให้ตั้งใจรักษาศีล...."
"...ศีล เป็นของเลิศ ของประเสริฐ การที่เราอยู่รวมกันได้ก็เพราะมีเมตตา มีธรรมต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน มีเมตตา กรุณา สงสารซึ่งกันและกัน ว่าเกิดมาในโลกแตกต่างกันหลายอย่าง ทรัพย์รูปพรรณสัณฐาน ความดี ก็ไม่เหมือนกัน
ท่านจึงให้ทำความดีให้ได้ "ความดี" ก็คือ ศีล นั่นเอง ใครทำได้ก็จะปิดอบายภูมิได้ ไม่ต้องลงอบายภูมิ คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้น พยายามรักษาศีลให้ได้ ตั้งใจให้เป็นอริยกันตศีลตั้งใจไม่ฆ่า ไม่คิดทำลายสิ่งที่มีชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ฯลฯ
ศีลห้า ถ้าใครทำได้ เรียกว่า "ดับเวร ๕ อย่าง" ได้ คือ ดับทุกข์ ๕ อย่าง เวรก็จะไม่เกิด ภัยอันตรายก็จะไม่เกิด "เวรมณี" คือ เว้นจากความชั่วได้ เป็นผู้พ้น เป็นผู้ละได้ ผ่านได้ ผ่าน ๕ ข้อนี้ได้ ก็ผ่านนรกเปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน (อบายภูมิ ๔) ได้เด็ดขาด..."

โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล จ.สกลนคร






******รวมคำสอนหลวงปู่ทวด******
#ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด
ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
#ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่
ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัว
ทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ
#สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้
แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกัน
ได้ยาก
#ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐ
ก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ
เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
#เมื่อเราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย
#บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไป
ฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง
และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้า
มาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ
สิ่งใดไม่ควรทำ
#ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย
#ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของ
น้ำ ฉันใด
กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันนั้น
#ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน
ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวก
ยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล
จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึง
เกิดมาเป็นสัตว์โลก
สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ
ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการ
เข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน
เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ
ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้น
ควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ
#อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่าง
ไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้น
#เหนืออารมณ์
เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความ
ผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง
ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง
อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ใน
การงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว
ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น
เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์
#ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า
เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อม
มีความภิรมย์ มีความรื่นเริง
#มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน
ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือ
ต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียง
เป็นหลักคือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทา
และสรรเสริญ
#โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะ
ไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม
ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า?
ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิ
พร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะ
และโลกุตระเดินคู่ขนานกัน
เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและ
กล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง
#ศิษย์แท้
พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ
นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล
ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว
เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา
#ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย
#หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา
แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้
#บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการ
บริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับ
ในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม
#ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำ
ด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะ
การทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเรา
ไปสู่หายนะ
เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
จงอย่าทำ
นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจ
สบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไป
โดยความสะดวก
#มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม
คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้า
มาควบคุมสติ
อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล
มาอยู่เหนือความจริง
#เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น
จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะ
ไม่ได้นอนในไม่ช้า
#พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่าง
สัก ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ไม่ติดต่อกับใคร
ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไป
แต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง
คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่อง
ของคนอื่น
เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอา
แต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่อง
ของตัวเอง

#คัดลอกจากหนังสือ
เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน
เล่มของหลวงปู่ทวด
หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี





ปฏิบัติธรรม
สตินั้นต้องสังวรอยู่เสมอ ในตาที่เห็น หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัสสิ่งที่ถูกต้อง ใจรู้ธรรมารมณ์ อย่าปล่อยให้จิตสยบในอารมย์ที่ชอบ ไม่เคียดแค้นในอารมย์ที่ไม่ชอบ สติและจิตตั้งไว้ในวงกาย พิจารณาค้นหาความเป็นจริงด้วยสติและปัญญา

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
พระเทพวิสุทธิมงคล
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด








" จง...คอยเตือนตน
ด้วยตนเองอยู่...เสมอ ๆ
ว่าเรา...ปฏิบัติเพื่อละโลภ โกรธ หลง
การจะให้ใคร ๆ มายกย่อง
ว่า...เราเก่ง เราดี
อย่า ให้มีในจิตใจ
หากมันผุด ขึ้นมา ก็ให้ละมันเสีย
ด้วยการรู้...เท่าทัน
การมี การเป็น
ไม่ใช่ เป้าหมายมุ่งละกิเลส."

(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)






ดีใจไม่ใช่ความสงบ ที่เราชอบกันนัก
ดีใจสนุกสนานร่าเริง มันไม่ใช่ความสงบ
มันฟุ้ง มันวุ่น มันบ้าชนิดหนึ่ง
ไอ้ดีใจ ดีใจมากก็กินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับเหมือนกัน
น่าดีใจหรือเผอิญถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่
...นอนไม่หลับไปหลายคืน...นี่ดีใจ
เสียใจก็ไม่ไหว เสียใจซบเซาเป็นทุกข์ทรมาน
อย่าดีใจอย่าเสียใจนั่นแหละ
คือสงบ ไม่รบกวน
เรียกว่าว่างก็ได้ ไม่รบกวน
เรียกว่าอิสระก็ได้
ไม่เป็นทาสของอะไร

หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ





สัตว์โลกทั้งหลายนั้นมีอยู่มากมาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อะนันตังอัปปะริมาณัง” อนันตัง แปลว่า จะนับก็ไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แม้มนุษย์โลก สัตว์โลกทั้งหลายยังนับอ่านไม่ได้ ลองคิดดูว่า สัตว์เดรัจฉานในน้ำ บนบก ในอากาศนั้นมีมากมาย เต็มไปด้วยสัตว์ทั้งหลาย นับได้เมื่อไร ไม่มีใครนับได้
ในพื้นแผ่นดิน ก็เต็มอยู่ในแผ่นดิน พวกมด พวกปลวก พวกแมลงเล็ก ๆ น้อย ๆ จนสมมติให้ชื่อมันไม่ได้ มันมากมาย ที่มันเกิดมาได้แล้วก็มี ส่วนที่มันยังเกิดไม่ได้ เหลือแต่ดวงจิตดวงวิญญาณอยู่ ก็เรียกว่าแน่นโลกอยู่ก็ว่าได้
ดวงจิตดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายนี้ เรียกว่าเต็มโลก หรือภาษาโบราณท่านว่า ดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกนั้นมันเต็มโลก เหมือนเอาข้าวสารยัดใส่ไห ข้าวสารในไห ในหม้อ ในตุ่ม เต็มไปอย่างนั้นแหละ แน่นอยู่ในไห ในถุงอย่างไร ดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกก็เต็มอยู่อย่างนั้น ไม่หมด ไม่สิ้น
บางคนก็มาเห็นว่า มนุษย์โลกในยุคนี้สมัยนี้มันมากมาย จนรัฐบาลแต่ละประเทศเลี้ยงไม่ไหว ต้องมีการคุมกำเนิดไม่ให้มันเกิด ถ้ามันเกิดมาแล้วก็จะมากมายหลายอย่าง แต่ละบุคคล ๆ เลยมีการคุมกำเนิดไม่ให้มันเกิด มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตามที
แต่ว่าดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกทั้งหลายนั้น มันเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ มันมีอยู่แล้ว ที่คุมกำเนิดก็คุมได้แต่ในรูปขันธ์ คือไม่ให้มันมีรูปขึ้นมา แต่ว่าในจิตในใจนั้นมันคุมไม่ได้ มันเกิดก่อนผู้ควบคุมด้วย
มันเกิดมาตั้งแต่อเนกชาติ นับภพ นับชาติ นับกัป นับกัลป์ นับตั้งฟ้าตั้งแผ่นดินไม่ได้แล้ว ดวงจิตดวงใจอันนี้ มันจึงเป็นดวงจิตที่เรียกว่า หลงใหลอยู่ในโลกมานมนาน เป็นคนบ้าหาบหินมานานแล้ว จนนับไม่ถ้วน
แม้แต่พระศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ได้มาตรัสรู้ในโลก พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็รู้ว่าสัตว์โลกทั้งหลายมันมากมายเหลือที่จะพรรณนา
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ๆ มาโปรด มาเทศน์ มาสั่งสอนเอาก็ได้ แต่มันก็ไม่หมดไม่สิ้นไปได้ นับเป็นอสงไขย ๆ ที่สัตว์มาพ้นทุกข์ไปสู่นิพพานตามพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ แต่ถึงกระนั้น สัตว์โลกก็ไม่มีทางจะหมด จะสิ้นได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจของสัตว์โลกยังมีความหลงอยู่
เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจึงให้มีความสังวรระวัง ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าให้ใจไปเก็บเอาอารมณ์เรื่องราวภายนอกที่ไม่มีที่จบที่สิ้น ให้รู้จักปล่อยวาง ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่นเหม็นหอมอะไร ก็อย่าไปยึดไปถือเอา ถ้าจิตหลงไปยึดไปถือแล้ว เป็นทุกข์ในใจ เป็นทุกข์ในโลก ไม่มีที่จบที่สิ้น

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร