วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 04:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2019, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนานี้สอนธรรม คือ สอนให้ทำเอา ปฏิบัติเอา ไม่ใช่คิดเอา...

โอวาทธรรม
หลวงพ่อพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร








พวกที่ภาวนาแล้วเห็นภาพนิมิตต่างๆ มาปรากฏ
ก็พากันเข้าใจไปว่าตนได้ญาณบรรลุมรรคผล
ทำให้เกิดความหลงงมงาย
ผลที่สุดก็เสื่อมไป โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากธรรมะเลย

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ









"เราเถลไถลอยู่
เราจึงไม่สามารถที่จะข้ามแม่น้ำอันเต็มไปด้วยอันตราย
เพื่อให้พ้นอันตรายเหล่านั้นได้ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา
เพราะเหตุนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับความทุกข์
ความเศร้าหมองทางจิตใจอยู่เสมอ"

หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ











#พิจารณาธาตุขันธ์

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕​ น้อมลงสู่...ไตรลักษณ์

#อนิจจตา ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงยักย้ายกลายมาเป็นอื่น ตั้งแต่วันเกิดมาโน่น จนถึงวันนี้ จากวันนี้ก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอีกข้างหน้าโน้น

#ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ ทุกถ้วนหน้า โลก คือหมู่สัตว์ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น เพราะเป็นทุกข์ เพราะใจห่วง ใจยึด

#อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราเสียสิ้น นั่นแหละ พิจารณาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์เสมอ มันจึงจะเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด ยึดธาตุขันธ์ว่า ขันธ์เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ขันธ์มีในตน ตนมีในขันธ์ ไม่ใช่หรอก เป็นแต่เพียงสัมภาระปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว ไม่แน่นอน

ไม่นานก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้น เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งไว้ อย่าเพิ่งสงสัย ยึดมั่นอยู่เลย ยึดไว้พอเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว

เพื่อให้มันได้ตน ได้ธรรม ได้บุญ ได้กุศล มรรคผลที่เกิดขึ้นจากสมบัติอันนี้​ แล้วก็พิจารณาอย่างนั้น อนุโลม ปฏิโลม​ เดินหน้า ถอยหลัง ตัวเองก็แจ้งชัด คนอื่นภายนอก​ ก็แจ้งชัด​ ก็สิ้นสงสัย

#โอวาทธรรม_ของ​
#หลวงปู่จันทาถาวโร
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน
อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร










...การปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์
ก็อาจจะเกิดความเสียหายได้
บางครั้งถึงกลับเป็นบ้าไปก็ได้

เพราะเวลาปฏิบัติแล้วไม่รู้ว่า
สิ่งที่ตัวเองได้พบได้เห็นนั้น
เป็นคุณหรือเป็นโทษแต่อย่างใด

ถ้าไปหลงกับสิ่งที่เป็นโทษ
หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณไม่มีประโยชน์
ก็จะเสียเวลา และจะเกิดโทษกับตนเองได้
อาจจะทำตนเองหลงผิดคิดผิดไป
อย่างที่เขาเรียกว่าเป็น..คนบ้า

คิดว่าตัวเองได้บรรลุแล้วได้เป็นพระอรหันต์แล้ว
ทั้งที่ใจของตนเองนั้นถูกหุ้มห่อด้วยกิเลสตัณหา
ด้วยความทุกข์ต่างๆ แต่ไม่รู้ความจริงอันนี้

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ ท่านจะเตือน
ท่านจะบอกเลยว่า ”ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ใช่ “
ยังมีความทุกข์อยู่ ยังมีความอยากอยู่
ยังไม่ได้หลุดพ้น ต้องกลับมาปฏิบัติที่ตรงนี้

ดังนั้นผู้ปฏิบัติทุกคนนี้...
“จำเป็นจะต้อง มีครูมีอาจารย์”.
.......................................
ธรรมะโดนใจเล่ม4หน้า74
ธรรมะบนเขา 18/10/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








การดับทุกข์ คือ การรู้เท่าทันทุกข์ ไม่ยินดียินร้าย
การพิจารณากายให้รู้เท่าทันทุกข์ ให้รู้เท่าทันความเป็นจริง
เวลาพิจารณาอย่าใส่สิ่งที่ไม่มีเข้ามา และอย่านำสิ่งที่มีอยู่ออกหรือตัดออก
อันนี้จะเป็นความไม่ละเอียดในการพิจารณา

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท







..การปฏิบัติอย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ ทำให้มันเห็นทุกข์มากๆ ปฏิบัติให้เห็นทุกข์ ไม่ใช่พอเห็นทุกข์แล้วไม่ปฏิบัติมันใช้ไม่ได้ ธรรมะก็สอนเรื่องเก่าๆ ทำไมถึงมาพูดแต่เรื่องเก่าๆ เพราะการฟังบ่อยๆเราจะได้จำ ฟังให้มันจำ ปฏิบัติช้ำๆเพื่ออะไร ก็เพื่อว่าให้มันชำนิชำนาญ ธรรมะทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็มาลงที่จิตที่ใจ ตัวเราคือตู้พระธรรม คือตู้พระไตรปิฏก อย่ามองข้ามตัวเอง ปฏิบัติให้มันเห็น ปฏิบัติให้มันรู้ อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวตาย พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าท่านพ้นเพราะอะไร เพราะท่านเห็นทุกข์ ถ้าใครกลัวทุกข์ผู้นั้นจะไม่เห็นธรรม กลัวทุกข์เพราะปฏิบัติให้มันพ้น หรือจะเอาทุกข์ไปทุกภพทุกชาติ
นั้นล่ะจึงให้พากันสำเหนียกดูว่า ศีลเรามีมั๊ย ทานเรามีมั๊ย ภาวนาเรามีมั๊ย มันสมบูรณ์ มันขาด มันพร่องมั๊ย ให้มีศีลมีธรรมประจำจิต ถ้าเราไม่มีศีลไม่มีธรรมมันก็จะมืด สิ่งที่ควรรู้มันก็รู้ไม่ได้ สิ่งที่ควรเห็นมันก็เห็นไม่ได้ ท่านจึงเริ่มจากศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อมีศีลแล้วการปฏิบัติมันก็จะรู้จะเห็นในสิ่งที่รู้ควรเห็นคือทุกข์ ..

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร












..คนที่จะแบ่งปันทรัพย์สมบัติให้ลูกให้หลานก็เหมือนกัน เราก็ควรที่จะดูให้ดีว่าเราจะแบ่งปันอะไรให้เขาบ้าง ถึงแม้คนที่ควรจะแบ่งปันอยู่ เราก็ดูว่าบุคคลนั้นๆเขาจะใช้สิ่งของนั้นให้เป็นประโยชน์ไหม แต่ในบางครั้งบิดามารดาที่มีลูกหลายคน มีทั้งลูกที่ดีและลูกที่ไม่ดี พ่อแม่ก็ควรเลี้ยงดูแบ่งปันสิ่งของต่างๆให้ลูกทุกๆคนเหมือนกันหมด ด้วยความเมตตาเสียก่อน แล้วจึงหาโอกาสสั่งสอนลูกที่ประพฤติตนไม่ดีให้เป็นคนที่ดีได้
..บัดนี้พวกบุคคลพิกลพิการทุพพลภาพ ร่างกายขาดตกบกพร่อง เช่น ตาบอด หูหนวก แขนขาขาด ปัญญาอ่อน เราก็ควรแบ่งปันให้แก่พวกเขาเหล่านั้นด้วย ด้วยความสงเคราะห์ ด้วยความเมตตาสงสาร เพราะเขาเป็นบุคคลที่ทุพพลภาพไม่สมบูรณ์ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้รู้จักว่า การจำแนกแจกทานเสียสละจาคะ บริจาคแบ่งปันสิ่งของต่างๆก็ดี ก็ควรจะพิจารณาดีๆให้ถี่ถ้วน เพราะบุคคลที่ไม่ควรให้ปันนั้นเอาทรัพย์สมบัติสิ่งของที่เราให้ไปทำเสียหาย ไม่รักษา เราก็ไม่ควรที่จะแบ่งปันให้
..ถ้าบุคคลใดเป็นคนที่เราควรเสียสละบริจาคแบ่งปันให้แล้ว บุคคลนั้นก็ใช้สิ่งของนั้นให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ไปทิ้งเสียเปล่าประโยชน์ จะให้เงินให้ทองไป แล้วก็เอาไปใช้ให้มีคุณค่า ให้ของใช้สิ่งของเครื่องอำนวยความสะดวกมีมากมายหลายอย่าง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อเราให้ไปแล้วก็พากันรักษาสิ่งของเหล่านั้นเอาไว้ใช้ ให้มีคุณค่ามีประโยชน์ บุคคลก็ควรมีเมตตาซึ่งกันและกัน
..เห็นไหมในปัจจุบันนี้ ไฟไหม้บ้านไหม้เมืองกันก็ดี เราก็มีเมตตาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราควรแบ่งปัน น้ำท่วมบ้านท่วมเมืองก็ดีพัดพาสิ่งของไป เราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลมพัดบ้านพัดช่องหลังคาพังไป บ้านโค่นล้มไปเสียหายต่างๆ เราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หลายสิ่งหลายอย่าง ช่วยกันคนละไม้ละมือ อันนี้เป็นบุคคลที่เราควรจะแบ่งปันให้ พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้อย่างนี้
..เราควรไตร่ตรองใคร่ครวญก่อนจะแบ่งปันสิ่งของให้บุคคลอื่น แก่บุคคลต่างๆนั้น ควรหรือไม่ควร ก็ขอให้ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาดูให้รอบคอบก่อน แล้วจึงแบ่งปันให้ จึงจะถูกหลักการเสียสละบริจาค เรียกว่าจาคะ การจำแนกแจกทาน เสียสละให้ซึ่งกันและกัน เพื่อความเหมาะสมตามกาลเทศะ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..







" บางฅนเมื่อมา...ภาวนา
ตอนเย็น ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม
ก็นึกว่า...เขาได้ภาวนาแล้ว
ยังไม่ใช่ เท่านี้

ความเป็นจริงการภาวนา...
คือสติ...ติดต่อก้น ให้เป็นวงกลมตลอดเวลา
ให้มีสติอยู่...สม่ำเสมอ
ให้รู้ ให้เห็น
ให้เห็นอาการ ที่มันเกิดขึ้นมาในจิต...ของเรา

เห็นเกิดขึ้นมา...
อย่าไปยึดมั่น อย่าไปหมายมั่น
ปล่อยมัน
วางมัน ไว้เช่นนั้น
ปฏิบัติเช่นนี้ เร็ว เร็วมาก
มีแต่...เห็นอารมณ์เท่านั้นแหละ
อารมณ์ ที่ชอบ
อารมณ์ ที่ไม่ชอบ
ทุกวันนี้เราทุกฅนน่ะ ไม่รู้จักกิเลสตัณหา
มีฅน ฅนเดียวนั่นละ
ที่มันหลอกตัว(เรา)อยู่ วัน ยังค่ำ

ดูซิ เราเกิดมามีอะไรไหม ?
มีฅน ฅนเดียวนั่นแหละ มันมาให้เรา
หัวเราะ อยู่ที่นี่
ร้องไห้ อยู่ที่นี่
โศกเศร้า อยู่ที่นี่
วุ่นวาย อยู่ที่นี่แหละ มันก็คือฅน ฅนเดียวกัน

ถ้าเรา...
ไม่พิจารณา
ไม่ตามดูแล้ว ยิ่งไม่รู้จักมัน
มันก็เกิดทุกข์อยู่...ตลอดเวลา

(อารมณ์)ได้มา ก็เคยเสียอยู่
(อารมณ์)เสียแล้ว ก็เคยได้มาอยู่
ก็พลอยสุข กับมัน ทุกข์ กับมัน
ยึดมั่น หมายมั่น กับมันตลอดเวลาอยู่ เช่นนี้
เพราะ...ไม่ดูมัน
ไม่ พิจารณา

ของทั้งหลายนี้...
ไม่ได้ อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่ ตัวเรา
ถ้าเรา...
พิจารณาที่ตัวเราอยู่ เช่นนี้
เรา จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ของเรา."

โอวาทธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง









"อย่าไปให้ความสำคัญกับของขลังภายนอกยิ่งกว่าทำจิตของเราให้เป็นพระ ตัวเรานั่นแหละเป็นแก้วสารพัดนึก"

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหาย อ.หนองแสง จ.อุดรธานี






“มนุษย์ที่ดำเนินชีวิตกันอยู่นี้
ก็ไปจากจุดเริ่มที่...
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แล้วก็แยกเป็น 2 สาย
เป็นสาย อวิชชา ตัณหา ทุกข์
กับสาย วิชชา วิมุตติ
ที่เรียกง่ายๆว่า“วิถีแห่งปัญญา”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม” ตอนที่ ๑๗











"อนัตตา"
"..หลักอนัตตา ในทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันชอบ พระองค์มิได้ตรัสว่าอนัตตาเป็นของไม่มีตนไม่มีตัว เป็นของว่างเปล่า
พระองค์ตรัสว่า..ตนตัวคือ ร่างกายของคนเรา อันได้แก่ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ มันมีอยู่แล้ว แต่จะหาสิ่งเป็นสาระในขันธ์ ๕ นั้นไม่มี ดังนี้ต่างหาก..."

หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี










" ตั้งใจงดเว้นขึ้นเมื่อใด ศีลก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น
ฉะนั้น ถึงจะรับศีลจากพระแต่รับเพียงด้วยปาก
ใจไม่ได้คิดงดเว้นอะไร ก็ไม่เกิดเป็นศีลขึ้น
ถึงไม่ได้รับศีลจากพระ แต่มีใจงดเว้น ก็เกิดเป็นศีลขึ้นได้ "

พระนิพนธ์ 'มนุษยธรรม'
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก








มันไม่ลงถึงจิตใจ
คนสมัยนี้โดยมากสติจะมีน้อยนิดเดียว" แม้จะฟังเทศน์ฟังธรรมก็ตาม "ฟังคำบรรยาย ฟังปาฐกถาธรรม ไม่ค่อยได้ถืงจิตใจ" เป็นแต่เพียงแค่สัญญา "มันไม่ลงถึงจิตใจ" ฟังแล้วไม่ได้เรื่อง บางทีรู้เรื่องแต่จิตแก้ไม่ได้
"โดยมากมันมักหันไปทางโลก ดูความเพลิดเพลินทะเยอะทะยาน" เห่อเหิมทางโลก "มันจึงไม่ลงถึงจิต จิตก็เลยไม่เกิดสลดสังเวข ผลของการเห็นโทษเห็นภัย ยกระดับจิตใจให้สูงขั้นมันเลยไม่ไป" เลยไม่ได้เรื่องได้ราว
ฟังแล้วก็ฟังอยู่เฉย ๆ คล้าย ๆ กับพวกศึกษาเล่าเรียน "เรียนไปก็จำได้อยู่แค่นั้น มันแก้จิตใจตนเองไม่ได้ แก้คนอื่นก็ไม่ได้" นื่ปัญหามีอยู่อย่างนี้ "พวกเราจึงต้องหาหนทางแก้อาการของจิต" ไม่อยากให้หลงทางเท่านั้นแหละ "เพราะว่าจิตใจมันไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักให้อภัย

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
พระเทพวิสุทธิมงคล
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด










คนภาวนาเป็นมองดูก็รู้แล้ว ไม่ได้ไปสุงสิงกับใคร
มีแต่ทำงานทางใจ มีแต่หาที่หลบให้ตัวเองอยู่คนเดียว
มันสนุกนะอยู่คนเดียว มันเกิดมันดับอยู่นั่น
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี









..ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ?

กินข้าวทำไมกินได้ นอนทุกคืน
ทำไมนอนได้ พูดเล่นทำไมพูดได้
ตาดู หูฟังตามอำนาจกิเลส ทำไมจึงดูได้ ฟังได้

...ไม่ได้ มันเรื่องอะไรไม่ได้ !
ใครเป็นผู้ว่าไม่ได้ เพียรเพ่งภาวนาเข้า
ตั้งจิตตั้งใจลงไปให้แน่วแน่มั่นคง กิเลสมันหลอก!..

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 72 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร