วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 15:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2019, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"เราทำความดีเพื่อความดี ไม่ได้ทำเพื่อให้ใครมาสรรเสริญเยินยอ หรือฟังใครตำหนิติเตียน"

เมตตาธรรมจาก
พระอาจารย์คม อภิวโร
วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา









ความรักและความโกรธ
คนเรานี้ยังมีความโกรธอยู่เพราะอะไร?
ก็เพราะกิเลสตัณหาเป็นธรรมดา
และต้นเหตุนี่ส่วนมากก็เกิดจากความรัก
เราต้องแก้ความโกรธด้วยการละ
บุคคลใดละได้ก็จะมีความสุข
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ...
บุคคลใดละความโกรธได้
บุคคลนั้นแหละมีความสุขสบาย...

โอวาทธรรม
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป









เรื่อง "ย่นวัฏฏะด้วย ทาน ศีล ภาวนา"
"ถ้าไม่ยึดมั่นบูชาคุณต่อพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่ยินดีในกองบุญกุศล ก็เดินทางลงอบายภูมิเท่านั้นเอง"

(คติธรรม ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา)
(วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม)







คราวใดที่ใจเป็นกุศลจิต ให้รักษาไว้ให้ดี และคราวใดเกิดอกุศลจิต ก็ให้กำหนดให้ดี อย่าให้มันกำเริบ ให้ระลึกถึงอารมณ์อันเดียว รวมจิตใจอยู่อันเดียว
หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ให้ใจกลมกลืนกันไป ให้เป็นผู้มีสติคุม เป็นผู้มีสติใหญ่ เป็นสมาธิจิต ให้มีจิตตั้งมั่นในการยืน​ เดิน​ นั่ง​ นอน ซึ่งสามารถทำสมาธิได้ทุกอิริยาบถ

ท่านพ่อลี​ ธัมมธโร​







การเลี้ยงดูเด็กให้เติบโต ควร ทำความเข้าใจว่ามี 2 อย่าง คือเลี้ยงร่างกาย เลี้ยงดูจิตใจ เพราะความเติบโตของเด็กทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ จะมุ่งเลี้ยงร่างกายทอดทิ้งทางจิตใจ ย่อมเป็นความบกพร่องอย่างสำคัญ ไม่ควรถือตามคำปัดว่าเลี้ยงกันได้แต่กาย ใจเลี้ยงไม่ได้ ใจที่อาจเลี้ยงไม่ได้ คือใจที่แข็งหรือเติบโตเป็นตัวของตัวเองในทางที่ถูกหรือผิดเสียแล้ว แต่จิตใจที่ยังอ่อน ยังจะเติบโตต่อไป ถ้าผู้ปกครองบำรุงเลี้ยงให้อาหารใจที่ดีอยู่เสมอแล้ว ภาวะทางจิตใจของเด็กก็จะเติบโตขึ้นในทางที่ดี ทั้งนี้เกี่ยวแก่การอบรมดี ให้เด็กได้เสวนา คือซ่องเสพคบหา คุ้นเคยกับบุคคล และสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่ชอบ ถูกต้อง เมื่อเด็กได้รับการเลี้ยงดูให้มีร่างกายจิตใจเติบโตขึ้นสมดุลกันก็จะเติบโต ดีขึ้นเรื่อยๆ.

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก








เพื่อนสามคนโดนปล่อยเกาะกลางทะเล ขณะกำลังเดินไปตามชายหาดพบขวดหนึ่งขวด เปิดออกแล้วจีนี่ (ชื่อยักษ์ในตะเกียงวิเศษ) ออกมา แล้วก็ขอบคุณที่ปล่อยให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกขังไว้หลายร้อยปี แล้วให้เพื่อนสามคนขออะไรก็ได้หนึ่งข้อ สองคนแรกขอกลับบ้านแล้วก็หายวับไปทันที คนที่สามตกใจเมื่ออยู่คนเดียว อุทานว่าเหงาจังเลย ขอให้เพื่อนกลับมา

คนเราส่วนใหญ่อยู่คนเดียวไม่เป็น พออยู่คนเดียวแวบเดียวก็เหงา คิดถึงเพื่อน นี่คือความอ่อนแอของจิตใจ ความทุกข์ที่คนมักมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ผู้ที่สามารถฝึกจิตให้มีสติตื่นรู้อยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่องจะมีความรู้สึกว่าไม่ขาดอะไรสักอย่าง จะอยู่คนเดียว อยู่น้อยคน อยู่มากคน ความรู้สึกนี้คงที่ จะคบเพื่อนก็มีความสุขได้ จะอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้เหมือนกัน ความสุขจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยภายใน ไม่ต้องพึ่งคนอื่นจึงมีความสุขได้ ความคล่องแคล่ว ความเป็นอิสระอย่างนี้ ไม่น่าปรารถนาหรือ

พระอาจารย์ชยสาโร









ร่างกายนี้ ที่เรายังนั่งได้ พูดได้ เดินได้
เราต้องพิจารณาว่า
สักวันหนึ่งมันจะต้องกลายเป็นซากศพ
เน่าเปื่อยผุพัง กระดูกกระจัดกระจาย
เผาไหม้ไปในที่สุด หาสาระอะไรไม่ได้
.
ฉะนั้น เรามีชีวิตอยู่
ก็พออาศัยพยุงพยังไปชั่วคราว
อย่าไปยึดถืออะไรนักหนา
เอาแค่พออาศัย
ถึงเราจะหวงไว้ขนาดไหน
จะยึดไว้ขนาดไหน
มันก็ไม่สามารถจะอยู่ได้
ต้องทอดทิ้งไปในที่สุด
.
เรามีสังขารไว้เพื่อสร้างสมคุณงามความดี
เอาสังขารมาประพฤติปฏิบัติ
สาระของทรัพย์ อยู่ที่การให้ทาน
สาระของสังขาร อยู่ที่การรักษาศีล-เจริญภาวนา
ร่างกายของเรา เราต้องเอามารักษาศีล
จิตใจต้องเจริญภาวนา
.
เราจะฝากคนอื่นทำให้ไม่ได้
เมื่อจะให้ทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า
ยังฝากให้เขาทำแทนได้
“ช่วยฝากไปทำบุญที่วัดหน่อย”
แต่การรักษาศีล
เราจะฝากให้เขาทำไม่ได้
ไม่ใช่ว่า “เอ่อ ขี้เกียจไปวัด
ช่วยไปบวชแทน รักษาศีลแทนให้หน่อย”
หรือว่า “ขี้เกียจเจริญภาวนา
ช่วยเจริญภาวนาแทนให้หน่อย”
อย่างนี้ทำไม่ได้
.
ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน
“อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
โกหินาโถ ปโร สิยา
คนอื่น ใครอื่นเล่า
จะเป็นที่พึ่งให้กับเราได้”
เราต้องลงทุนเอาสังขารมาลงทุน
ต่อบุญ ต่อกุศล ต่อความดี
.
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
‪‎ท่านเจ้าคุณ‬ ‪‎พระภาวนาเขมคุณ‬ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา









..บัดนี้ข้อ 7 นั้นเป็นปัญญา รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ข้อนี้เราควรที่จะพินิจพิจารณา การที่เราจะรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ โอ..สิ่งใดมันจะเป็นประโยชน์ สิ่งใดมันจะมีโทษ ไม่มีประโยชน์ เราควรศึกษา ด้านปัญญานี้เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุด ที่เราจะพากันพินิจพิจารณาให้รอบรู้กับสิ่งต่างๆเพื่อจะให้เข้าใจ เออ..อะไรนี่เป็นประโยชน์ไหม หรือไม่เป็นประโยชน์ อย่างนี้จะมีโทษหรือไม่มีโทษ เราจึงควรไตร่ตรองใคร่ครวญ
..หากเราจะทำอะไรทุกอย่างก็เหมือนกัน ถ้าจะแสวงหาอะไรทุกอย่างเราต้องดูว่าสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ไหม และมีคุณค่าไหม อำนวยความสะดวกให้ไหม เราต้องดูสิ่งของเหล่านี้ ถ้าหากเราดูแล้วมันจะไร้ประโยชน์ เราจะเข้าใจว่าสิ่งไหนจะไร้ประโยชน์ หรือจะมีโทษเกิดขึ้น
..เหตุฉะนั้นการศึกษาเรื่องอย่างนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเรารู้จักว่า เออ..พากันทำบุญทำทานการกุศลมีประโยชน์ สร้างอะไรที่มีคุณค่ามีประโยชน์เกิดขึ้น อำนวยความสะดวกให้ และพากันสร้างบ้านสร้างช่อง สร้างรถสร้างเรือ สร้างเครื่องบิน เครื่องอำนวยความสะดวกอะไรต่างๆ เครื่องใช้ไม้สอยหลายสิ่งหลายอย่าง โอ ..สร้างขึ้นมาแล้วนี่ มันเป็นประโยชน์และมีคุณค่า และเราก็พากันเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์เกิดขึ้น เราก็ทำได้ เห็นหรือเปล่า เราทำบ้านก็ได้อยู่ ทำศาลา โบสถ์ วัด วิหารก็ดี ก็ได้ใช้ได้สอย กุฏิต่างๆ ทำศาลาทางหลวงมันก็เป็นประโยชน์ อย่างสะพานข้ามแม่น้ำก็ดี ไม่ต้องนั่งเรือ สร้างเสร็จแล้วก็เป็นประโยชน์กับรถ หรือเดินข้ามไปก็สะดวกสบาย
..การทำไร่ทำสวนหรือปลูกอะไรต่างๆก็เป็นประโยชน์ เออ..ได้อยู่ได้กิน ได้ซื้อได้ขายอะไร ก็ต้องมองดูว่า เออ..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้เป็นประโยชน์ นั่นเขาเรียกคนมีปัญญา ปัญญารู้ว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำอะไรก็จะอำนวยความสะดวกให้เกิดมีความสุขขึ้น ก็เรียกว่าของนั้นเป็นประโยชน์..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..









ควรพิจารณาก่อนทำบุญ
ทางที่ดีจะทำบุญทำทานอะไรนั้นดี
แต่ก็ควรคำนวณความเป็นอยู่เสียก่อน ทำบุญใช้เงินมากหรือน้อย ถ้าใจสบายก็มีอานิสงส์มากและเวลาจะทำบุญ
ควรพิจารณาเนื้อนาบุญด้วย
อย่าให้กลายเป็นสูญเปล่า
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไหว้เจ้าดีกว่าเสร็จแล้วเอามากินได้ พระท่านดีทุกองค์
แต่ลูกชาวบ้านที่บวชเป็นพระนั้นไม่แน่
ที่เลวแสนเลวมีมาก ใช้ความ
พิจารณาก่อนทำบุญเป็นการดี

หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี








"บ่มีเงิน​ มีข้าวกิน กะอยู่​ได้
บ่มีบ้านใหญ่​ มีกระท่อม​ กะนอนได้​
บ่มี​รถ​ขี่​ เดินตีน​เปล่า​ๆ​ กะไปได้
แต่ขั่นบ่มีพระธรรม​ จิตใจ​มืดบอด​
อยู่​จั่งได๋กะบ่ได้เด้อ ลูก​หลาน​เด้อ"

หลวง​ปู่​จื่อ​ พันธมุตโต









อานิสงส์ของศีล ๕ เมื่อรักษาได้
๑ ทำให้อายุยืนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
๒ ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
๓ ระหว่างลูก หลาน สามี ภรรยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุข ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกราย ต่างครองรักกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
๔ พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจ ไพเราะด้วยสัตย์ด้วยศีล
๕ เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาดไม่หลงหน้าหลงหลังจับโน่นชนนี่ เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้
ผู้มีศีลเป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลก
ให้มีความอบอุ่น ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย
ผู้ไมีมีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ









...ผู้ที่มีความเมตตา
จะรู้จักคำว่า..”ให้อภัย”
เพราะการให้อภัยนี้
“เป็นวิธีการที่แก้ปัญหาได้ ดีที่สุด”
ดับไฟนรกได้..
ดับไฟแห่งการโกรธเกลียด
อาฆาตพยาบาทได้
.......................................
.
ธรรมะโดนใจเล่ม4หน้า101
ธรรมะในศาลา 26/9/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









“ศีลป้องกันไม่ให้เราสร้างความทุกข์”
การปฏิบัติในขั้นของศีล เราก็ลดละการกระทำเพื่อตัวเราเอง การฆ่านี้เราก็ฆ่าเพื่อตัวเรา การลักทรัพย์เราก็ลักทรัพย์เพื่อตัวเรา การประพฤติผิดประเวณี การโกหกหลอกลวง การเสพสุรายาเมา เราก็ทำเพื่อตัวเราเอง เป็นการกระทำตามความหลง เราไม่มีตัวตน ความจริงแล้ว ตัวเรานี้เป็นสมมุติเท่านั้นเอง เกิดจากความหลง เกิดจากอวิชชา ไม่รู้ธรรมชาติแท้ของใจของเราว่าเป็นอะไร ธรรมชาติแท้ของเราก็คือผู้รู้เท่านั้นเอง สักแต่ว่ารู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ ใจไม่ต้องทำอะไรกับธาตุรู้ ธาตุรู้นี้ต้องการความสงบอย่างเดียว ความสงบนี้จะทำให้ธาตุรู้นี้มีความสุข แต่การกระทำอะไรเพื่ออัตตาตัวตนจะทำให้เกิดความทุกข์ตามมา เช่นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำไปแล้วก็จะทำให้เกิดความรุ่มร้อนใจขึ้นมา การลักทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน การประพฤติผิดประเวณีก็เช่นเดียวกัน การพูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมาก็เช่นเดียวกัน ทำแล้วไม่ได้ทำให้ใจสงบ ไม่ได้ทำให้เย็นให้สบายใจ แต่กลับทำให้ทุกข์กลับทำให้วุ่นวายใจ เกิดความรุ่มร้อนใจหวาดวิตกกังวลขึ้นมา กลายเป็นนรกขึ้นมา กลายเป็นเดรัจฉานขึ้นมา กลายเป็นเปรตขึ้นมา นี่คือการกระทำเพื่อตัวเราที่เป็นโทษอย่างยิ่งกับจิตใจ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังทำลายตัวเราเอง
การรักษาศีลนี้จึงเป็นการป้องกันไม่ให้เราต้องมาสร้างความทุกข์ สร้างความวุ่นวายใจสร้างความรุ่มร้อนให้แก่ใจของเรา ผู้ใดรักษาศีลได้ ผู้นั้นจะมีใจที่เย็นสบาย มีความสงบ ไม่วิตกกังวลไม่หวาดกลัวกับภัยต่างๆ เพราะไม่มีภัยจะเกิดขึ้น เพราะภัยนี้เกิดจากการกระทำบาปนี้เอง อันนี้ก็เป็นการทำลายอัตตาตัวตนเป็นการสกัดความโลภ ความโกรธ ความหลงเช่นเดียวกัน ความหลง ความหลงก็คือหลงว่าเรามีอัตตาตัวตนทำนี้ก็ทำเพื่อตัวเรา ทำด้วยความโลภ อยากได้ทรัพย์ หามาโดยวิธีสุจริตไม่ได้ก็ไปลักขโมยมา ก็ทำผิดศีลข้อ ๒ หรือว่าอยากจะร่วมหลับนอนกับสามีกับภรรยาของผู้อื่น ก็ไปทำอย่างนี้ก็เป็นการกระทำผิดประเพณี ทำแล้วไม่ได้มีความสุขใจทำแล้วก็จะมีความทุกข์ใจมีความไม่สบายใจ
นี่คือเรื่องของการรักษาศีล รักษาศีลเพื่อลดอัตตาตัวตนลดการกระทำที่ทำเพื่อตนเอง ที่เป็นโทษเพราะว่าจะทำให้ใจนี้ต้องไปใช้กรรมในอบายต้องมีความรุ่มร้อน มีความว้าวุ่นมีความหวาดกลัว ถ้าไม่ได้ทำบาป รักษาศีล ๕ได้ ใจก็จะเป็นปกติ มีความสงบมีความสบายใจ อันนี้ก็เป็นการกระทำเพื่อให้ใจมีที่พึ่ง ในระดับที่สอง ก็คือการรักษาศีล
ถ้าอยากจะดำเนินการทำให้ใจสงบขั้นที่ สามก็คือการภาวนา คือการเจริญสติ สมาธิและปัญญา ก็จำเป็นจะต้องเพิ่มศีล จาก ๕ ข้อไปเป็น ๘ ข้อ เพราะศีล ๕ นี้ไม่สามารถที่จะสกัดกิเลสตัณหา คือกามฉันทะหรือกามราคาะที่เป็นตัวที่จะทำให้ใจไม่สงบ ทำให้ใจฟุ้งซ่าน ถ้ารักษาศีล ๘ นี้ก็จะช่วยสกัด คือล้อมคอกล้อมรั้วไม่ให้เติบใหญ่เติบโต มันยังไม่ตายแต่ก็ไม่ได้ส่งเสริมให้มันออกมาเพ่นพ่าน แล้วก็ทำให้ยากต่อการควบคุมบังคับ เราก็ต้องล้อมรั้วไว้เหมือนกับเราล้อมคอกวัวคอกควาย เราไม่ต้องการให้วัวควายอกไปนอกคอกแล้วก็ออกไปสร้างความเสียหายต่างๆ เราก็ต้องล้อมคอกด้วยศีล ๘ คือ ล้อมคอกตัวกามตัณหา ตัวกามฉันทะ ที่เป็นนิวรณ์ที่เป็นตัวที่ทำให้ใจไม่สงบ

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๖
“ที่พึ่งที่แท้จริงของใจ”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน








..ขอเจริญพรคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย ที่มีความตั้งใจมาทำบุญทำทานการกุศลรักษาศีลเจริญภาวนาเพื่อให้ศีลของเรามีคุณค่ามีสาระมีประโยชน์ เมื่อนึกถึงการทำคุณงามความดีแล้วใจจะมีความสุข เรียกว่า..บุญ..ใครๆก็อยากได้บุญ บุญคือความสุขใจ เมื่อได้ทำแล้วก็แล้วใจสบาย ใจนึกขึ้นมาเมื่อไรว่าตนเองได้ทำคุณงามความดีเอาไว้ ใจก็เลยมีความสุข จึงเรียกว่าบุญ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีความพึงปรารถนา
..เมื่อเราเกิดมาภพใดในชาติไหนก็ดี ถ้ายังไม่ถึงนิพพานเมื่อไหร่ เราก็ต้องเกิดอีก เมื่อเกิดอีกก็ต้องให้ดีกว่านี้ ให้มั่งมีศรีสุขสมบูรณ์ ร่างกายก็สมประกอบทุกด้าน จะเป็นหญิงเป็นชายก็สมบูรณ์ก็ขอให้มีความสะดวกสบาย มีความตั้งใจไว้อย่างนั้น ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อมั่นในการทำบุญก็ดี ธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานี้สอนให้มีชีวิตอยู่ด้วยคุณงามความดีไม่มีบาปมีกรรม ไม่ให้มีความทุกข์ยากลำบากให้หายจากโรคภัยพิบัติทั้งปวง ให้อยู่เย็นเป็นสุขสบายทั้งกายและใจ เราได้ปรารถนาเอาไว้อย่างนั้น
..เมื่อบุญกุศลพร้อมเพรียงแล้ว ก็จะอำนวยผลอำนวยความสะดวกให้พวกเราทุกคนนั้นได้สุขสบาย ได้มีความสุขตามความมุ่งหมายปรารถนาของพวกเรา อันนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าเลย จะมองหน้าเหลียวหลังยืนเดินนั่งนอนไปที่ไหนก็ดี ให้มันระลึกถึงคุณงามความดี ที่ตนเองนั้นได้จะทำเอาไว้
..เพื่อให้ใจของเรานี้รื่นเริงและมีความสุขกับคุณงามความดี อันนี้เขาเรียกว่าคนมีคุณงามความดีติดตัว ติดอยู่ที่ใจใจได้ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนๆความสุขก็อยู่ที่ใจว่าได้กระทำอะไรดีอะไรถูกต้องไว้แล้ว ก็อยู่ที่ใจ เรียกว่าฝากฝังไว้ที่ใจ..

..โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปัญฺญาปทีโป..7 สิงหาคม 2559.









"สังขารธรรม"
ความตาย มันตายอยู่ตลอดเวลา แม้อยู่ ณ บัดนี้มันก็ตายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่เราอยู่นี่มันก็ตาย ในบ้าน ในป่า ภูเขา ลำเนาไม้มันก็ตาย ในน้ำมันก็ตาย บนบกมันก็ตาย ตายทั้งวันทั้งคืน ถ้าหากว่ามีเสียงเหมือนกับเสียงปืนแล้ว เยื่อหูของเราทั้งหลายแตกทำลายไม่มีอันใดเหลือ เพราะความแปรมันก็ดังขึ้นมา ความแตกความสลายมันก็ดังขึ้นมา ความทุกข์ยากลำบากในครอบครัวเหย้าเรือนแต่ละครอบครัว มันก็ดังขึ้นมา สัตว์ได้รับความทุกข์มันก็ดังขึ้นมา ที่อยู่ใต้น้ำมันก็ดังขึ้นมา อยู่บนบกมันก็ดังขึ้นมา แม้ที่สุดพวกเรานั่งฟังเทศน์อยู่ ณ บัดนี้ เกิดความทุกข์ต่างก็จะดังขึ้นมาเหมือนกับเสียงปืนดังเรื่องกองทุกข์ เยื่อหูก็จะไม่สามารถต้านทานอยู่ได้ เพราะกองทุกข์มันประกาศลั่นโลกอยู่อย่างนี้
.
เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อย่างไร มันเป็นซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องแสดงตามความจริงที่มันเป็นอยู่เช่นนี้ ให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายได้พิจารณาว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อมีอยู่มันก็แสดงเสียงลั่นอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ แต่มันไม่มีปืนให้สัญญาณแก่เรา ในขณะความทุกข์หรือความแปรปรวนปรากฏขึ้นในสัตว์และสังขารแต่ละราย ๆ จึงคล้าย ๆ กับว่ามีทุกข์แต่เราคนเดียว มีความเดือดร้อนแต่เราคนเดียว มีความฟุ้งซ่านวุ่นวายแต่เราคนเดียว มีความยากลำบากแต่เราคนเดียว ขัดสนจนทรัพย์และอับปัญญาแต่เราคนเดียว ไม่ดีแต่เราคนเดียว โลกเขาคล้ายกับว่าเป็นทองคำไปหมด ที่จริงโลกมันโลกเดียวกัน ธาตุขันธ์อันเดียวกัน โลก อนิจฺจา วต สงฺขารา อันเดียวกัน หัวใจอันเดียวกัน มันเป็นทุกข์อย่างเดียวกันนี่เอง
.
ขอให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายพินิจพิจารณาในภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลาย ภายนอกภายใน ทั้งของท่านของเรามันไม่เที่ยงอุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดขึ้นแล้วไม่ว่าอยู่ที่ไหน ๆ มันแตกด้วยกันทั้งนั้น เตสํ วูปสโม สุโข จงพยายามทำความระงับเสียซึ่งต้นเหตุ คือสังขารอันเป็นตัวสมุทัยให้ดับสิ้นซากไปเสียจากใจแล้ว สังขารที่เป็นตัวผล คือ อนิจฺจา วต สงฺขารา ความเกิด ความตายแห่งสังขารนี้จะไม่ปรากฏแก่ใจของเรา ให้เป็นความกังวลต่อไปอีก เรียกว่า ถึงสันติธรรมอันราบคาบ ได้แก่บรมสุข คือวิมุตติพระนิพพาน
..........................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕










ทุกครั้ง ที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับ เราประจานความมืดดำ
ในใจตัวเองออกมา
เห็นสิ่งไม่ดีของใคร จงเตือนตัวเอง
ว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่น คือ “นักปราชญ์”
ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทา เรียกว่า “คนพาล”

โอวาทธรรม
หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร