วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2020, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ยามที่เรามีความท้อแท้”

ยามที่มีความท้อแท้ ขอให้เราเตือนสติ อย่าไปพาลยกเลิก ว่าปฏิบัติมานานแล้ว ไม่เห็นได้ผลเลย สู้ไม่ปฏิบัติดีกว่า ถ้าคิดแบบนี้แล้วก็เป็นการฆ่าตัวตาย เป็นการปิดกั้นอนาคตที่ดี ที่เจริญ ที่รุ่งเรืองไป เพราะจะถูกอำนาจของกิเลสใฝ่ต่ำ ชักจูงให้กลับไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ถึงแม้จะมีความสุข มีความสนุก มีความเพลิดเพลิน แต่ก็เป็นความเพลิดเพลินแบบขุดหลุมฝังตัวเองเท่านั้นเอง เวลาไปเที่ยว ไปเสพอบายมุขต่างๆ ก็มีความเพลิดเพลิน แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ จะต้องติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไป ถ้าติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ก็จะถูกสิ่งเหล่านี้ดูดความเจริญ ดูดทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวเราให้หมดสิ้นไป เมื่อไม่มีทรัพยากรเหลืออยู่แล้ว และไม่มีความสามารถที่จะหามาด้วยความสุจริต ก็ต้องไปหามาด้วยความทุจริต แล้วในที่สุดก็ต้องไปใช้เวรใช้กรรมทั้งในปัจจุบันและในอนาคตที่จะตามมาต่อไป ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว ก็จะทำให้มีกำลังจิตกำลังใจที่จะปฏิบัติ ทำคุณงามความดีต่อไป ถึงแม้จะยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นก็ตาม เมื่อคิดถึงผลดีที่จะตามมาต่อไป ก็จะทำให้เกิดมีกำลังใจ

การปฏิบัติความดีจะยากจะลำบากในเบื้องต้น อุปสรรคจะมาก ความทุกข์ ความยาก ความลำบากจะมีมาก แต่เมื่อปฏิบัติไปแล้วความทุกข์ ความยาก ความลำบาก จะค่อยๆ เบาบางลงไป น้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วความสุข ความสบาย จะมีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเต็มครบร้อยบริบูรณ์ เป็นความสุขที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนลำแข้งลำขา บนกำลังใจของเรา เกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เกิดจากความสงบ ความสะอาดของจิต เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่เคียงกับเราไปตลอดอนันตกาล ไม่ว่าจะไปที่ไหนแห่งใด ถ้ายังไม่ถึงสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด คุณธรรมความดีเหล่านี้ ความสุขเหล่านี้ ก็จะติดตัวไป ทำให้การปฏิบัติไม่ขาดตอน ไม่สูญเสีย ไม่สูญหายไป ไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ไปเกิดในภพใหม่ ชาติใหม่ ไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่ เพราะพลังของจิตไปกับจิต คุณงามความดีนี้แหละคือพลังของจิต ไม่สูญสลายไป จะติดไปกับใจ เป็นนิสัย เป็นบารมี

เหมือนกับพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาอันยาวนาน พระบารมีเหล่านั้นที่ได้ทรงสะสมไว้ในแต่ละภพละชาติ ก็ไม่สูญหายไปไหน ก็ยังอยู่ติดอยู่กับพระทัยของพระพุทธเจ้า กลายเป็นเครื่องมือ สนับสนุนให้ได้ทรงบรรลุถึงธรรมอันสูงสุด คือได้บรรลุเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา เพราะได้ทรงสะสมบุญบารมีมาทุกภพทุกชาติ พวกเราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าหนึ่งในพวกเราที่นั่งอยู่ในศาลานี้ อาจจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในภายภาคหน้าก็ได้ เพราะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มาจากผู้วิเศษที่ไหน พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ก็มาจากปุถุชนคนมืดบอดอย่างพวกเราทั้งหลายนี่แหละ เพียงแต่ว่ามีศรัทธาความเชื่อ มีฉันทะความยินดี ความพอใจ มีวิริยะความเพียร อุตสาหะ มีขันติ ความอดทนที่จะประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่งาม ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางไว้ให้ปฏิบัติตาม เรานี่แหละต่อไปจะกลายเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันตสาวกขึ้นมา จะช้าหรือเร็วก็อยู่กับตัวเรานี่แหละ

เหมือนกับการขับรถ ถ้าขับช้าก็ไปถึงจุดหมายปลายทางช้า ถ้าขับเร็วก็ไปถึงเร็ว ฉันใดการปฏิบัติก็เป็นเช่นนั้น ถ้าปฏิบัติมากก็จะไปถึงเร็ว ถ้าปฏิบัติน้อย ก็จะไปถึงช้า วันหนึ่งมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง เราปฏิบัติธรรมกันมากน้อยเท่าไร ถ้าปฏิบัติอย่างพระสาวกในอดีตกาล ก็ปฏิบัติตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับไป คืนหนึ่งท่านก็หลับไม่มาก เพียงคืนละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้นเอง ปฏิบัติถึง ๒๐ ชั่วโมงต่อวัน จึงไม่เป็นของแปลกอะไรที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว สมัยพุทธกาลจึงปรากฏพระอรหันตสาวกขึ้นมาเป็นจำนวนมากมาย เพราะท่านปฏิบัติกันนั่นเอง ไม่เพียงแต่สักแต่ว่าฟัง แล้วก็ไม่นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาปฏิบัติ ผลจึงไม่ค่อยปรากฏ เหมือนในสมัยนี้ มีคนเยอะ มีคนถึง ๖๐ ล้านคนในประเทศไทย ที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่มีสักกี่คนที่จะบรรลุเป็นพระอริยสาวกของพระพุทธเจ้า แทบจะหาไม่ค่อยได้เลยทุกวันนี้ เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร เดินไปก็ไม่ค่อยเจอเท่าไร ไม่เหมือนในสมัยพุทธกาล เดินไปก็มักจะเดินชนกับพระอริยเจ้าเสมอๆ สิ่งแตกต่างกันในสมัยพุทธกาลกับในสมัยนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่การปฏิบัติของเรานั่นแหละ

ในสมัยพุทธกาลมีการปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมก็ฟังกันอย่างจริงจัง เมื่อฟังแล้วก็นำเอาไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ได้ฟังเพื่อเป็นการสะสมบารมี การสะสมบารมีที่แท้จริงนั้น จะต้องนำไปปฏิบัติ ถ้าฟังแล้วไม่ได้เอาไปปฏิบัติ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการสะสมบารมี เป็นการสูญไปเปล่าๆ เสียเวลานั่งฟัง เสียเวลาของคนที่พูด เพราะไม่ได้นำไปปฏิบัติ การฟังอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เหมือนกับการรู้ทางแล้วแต่ไม่ได้เดินทางไป อย่างนี้ก็จะไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ปรารถนาได้ ถ้าเดินแบบกระต่ายก็ไม่ดี เพราะเดินในลักษณะประมาท แล้วแต่อารมณ์ วันไหนขยันก็เดินเร็ว พอวันไหนขี้เกียจก็เถลไถล ไปเที่ยว ไปทำโน่น ทำนี่ ก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที ต้องเอาอย่างเต่า ถึงแม้จะก้าวไปทีละก้าวอย่างช้าๆ แต่ไปแบบไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ยอมถอยหลัง ไม่เถลไถล รู้หน้าที่ของตนว่าจะต้องเดินทาง ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ ก็เดินไปด้วยความแน่วแน่มั่นคง ด้วยความพากเพียร ด้วยความอดทน แล้วในที่สุดถึงแม้จะเดินช้ากว่ากระต่าย แต่ก็ไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนกระต่าย เพราะไม่ประมาทนั่นเอง ส่วนกระต่ายนี้ประมาท คิดว่ามีความสามารถจะไปถึงจุดหมายปลายทางเมื่อไรก็ไปได้ ก็เลยผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ เลยไปไม่ถึงสักที

พวกเรามักชอบผัดไปเรื่อยๆเหมือนกับกระต่าย ว่าตอนนี้ยังอายุน้อยอยู่ ยังหาความสุขในโลกนี้ได้ ไว้รอให้มีอายุมากขึ้นไปก่อน ไว้แก่แล้ว ไม่มีกำลังวังชาที่จะออกไปเที่ยวแล้ว ค่อยเข้าวัดปฏิบัติธรรมกัน ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว ก็เป็นการประมาทใน ๒ กรณีด้วยกัน คือ ๑. เรายังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ถึงอายุแก่เฒ่าหรือไม่ อาจจะตายในขณะที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ได้ ๒. เมื่อแก่เฒ่าแล้วเวลาปฏิบัติธรรมจะยากลำบาก เพราะสังขารร่างกายไม่เอื้ออำนวย นิสัยที่ได้ปลูกฝังไปในทางโลกก็จะคอยกีดขวางให้การปฏิบัติธรรมเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ถ้าเริ่มปฏิบัติธรรมเสียตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นยังสาวอยู่ การปฏิบัติก็จะง่าย เพราะกำลังวังชาร่างกายก็พร้อม นิสัยทางโลกก็จะไม่มากีดขวางในการปฏิบัติ เหมือนกับการดัดไม้ ต้องดัดไม้ตอนที่ไม้ยังอ่อนอยู่ ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก จึงควรรีบเร่งปฏิบัติในขณะที่ยังมีอายุน้อยอยู่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง

กำลังใจ ๑๐, กัณฑ์ที่ ๑๔๙
วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๖
“ตั้งเป้า วางแผน”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน









ถ้าจะภาวนาอย่างเดียวไม่ทำทาน
ตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่
จะลำบากยากจนทุกชาติ
คนเก่งมากแต่ขาดทุนทรัพย์
มีให้เห็นเกลื่อนเมือง

เอาแต่ปัญญาอย่างเดียวนี่แหละ จนตายห่าเลย
เก่งกล้าสามารถแค่ไหน ทำอาชีพอะไรก็ไม่รุ่ง
เพราะไม่มีผลของ "ทาน" คอยอุปถัมภ์ช่วยเหลือ

ไม่ทำทาน ไม่มีศีล จะภาวนาอย่างเดียว
ถ้ายังเกิดอยู่นะ ซวยแน่นอน
สุดท้ายมันก็วุ่นวายแต่เรื่องหาอยู่หากินเอาตัวรอด
ไม่มีโอกาสจะได้ภาวนาอยู่ดี

โอวาทธรรม : พระอาจารย์คม อภิวโร










...ตายแล้วเราไม่สูญนะ
ตายแล้วร่างกายมันสูญ
แต่..”ใจ” ที่มาสั่ง
ให้ร่างกายทำอะไรนี้ ไม่สูญ

เรา..”ไม่ได้เป็นร่างกาย” เราเป็นผู้สั่ง
เราเป็นนาย ร่างกายเป็นบ่าว
“เราคือ..ใจ” คือ..ผู้รู้ผู้คิดนี่แหละ
เราเป็นผู้รู้ผู้คิดที่..”ไม่ใช่เป็นร่างกาย”

เวลาร่างกายตายไป
ผู้รู้ผู้คิด.ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย
ผู้รู้ผู้คิด..มีความอยาก
ก็”จะกลับมาเกิดใหม่”.
...................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 18/9/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









...ตายแล้วเราไม่สูญนะ
ตายแล้วร่างกายมันสูญ
แต่..”ใจ” ที่มาสั่ง
ให้ร่างกายทำอะไรนี้ ไม่สูญ

เรา..”ไม่ได้เป็นร่างกาย” เราเป็นผู้สั่ง
เราเป็นนาย ร่างกายเป็นบ่าว
“เราคือ..ใจ” คือ..ผู้รู้ผู้คิดนี่แหละ
เราเป็นผู้รู้ผู้คิดที่..”ไม่ใช่เป็นร่างกาย”

เวลาร่างกายตายไป
ผู้รู้ผู้คิด.ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย
ผู้รู้ผู้คิด..มีความอยาก
ก็”จะกลับมาเกิดใหม่”.

...................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 18/9/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








#เหตุที่คนไม่ปฏิบัติธรรม
๑. มองไม่เห็นว่าสำคัญหรือจำเป็น
๒. ยอมรับว่าสำคัญ แต่ถือว่าตัวเองทำไม่ได้
๓. ยอมรับว่าสำคัญ แต่อ้างว่ายังไม่มีเวลา
๔. ยอมรับว่าสำคัญ แต่ทนการดึงดูดของกิเลสไม่ได้

– สำหรับกลุ่มแรก มีคำถามสองข้อว่าชอบเป็นทุกข์หรือไม่ ข้อที่สองพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า คนเราทุกข์เพราะกิเลส ที่พระองค์สอนเช่นนี้จริงหรือไม่ ถ้าคนในกลุ่มนี้ตอบว่าไม่ชอบเป็นทุกข์ และเชื่อว่าที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นจริง ถ้าอย่างนั้นการปฏิบัติเพื่อชำระกิเลสจะไม่สำคัญหรือไม่จำเป็นได้อย่างไร

– สำหรับกลุ่มที่สอง ก็มีคำถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าทำไม่ได้ ถ้าไม่เคยปฏิบัติ เพราะแม้แต่ผู้มีบารมีสูงก็มักจะต้องผ่านความยากลำบากในเบื้องต้น ในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนามีการบันทึกการปฏิบัติธรรมจนได้ผลของผู้ที่เคยทำบาปกรรมไว้มากมาย และผู้ที่เริ่มต้นที่มีกิเลสหนา ดังนั้นเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเองเลวกว่าท่านเหล่านั้น

– สำหรับกลุ่มที่สาม ก็ควรจะพิจารณาว่าความตายกระชากเราไปได้ทุกวันเวลา เรารู้ได้อย่างไรว่าเรายังมีเวลาพอที่จะผลัดวันประกันพรุ่งต่อไปอีกได้ การเกิดเป็นมนุษย์ในประเทศอันสมควรเช่นเมืองไทยเป็นเรื่องยากมาก การฉวยโอกาสปฏิบัติธรรมตั้งแต่ตอนนี้จะไม่ฉลาดกว่าหรือ

– สำหรับกลุ่มที่สี่ ต้องพิจารณาว่าควรจะให้ห่างจากสิ่งแวดล้อมหรือบุคคลที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นกิเลสของเราหรือไม่ ถ้าเป็นได้ควรหาโอกาสปลีกตัวเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม หรือไปพักที่วัดป่า หรือออกบวชชั่วคราว เพื่อเป็นการตั้งต้นใหม่

พระอาจารย์ชยสาโร









ครั้งนั้นหลวงปู่ ตั้งสัจจะอธิษฐาน หากไม่บรรลุธรรมในพรรษา จะไม่เข้าบ้าน วันหนึ่งโยมแม่ป่วยมาก พระอุปฐากบอกว่าแม่ฝากมาบอกว่า "ครูบาเรียน
คึใจดำแท่ คึบ่มาเบิ่งใจแม่แน " หลวงปู่ ก็ไม่เป็นอันภาวนา จิตใจนึกถึงแต่โยมแม่ ครั้งนั้นได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่เข้าไปกราบ อาจารย์(หลวงปู่ชอบ)หลวงปู่ชอบว่า"มึงสิห่วงเสาเฮือน เสาซานนั่นบ่ มึงสิเอาเสาเฮือนไปนำบ่" พอได้ฟังอย่างนั้น จิตหลวงปู่จันทร์เรียน ดิ่งเข้ามาในกายพรางเห็นกายตนฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆเหมือนกระดาษ น้ำตาแห่งความปิติธรรมไหลๆๆกราบอาจารย์กราบแล้วกราบอีก

:: ส่วนหนึ่งใน ประวัติหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองแสง จ.อุดรธานี









มีชาติหนึ่งเราเอาลูกแมวไปปล่อยป่า
เพราะรังเกียจมัน
ลูกแมวตัวนี้อดข้าวปลาอาหารอยู่ในป่าหลายวัน จึงมีคนใจดีมาพบเอาไปเลี้ยง
กรรมนี้จึงมาสนองเราในชาติปัจจุบัน
เป็นเหตุให้ตัวเองหลงป่า อดอาหาร
ขนาดเชี่ยวชาญชำนาญป่าอย่างเรา
ยังหลงทางเพราะกรรมของตน

“ให้จำไว้…บุญบาปแม้เพียงเล็กน้อย
ประมาทไม่ได้
กรรมเมื่อตามมาถึงแล้ว
มันแสดงผลทันที
ช้าหรือเร็วทุกคนต้องได้รับผลของกรรมนั้น ไม่มีใครปัดเคราะห์สะเดาะกรรมให้กันได้ คนเราถ้าเห็นกรรมเก่าของตนเอง
เหมือนดูหนังดูละคร
มันจะบ่กล้าทำบาปใหม่
ให้เผาผลาญใจของตนเองดอก
เพราะพ่อแม่กิเลสปิดจิตบังใจเอาไว้
พูกลูกกรรมพร้าธรรม
มันถึงบ่ฮู้ความจริงของบาปบุญคุณโทษ.”

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม








“…กรรม ไม่มีเอียง มาตามสายทั้งกรรมดี..กรรมชั่ว…”

ไปตกนรกถามถึงเรื่องกรรม กรรมของสัตว์นี้ก็มีมาตลอด มาถึงจุดนี้ๆ นั่น เห็นไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มาตกตูมเอาเลย ตกมาด้วยสายของกรรมส่งเข้ามาๆ ทั้งนั้น เมื่อส่งเข้ามานรกหลุมใด สุขที่ไหน ทุกข์ที่ไหน ภพใด ชาติใดมันก็ต้อง เป็นผู้เสวยอยู่ตามภพชาตินั้นๆ เช่น ส่งมาเป็นมนุษย์นี้ เราเองไม่รู้ว่าเราเกิด มาจากอะไร เราถึงได้มาเป็นมนุษย์

นี่ให้พระพุทธเจ้าทายปุ๊บทันทีเลยไม่ต้องนานละ นี่แต่ก่อนเธอสร้างอันนั้นๆ มาได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้คือ ความดีนั้นแหละ เรื่องความชั่วไม่มีหวัง ถ้า เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเศษมนุษย์ เศษส้วมเศษถานไปอีก ไม่ว่าจะเป็นส้วม เป็นถานยังเศษไปอีก นู่น เกิดเป็นอะไรๆ มาตามสายทั้งนั้น

เป็นมนุษย์เป็นสัตว์แต่ละประเภท มาตามสายของกรรมตัวเองที่สร้างมาๆ สร้างดีสร้างชั่ว กรรมของตัวเองสร้างมา ไม่มีผู้อื่นใดมาสร้างให้ แล้วใครจะมาลบล้างได้ นี่ละเป็นอย่างนั้น

ฟังซิสัตว์ตกนรกอยู่นั้น พระพุทธเจ้าทำนายซิ สัตว์ตัวนี้ตกนรกนี้เพราะทำกรรมอะไร ทำกรรมอันนั้นๆ บอกตลอดถึงตัวเหตุเลย ทำมา จากโน้นมาถึงนี้ ทำจากโน้นมาถึงนี้ๆ สัตว์นรกแต่ละรายๆ จะบอกสายทางเข้า มาตลอดๆ นะ

ใครทำดีทำชั่วขนาดไหน บรรดาสัตว์ทั่วโลกจะมีมาตามสายทางทั้งนั้นๆ สาย ทางบุญทางกรรม ทำชั่วก็มาตามสายทางชั่ว กรรมดีก็มาตามสายทางดี เหมือนนักโทษ นักโทษยังมีแน่นอนบ้างไม่แน่นอนบ้าง

แต่พอเป็นหลักฐานได้ก็คือว่า ที่เป็นนักโทษนี่เพราะอะไร เพราะเขาไปฉกไป ลักไปปล้น คนนี้ไปลักคนนี้ไปขโมย คนนี้ไปปล้น มันก็มีสายทางของมันเข้ามา บางคนบริสุทธิ์แต่สู้หลักฐานพยานเขาไม่ได้ เขาเอาหลักฐานพยานมาทับ ทั้งๆ ที่บริสุทธิ์เขาหาว่าไม่บริสุทธิ์ ติดคุกได้อยู่ แต่อันนี้ก็เป็นกรรมของผู้นี้อีก

เหตุแต่ก่อนที่มาเป็นคนบริสุทธิ์มาติดคุกนี้ คือแต่ก่อนไปแกล้งทำเขาอย่างนั้นๆ ให้เขาเป็นอย่างนั้นๆ แน่ะ มีอีกเข้าใจไหมล่ะ ไม่ใช่อยู่ๆ มานะ ที่แกล้งทำเขาที่บริสุทธิ์ให้เป็นคนมีโทษมีกรรม

แล้วกรรมนั้นตามมาจึงได้มาเป็นนักโทษทั้งที่ไม่ได้ขโมย แน่ะ มันมีสายกรรมมาอย่างนั้นตลอด สายกรรมจะไม่ปล่อยสำหรับผู้ทำเลย ใครทำสัตว์ทำ สัตว์ไม่รู้กรรมก็ตาม กรรมไม่เอียง กรรมทางดีทางชั่วเป็นกรรมมาตลอดในสายสัตว์สายบุคคล ตลอดไปเลย

อย่าพากันประมาทนะ ไม่พ้นจากสายกรรมติดตัวไปเอง ไม่ว่าไปทางดีทางชั่ว มาเกิดเป็นมนุษย์ไปสวรรค์ชั้นพรหมเพราะกรรมอะไรๆ นี้ กรรมของตัวเองนั้นแหละ ติดแนบไปเรื่อย ส่งไปด้วยๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน เพราะอะไรอีก แน่ะ ก็คือว่าสร้างบารมีคือความดีล้วนๆ ถึงขั้นเต็มที่แล้วหลุดพ้น แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ พากันจำเอาไว้

…หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน…









“วันเวลาที่เหลืออยู่”

.... อายุสังขารก็ล่วงไป ๆ วันเวลาก็หมดไป อายุสังขารก็ไปตามวันเวลา วันก็มากขึ้น ๆ มีแต่นับวันเวลาที่ล่วงไปที่ว่ามาก ว่าอายุได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ว่าวันเวลาข้างหน้าไม่รู้จะเหลืออยู่กี่วัน กี่ปี กี่เดือน สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องน่าคิดอยู่เหมือนกัน.

"หลวงปู่ศรี มหาวีโร"










คนเราจะทำอะไรก็แล้วแต่
จะให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
ไม่ใช่มีความสามารถอย่างเดียว
แต่คนๆ นั้นต้องมีบุญบารมีมาด้วย
ไม่ใช่เห็นเขาทำแล้วดังก็อยากทำเหมือนเขา

.. หลวงพ่อทองพูน กาญจโน ..









“ให้จำไว้…บุญบาปแม้เพียงเล็กน้อยประมาทไม่ได้ กรรมเมื่อตามมาถึงแล้ว มันแสดงผลทันที ช้าหรือเร็วทุกคนต้องได้รับผลของกรรมนั้น ไม่มีใครปัดเคราะห์สะเดาะกรรมให้กันได้

คนเราถ้าเห็นกรรมเก่าของตนเอง เหมือนดูหนังดูละคร มันจะบ่กล้าทำบาปใหม่ให้เผาผลาญใจของตนเองดอก เพราะพ่อแม่กิเลสปิดจิตบังใจเอาไว้ พวกลูกกำพร้าธรรม มันถึงบ่ฮู้ความจริงของบาปบุญคุณโทษ.”

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม










"...ของดีที่สุดในโลกคือจิตใจของพวกเราแต่ละดวงๆ นี่ของดีอยู่ตรงนี้ ทรัพย์สมบัติ ที่มีมากมีน้อย แก้ว แหวน เงิน ทอง นั้นเป็นของปลอม ของหลอกลวงอยู่ในโลก

ของจริงแท้ๆคือจิตใจของพวกเราอันบริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน ปราศจากโทษ ปราศจากกรรม ปราศจากเวร ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ของดีอยู่ตรงนี้ ถ้ามองข้ามความบริสุทธิ์ของจิตใจตัวเองแล้ว อย่าไปหา จ้างก็ไม่เห็น เพราะของดีวิเศษก็คือจิตใจของใครของมันนั้นเอง.."

คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron