วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 15:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"..ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอ
ให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต
ให้เป็นมรรคคือทางดำเนินไปของจิต
มันจึงจะเห็นผลของความดี
ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ
หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด
เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้
เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้
เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว
แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล.."

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ








เรื่อง "เมื่อกิเลสโจมตีว่า ธรรมหยาบโลน"

“ธรรมะไม่มีหยาบโลน ชำระสิ่งหยาบโลนต่างหาก สิ่งหยาบโลนมันเป็นพื้นอยู่กับสัตว์โลก ธรรมะออกมาชะล้างนี่เขาว่าธรรมะหยาบโลน กิเลสมันเป็นตัวสะอาดขึ้นมาแล้ว เข้าใจไหม นี่ละจึงรู้สึกว่า ทางโลกเขาว่า กิเลสไม่พอใจ แต่ธรรมะนั้นไม่ชำระสิ่งสกปรกจะชำระอะไร น้ำสะอาดต้องชำระสิ่งที่สกปรก ธรรมะสะอาดสุดยอดต้องชำระกิเลสที่มันตัวสกปรกสุดยอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกิริยาอย่างนั้นรับกัน ๆ ๆ ผลเป็นที่พึงพอใจโดยลำดับ เข้าใจไหม ธรรมจะต้องทำหน้าที่ชะล้างเรื่อยๆๆ ตรงไหนสกปรกมากยิ่งเทน้ำลงให้หนักมือ ๆ เพื่อความสะอาดของที่สกปรกนั้นให้สะอาดไป”

คติธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








เรื่อง "ทำให้สุดขุดให้ถึง มรรคผลยังไม่พ้นสมัย"

ทำให้สุด ขุดให้ถึง
มรรคผลยังไม่พ้นสมัย
คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธว่า
ในพื้นดินไม่มีน้ำ
แล้วไม่ยอมขุดบ่อ

เรื่องปฏิบัตินี้ อาตมาค้นคิดเหลือเกิน "เอาชีวิตเป็นเดิมพัน" เพราะเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรคผลนิพพานมีอยู่ แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องเกิดจากการปฏิบัติ กล้าหาญ กล้าฝึกหัด กล้าคิด กล้าทำ การทำนั้น ทำอย่างไร ท่านให้ฝืนใจตัวเอง เพราะใจถูกกิเลสเข้าพอกมาเต็มที่แล้ว มันยังไม่ได้ฝึกหัดดัดแปลง ยังไม่เป็นศีล ยังไม่เป็นธรรม ถ้าเราไม่ฝืนความรู้สึกของเราในเวลานี้ วันนี้ ความเป็นปุถุชน หรืออันธพาลนั้น มันก็ยังเป็นอยู่ในสันดานเราเรื่อยไป

คติธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท











"..เวลา 'รบรา' กับกิเลส ตอนต้นต้องแพ้กิเลสไปเรื่อย ๆ การแพ้ไม่เป็นไร เพราะกิเลสมันช่ำชองในวัฏวน หมุนจิตใจของสัตว์โลกให้ลงขั้นต่ำมานานแสนนาน แต่เราจะฟื้นจิตใจของเราให้ขึ้นสู่ความดีงามในเบื้องต้นนี้รู้สึกว่ายากลำบาก ประหนึ่งว่าจะไปไม่ไหว

เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรงจนจะท้อถอยน้อยใจ ตำหนิก็มาซ้ำให้กิเลสได้กำลังเพิ่มเข้าอีก ว่ามีนิสัยวาสนาน้อย ไม่สมควรแก่การปฏิบัติความดีงามทั้งหลาย ปล่อยไปตามบุญตามกรรมอย่างนี้ดีกว่า นี้เรียกว่ากิเลสได้ชัยชนะแล้ว และนับวันที่จะอ่อนปวกเปียกลงไป หาวันที่จะเจริญก้าวหน้าไม่ได้ ใครถ้าคิดเช่นนั้น.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี














เสียงธรรมะจากภูกุ้มข้าว

ภาวนา
คือการอบรมใจให้ฉลาด เที่ยงตรงต่อเหตุผล อรรถ ธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติ ตนเอง และ สิ่งทั้งหลายยึดการการ

ภาวนา เป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งซ่านให้ใจ อยู่ในเหตุผล อันเป็นทางแห่งความสงบสุข วิธี ภาวนา วิธีสังเกตตัวเอง สังเกต จิตทีนิสัยหลุกหลิกไม่อยู่เป็นปกติสุข

อานาปานสติ คือ กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออกด้วย คำภาวนาว่า “พุทโธ “ พยายามบังคับใจ

แท้จริง การภาวนา คือวิธี แก้ความยุ่งยาก ลำบากใจ จิตจำต้อง เป็นตัวการแบกหามโดยไม่คำนึงถึง ความหนักเบา

การทำงานทางกายยังมีเวลาพักผ่อน ส่วนการทำงานทางจิตใจนี้ ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย

เวลานอนหลับ เป็นเวลาพักงาน
“พักงานทางจิตไม่มี”...

ที่มา
หนังสือบันทึกธรรมะเล่ม๓
พ่อแม่ครูบาอาจารย์พระญาณวิสาลเถร
94ปีหลวงปู่หา สุภโร
เสียงธรรมะจากภูกุ้มข้าว










" ...มีคนไปถามพระพุทธเจ้า ทำไมคนจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนมีอายุยืน บางคนมีอายุสั้น พระพุทธเจ้าท่านตอบว่า คนที่อายุยืนเขาเคยรักษาศีลไว้แต่ก่อน ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ที่มีชีวิตให้เจ็บให้ตาย เขาเคยรักษาศีล เขาจึงมีอายุยืน คนที่อายุสั้นนั้นเป็นคนที่ไม่รักษาศีล ชอบไปทำลายชีวิตสัตว์ บาปอันนั้นเกิดมาในชาตินี้ จึงทำให้อายุสั้น คนเกิดมาทำไมจึงงดงาม คนเกิดมาทำไมจึงขี้ริ้วขี้ร้าย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตอบว่า คนที่เกิดมาแล้วงดงามนั้น เขาเคยรักษาศีลเหมือนกัน เขารักษากายของเขาดี วาจาของเขาดี ตลอดจนถึงว่ามีการรักษาจิตใจของเขา เกิดมาในชาตินี้เขาจึงมีร่างกายงดงาม เพราะอานิสงส์ของการรักษากาย รักษาวาจา รักษาใจของเขา คนที่เกิดมาขี้ริ้วขี้ร้าย เป็นคนโกรธง่ายแต่ชาติก่อนเป็นคนขี้โกรธ โกรธง่าย พอโกรธขึ้นมาหน้าบึ้ง หน้าเง้าหน้างอ ผลของการบึ้ง หน้าเง้าหน้างออันนั้นหล่ะ ตายจากชาตินั้นไปรับกรรม แล้วเกิดเป็นมนุษย์นี้ทำให้เป็นผู้ขี้ริ้วขี้ร้าย..."

โอวาทธรรมองค์หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร










"บุคคลประเภท...ขิปปาภิญญา"

เป็นบุคคลประเภท ที่บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีทุนเดิม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มากพอแล้ว

ท่านเหล่านี้ สั่งสมอบรม วาสนาบารมีธรรม ของตนมามาก จนเพียงพอแล้ว จึงบรรลุธรรมได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

เป็นวัวปากคอก พอพระพุทธเจ้า ท่านแสดงธรรมประเภทเปิดปากคอก ก็สามารถบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว

เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านเล็งพระญาณหยั่งทราบแล้วว่า บุคคลนั้นๆ มีภูมิจิตภูมิธรรรม ในขั้นที่จะบรรลุธรรมได้

ท่านจึงแสดงธรรม ในขั้นภูมิจิตภูมิธรรมนั้นๆ ในขั้นที่จะบรรลุอรหันต์เลยก็มี

ในบุคคลที่รองๆลงไป ในขั้นที่จะบรรลุพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี มีไปเป็นลำดับ เป็นขั้นๆตามภูมินิสัย วาสนาบารมี

คือ ฝ่ายเหตุที่ตนได้สร้างมาแล้ว จึงปรากฏผล คือ มรรคผลรองรับ ไม่ใช่ไม่เคยสร้างเหตุบารมีฝ่ายมรรคมา

แต่จะหวังเอาผล อย่างนี้ มันจึงเป็นไปไม่ได้
.

โอวาทธรรม : หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร...
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองแสง จ.อุดรธานี













เรื่อง “อานิสงส์แห่ง วิหารทาน”

หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดป่าศรีฐานใน จ.ยโสธร ได้บอกเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า

“ตอนท่านอดอาหารทำความเพียรอยู่ถึง ๒๘ วัน ท่านได้มรณภาพลงเป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ปรากฎว่าตัวท่านได้ขึ้นไปโผล่อยู่บนสวรรค์ เเละได้มองลงมาข้างล่าง ก็เห็นขุมนรกต่างๆ เหล่าสัตว์นรกกำลังเสวยวิบากกรรมที่ตนกระทำไว้ ท่านเล่าต่อว่าบนสวรรค์นั้นมีเหล่าเทพบุตรเเละเทพธิดาหล่อๆสวยๆงามๆทั้งนั้น เมื่อท่านขึ้นไปสวรรค์ชั้นหนึ่ง ท่านก็เห็นวิมารหลังหนึ่งใหญ่โตมาก สร้างด้วยทองคำ ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาต่างๆระยิบระยับ

หลวงปู่สรวงจึงเอยถามเทพบุตรว่า วิมานนี้เป็นของใคร เทพบุตรชี้มือลงมายังเมืองมนุษย์ ปรากฎว่าบริเวณนั้น คือหมู่บ้านขามเฒ่า จ.นครพนม เห็นชายผู้หนึ่งชื่อนายพรหมา รังษี เป็นกำนันตำบลนั้น เทพบุตรบอกว่าวิมานหลังนี้เป็นของชายผู้นี้ เมื่อหลวงปู่ถามว่าด้วยเหตุใดนายพรหมาจึงได้เป็นเจ้าของวิมานใหญ่โตเช่นนี้ ก็ได้รับคำอธิบายว่า สมัยที่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกธุดงค์มาถึงบ้านขามเฒ่า ได้มีประชาชนเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก

กำนันพรหมา รังษี ได้ชักชวนชาวบ้าน ช่วยกันสร้างศาลาปฎิบัติธรรมถวายท่าน ด้วยอานิสงค์ที่สร้างศาลาถวายหลวงปู่ศรี พระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ ทำให้กำนันพรมมาได้เป็นเจ้าของ “วิมาน” หลังนี้บนสวรรค์
.

ประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ
วัดป่าศรีฐานใน จ.ยโสธร










หลวงปู่มั่นสอนกรรมฐาน

ด้านภาวนาสอนให้เลือกเอาตามจริตนิสัยที่สะดวกของจิต เป็นที่สบายของจริตในกรรมฐานสี่สิบห้อง อันใดอันหนึ่งแล้วแต่สะดวก เมื่อบริกรรมและเพ่งอยู่พอก็ลงไปปรากฏรสชาติอันเดียวกันเช่น ขณิกสมาธิ รวมลงไปขณะหนึ่งแล้วถอนออกมา อุปจารสมาธิ รวมลงไปแล้วมักจะมีนิมิตต่างๆ เช่น แสงเดือน หรือดวงอาทิตย์ ดวงดาว ควันไฟ เมฆหมอก กงจักร ดอกบัว เทวบุตร เทวดา หรือร่างของตนปรากฏว่าพองขึ้นหรือเหี่ยวลง หรือปรากฏว่าเหาะเหินเดินอากาศโลดโผนต่างๆ นานา เหล่านี้เป็นต้น เรียกว่า อุปจารสมาธิทั้งนั้น “จาระ” แปลว่า ไปตามนิมิตแขกที่มาเกยมาพาด ภายหลังจากนิมิตเดิมที่เพ่งไว้ “ฌานัง” แปลว่า เพ่งอยู่ อุปจารสมาธินี้หมดกำลังก็ถอนออกมาเหมือนกัน อัปปนาสมาธิ เข้าไปละเอียดกว่านั้นอีก แต่ไม่มีนิมิตแขกมาเกยมาพาด เป็นแต่รู้ว่าจิตอยู่ ไม่วอกแวกไปทางใด และไม่สงสัยว่าขณะนี้จิตเราเป็นสมาธิหรือไม่หนอ ย่อมไม่สงสัยในขณะนั้น ไม่ปรากฏว่ามีกาย ปรากฏแต่ว่ามันรู้อยู่เท่านั้น ไม่ได้วิตกวิจารอันใดเลย แต่หมดกำลังก็ถอนออกมาอีก แต่นานกว่าอุปจาระสมาธิ เพราะความหยุดอยู่แน่วแน่นิ่งกว่ากัน ขณิกสมาธินี้ ภวังคบาทก็ว่าไป ขณิกภาวนาก็ว่า ขณิกฌานก็ว่า อุปจารสมาธินี้ ภวังคจลนะก็ว่า อุปจารภาวนาก็ว่า อุปจารฌานก็ว่า อัปปนาสมาธินี้ ภวังคปัจเฉทะก็ว่า อัปปนาภาวนาก็ว่า อัปปนาฌานก็ว่า

แต่การเรียกชื่อใส่ชื่อลือนามนั้นเป็นรสชาติอย่างหนึ่ง ส่วนรสชาติของสมาธิแต่ละชั้นก็เป็นรสชาติไปอย่างหนึ่ง คล้ายกันกับลิ้นจิ๊บแกงน้อยก็รู้จักรสน้อย จิ๊บมากก็รู้จักรสมาก แต่มิได้สอนให้ติดอยู่เพียงแค่นี้

เพราะสมาธิชั้นนี้อยู่ใต้อำนาจไตรลักษณ์ มีอนิจจังเป็นต้น แต่จัดเป็นฝ่ายเหตุ ฝ่ายมรรค ฝ่ายผลของเหตุผลของมรรค เป็นปุญญาภิสังขารทั้งนั้น เป็นของจริงขนาดไหนล่ะ จริงตามฐานะแต่ละขั้นแต่ละชั้น เช่น หนังก็จริงตามฐานะของหนัง เนื้อก็จริงตามฐานะของเนื้อ เอ็นก็จริงตามฐานะของเอ็น กระดูกก็จริงตามฐานะของกระดูกเป็นต้น จริงตามสมมติที่ใส่ชื่อลือนาม จริงตามปรมัตถ์ เสมอภาค คือเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกสลายไป ไม่เกรงขาม ไม่ไว้หน้าใครๆ ทั้งนั้น สติปัญญาชั้นนี้ก็ต้องพิจารณาให้แยบคาย ให้รู้ตามความเป็นจริงในชั้นนี้ลึกลงไปอีก มิฉะนั้นความหลงไม่มีหนทางจะร่อยหรอไป เพราะความหลงเป็นแม่ทัพของกิเลสชั้นที่หนึ่ง อันมีอำนาจเหนือกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น จึงบัญญัติว่า อวิชชา เพราะไม่ใช่วิชา แต่เป็น วิชชา ที่พาท่องเที่ยวเสวยสรรพทุกข์ เป็นวิชชาของกิเลสมาร เพราะกิเลสมารมีอำนาจเหนือมารใดๆ ทั้งสิ้น

ย้อนมาปรารภเรื่องกรรมฐานอีก หลวงปู่มั่นยืนยันว่า กรรมฐานสี่สิบห้องเป็นน้องอานาปานสติ อานาปานสติเป็นยอดมงกุฎของกรรมฐานทั้งหลายอยู่แล้ว ศาสนาอื่นๆ นอกจากพระพุทธศาสนาแล้วไม่ได้เอามาสั่งสอนให้หัดปฏิบัติกันเลย เพราะกรรมฐานอันนี้บริบูรณืพร้อมทั้งสติปัฏฐาน ๔ ไปในตัวด้วย และเป็นแม่เหล็กที่มีกำลังดึงกรรมฐานอื่นๆ ให้เข้ามาเป็นเมืองขึ้นของตัวได้ เช่น พระมหาอนันตคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ สีโล จาโค กายคตา แก่ เจ็บ ตาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้เป็นต้น ย่อมมีอยู่จริงอยู่พร้อมทุกลมออกเข้าแล้ว แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ย่อมจริง ย่อมมีอยู่ทุกลมออกเข้าแล้ว ไม่ต้องไปค้น ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่องทางอื่นก็ได้

ถ้าไม่หลงลมเข้าลมออกแล้ว โมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะรวมพลมาจากโลกหน่วยไหนล่ะ หลงลมออกเข้าก็หลงหนังเหมือนกัน ถ้าไม่หลงหนังก็ไม่หลงลมออกเข้าโดยนัยเดียวกัน ดูโลกก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ก็ดูโลก ดูสังขารก็ดูทุกข์ ดูทุกข์ก็ดูสังขาร พ้นโลกก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ก็พ้นโลก พ้นสังขารก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์ก็พ้นสังขาร มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้นไม่ผิด

รู้ลมออกเข้าในปัจจุบัน รู้ลมออกเข้าในอดีต รู้ลมออกเข้าในอนาคต รู้ผู้รู้ในปัจจุบัน รู้ผู้รู้ในอดีต รู้ผู้รู้ในอนาคต แล้วไม่ติดข้องอยู่ในผู้รู้ทั้งสามกาล ผู้นั้นก็ดับรอบแล้วในโลกทั้งสามด้วยในตัว อวิชชาและสังขารเป็นต้นก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลงก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง

กองทัพธรรมมีกำลังสมดุลด้วยสติปัญญา กองทัพอวิชชา ตัณหา อุปาทานเป็นต้น ย่อมแตกสลายไม่ต้องพูดไปหลายเรื่องหลายแบบก็ได้ พระอาทิตย์ส่องแสงจ้ามืดนั้นนาไม่ได้สั่งลาหายวับไป ณ ที่นั่น

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต









"เป็นโซดา หรือ เป็นโสดา"

ตั้งเเต่เด็ก...หลวงปู่ไม่เคยด่าใคร ว่าให้ใคร แม้จะไม่ชอบ ไม่พอใจ หลวงปู่ก็ไม่เคยว่าให้ใครเลย ไม่รู้ทำไม ไม่ชอบ

แม้จะปริปากว่า ก็ไม่เคย เป็นขันติบารมี แต่ชอบทำให้ทุกๆคนมีความสุข ตอนเด็กๆ จึงมีเพื่อนมาก

สมัยก่อน หลวงปู่ตื้อท่านเทศน์สอน อยู่วัดอโศการาม มีคุณหญิงคนหนึ่ง ชอบมาเล่าว่า ตัวเองภาวนาดี ได้เป็นถึงพระโสดาบัน มาเล่าทุกๆวัน จนหลวงปู่ตื้อ อยากลอง จึงลองด่าผู้หญิงคนนี้ดู

"เป็นโซดา หรือ เป็นโสดา"

เพียงพูดแค่นี้ ผู้หญิงคนนั้น เดือดปุดๆ เหมือนโซดาเลย นักปฎิบัติ ถ้าอยากรู้ว่าดีแค่ไหน ลองด่าดู ถ้ายังเดือดอยู่ ควบคุมความโกรธตัวเองไม่ได้เเล้ว...จะผ่านได้ยังไง

โอวาทธรรม : พระธรรมวิสุทธิญาณ วิ.(หลวงปู่ไพบูลย์ สุมงฺคโล)สำนักสงฆ์เทพนิมิตสุดเขตสยาม บ้านห้วยเม็ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย












...ปัญหาส่วนใหญ่ของเรื่องการปฏิบัติ
ว่าทำไม.."นั่งสมาธิแล้ว ใจไม่สงบสักที"

...คำตอบง่ายๆก็อยู่ที่ "สติ" นี่เอง
สติ..เป็นเหตุที่ให้เกิดสมาธิ
เกิดความสงบขึ้นมา

...ถ้าสติอ่อน "ความสงบก็อ่อน"
ถ้าสติแก่กล้า..ความสงบก็จะแก่กล้า.
....................................
.
ธรรมะบนเขา เล่ม3 หน้า101
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









"เม็ดทรายมีนับไม่ถ้วน จึงไม่มีค่า
เพชร มีน้อยและได้มาโดยอยาก จึงมีค่ามาก

ชีวิตมนุษย์เหมือนเพชร ไม่ใช่ทราย
อย่าพึงประมาทเวลาที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้
เหมือนแต่ละวินาทีเป็นแค่เม็ดทราย

ทุกวินาทีของชีวิตมนุษย์ ควรถือว่ามีค่ามากเหมือนเพชร"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ











#ชีวิตที่สมบูรณ์บริบูรณ์

การมีสามี มีภรรยา มีลูก มีทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่การมีชีวิตที่สมบูรณ์ดอก

ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ คือ การละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ลงทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แบบนี้ต่างหาก เรียกว่า ชีวิตที่สมบูรณ์บริบูรณ์


โอวาทธรรมของ...
ท่านพระอาจารย์เกียรติศักดิ์ (หนุ่ม) วรธัมโม
วัดป่าธัมมปาลวนาราม จ..สกลนคร









•#บุญจากศีลบุโบสถ

มันจะได้บุญอันเกิดจากการรักษาศีลอุโบสถ นี่มันก็ต้องเป็นผู้สำรวมกายวาจาใจของตนให้ตั้งอยู่ในความสงบ ไม่ให้ใจมันเพลิน

เมื่อใจมันเพลินแล้ว อาการกาย วาจา มันก็เพลินไปตามกัน พูดอะไรต่ออะไร ไม่มีจุดหมายปลายทาง

คิดได้อะไรก็ว่ากันไป ไอ้อย่างนี้มันก็ทำให้จิตใจสงบไม่ได้ ใจย่อมเลื่อนลอยออกไปแต่ข้างนอก เพ่งออกไปแต่เรื่องภายนอก ไม่ได้สงบอยู่ภายใน

คำว่าอุโบสถนั้นแปลว่า เข้าไปรักษา

เรียกว่าเข้าไปอยู่ภายใน ก็หมายความว่า เรามารักษาศีลอุโบสถ ก็อยู่ภายในขอบเขตของวัด บางคนมันก็อยู่แต่กายเฉยๆ อยู่ในวัด แต่ใจมันพุ่งออกไปนอกวัดนู้น มันคิดอะไรต่ออะไร ในอารมณ์ที่ค้างๆ อยู่ไม่ละไม่ถอนมันแต่อดีตล่วงมาแล้ว

ทางวาจาก็ดี เมื่อใจมันพุ่งไปภายนอก การพูดการจามันก็พุ่งออกไปหาแต่เรื่องภายนอก ไปหาเรื่องทำมาค้าขาย ทำไร่ทำนา การได้การเสีย คนนู้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เอาเรื่องผู้อื่นมาวิจารณ์กัน

ไอ้หมู่นี่ มันได้ชื่อว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้สาระประโยชน์อะไร

เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวัง อาการกายวาจาใจของตนให้ดี มันถึงจะได้บุญกุศลมาก

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ









#บารมี

บารมีคนเราก็ต่างกันนะ ต้องสร้างบารมี ไม่ใช่ไปอยากร่ำรวยเหมือนเขา แต่ไม่ได้สร้างทาน ไว้ เราต้องสร้างทาน ศีล ไว้ก่อน แล้วบารมีจะได้ค่อยเพิ่มพูน ท่านยกตัวอย่าง หลวงปู่ชอบสมัยที่ท่านติดตามหลวงปู่ชอบ ออกธุดงธ์ ท่าน กินลูกหว้า มีรสเปรี้ยว ส่วนหลวงปู่ชอบกินแล้วลูกหว้ากลับมีรสหวานอย่างน่าอัศจรรย์ เห็นไหมบารมีคนเราต่างกันนะ ก็เทวดาละสิทำให้หวาน ส่วนเรากินแล้ว มันเปรี้ยวนะ เพราะบารมียังไม่ถึงท่าน หรือจะเป็น เพราะเทวดานะ เห็นไหมบารมีหลวงปู่ชอบ

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองแสง จ.อุดรธานี











บ่ถึงพระรัตนตรัย
........................

"....พวกผมยาว ผมบ่ตัด ผมบ่สระบ่ล้าง
แล้วกะพวกไปย้อมสีนั้นสีนี้
โอ้ยยย..พระพุทธเจ้าบ่เคยสอนเด้อลูกหลาน


แล้วกะพวกไว้หนวดไว้เครา บาดนี้
พวกวิชาฤาษี พวกวิชาแพะ
หลงของหมู่นี้ บ่ถึงพระรัตนตรัยเด้

พระพุทธเจ้าเพิ่นจั่งให้พระสงฆ์โกนถิ้มเบิด
มันเป็นภาระ สิพาหลง หลงว่าดีว่างาม
หลงมูตร หลงคูถ หลงของสกปรก

เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
ของสกปรก ต้องชำระล้าง
บ่ตัด บ่ทำความสะอาด มันกะเน่าเหม็น
พระพุทธเจ้าเพิ่นสอนไว้

อันนี้โตละมาจ่งไว้บาดนี้ ผมกะบ่ตัด
บ่สระบ่ตัดเฮากะเห็นตะพวกฤาษีท่อนั้นแหล่ว
ผมบ่สระจักเทีย โตว่ามันสิเหม็นปานใด๋ เอ๋า..
มันสิสกปรกปานใด๋ สิก้าย่างไก้ยุติ คึดเบิ่ง

แต่ลางคนมันกะเป็นกรรมเด้
ตัดผมบ่ได้ คันตัดผมมันสิบ่สบายโลด
เลยบ่ได้ตัด จ่งยาวๆ ม้วนไว้อุ้มลุ้มอยู่
โอ้ย...เทิงกุย เทิงเหม็น บาดนี้
บ่เป็นตาเบิ่ง ย้อนเป็นกรรมเป็นเวร
เขาสาปแช่งไว้ ให้มันสกปรกอยู่นั้นล่ะ

เล็บดำๆ ยาวๆ โตสิก้าให้จกข้าวนำอยู่ติ

คางเครา คางเเพะ หมู่นี้ หัวย้อมสีหมู่นี้

ของหมู่นี้มันสิพาหลงเด้ลูกหลานเอ๋ย..
มันสิบ่ถึงศาสนา มันสิบ่ฮอดพระรัตนตรัยเด้
คันสิมาหลงแนวหมู่นี้อยู่ กลับเมือนี้
ไปจัดการออกสาเด้อ เฮาเป็นห่วงเด้
เฮาเลยอยากเตือนไว้..."

พระอาจารย์โสภา สมโณ
วัดป่าแสงธรรมวังเขาเขียว จ.นครราชสีมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร