วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 09:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2020, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


" ..อันที่จริงแล้ว จิตใจนี่แหล่ะคือธรรมแท้ คำว่าธรรม คือจิตใจที่มันหมดจากความมืดมนอนธการ หมดจากมลทิน คือกิเลสต่างๆ เรียกว่าจิตใจเป็นธรรม ถ้าจิตใจสกปรก เพิ่นบ่เรียกว่าธรรม เพิ่นเรียกว่าจิตสกปรก ใจสกปรก จิตกิเลส ใจกิเลส.."

โอวาทธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร








เรื่อง "พลังแห่งศีล อำนาจแห่งกรรม
มีคนไปถามพระพุทธเจ้า ทำไมคนจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนมีอายุยืน บางคนมีอายุสั้น

พระพุทธเจ้าท่านตอบว่า

คนที่อายุยืนเขาเคยรักษาศีลไว้แต่ก่อน ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ที่มีชีวิตให้เจ็บให้ตาย เขาเคยรักษาศีล เขาจึงมีอายุยืน คนที่อายุสั้นนั้นเป็นคนที่ไม่รักษาศีล ชอบไปทำลายชีวิตสัตว์ บาปอันนั้น(กรรม)เกิดมาในชาตินี้ จึงทำให้อายุสั้น คนเกิดมาทำไมจึงงดงาม คนเกิดมาทำไมจึงขี้ริ้วขี้ร้าย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตอบว่า คนที่เกิดมาแล้วงดงามนั้น เขาเคยรักษาศีลเหมือนกัน เขารักษากายของเขาดี วาจาของเขาดี ตลอดจนถึงว่ามีการรักษาจิตใจของเขา เกิดมาในชาตินี้เขาจึงมีร่างกายงดงาม เพราะอานิสงส์ของการรักษากาย รักษาวาจา รักษาใจของเขา คนที่เกิดมาขี้ริ้วขี้ร้าย เป็นคนโกรธง่ายแต่ชาติก่อนเป็นคนขี้โกรธ โกรธง่าย พอโกรธขึ้นมาหน้าบึ้ง หน้าเง้าหน้างอ ผลของการบึ้ง หน้าเง้าหน้างอ (กรรม)อันนั้นล่ะ ตายจากชาตินั้นไปรับกรรม แล้วเกิดเป็นมนุษย์นี้ทำให้เป็นผู้ขี้ริ้วขี้ร้าย

โอวาทธรรมหลวงปู่แบน ธนากโร









ให้พากันภาวนา ดูใจตัวเอง อย่างไปหลง อย่าไปตื่นกับของภายนอก ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าใจเราหรอก

ทำบุญ ทำทานก็ทำให้มันเป็นประโยชน์ เงิน ทองให้เก็บไว้ให้พ่อ แม่ ปู่ย่า ตายายได้ใช้เสียก่อน ก่อนจะสละมาทำบุญ การทำบุญมันก็มีหลายอย่างหลายประการ ไม่จำเป็นต้องเสียเงิน เสียทองหรอก

รักษาศีลก็ได้บุญเหมือนกัน ภาวนาก็ได้บุญเหมือนกัน เจตนาดี คิดดี ทำดี พูดดี ประพฤติปฏิบัติดีก็บุญทั้งนั้น ถ้าจิตใจเราน้อมนำมาทางบุญกุศล

บางคนไม่ได้เข้าวัด แต่เขารักษาศีล ภาวนา อยู่บ้านก็ได้เหมือนกัน บางคนคิดแต่ว่า ทำบุญทำอยู่วัด ทำกับพระ เท่านั้น อันนี้ก็ไม่ใช่อีกละ ทำอยู่บ้านก็ได้ ดูแล พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ผู้มีพระคุณก็บุญเหมือนกัน

บางคนหลงแต่กับพระอรหันต์ วิ่งไปทำวัดนั้น วัดนี้ หาความสงบไม่เจอ มันได้อะไร ได้ความวุ่นวายใจ ได้ความปรุงแต่ง พระอรหันต์มันก็เกิดจากใจเรานี้เอง เกิดจากการประพฤติปฏิบัติเอง ไม่ได้เกิดจากคำพูด บางคนนั่งภาวนาหาผี หาพญานาค หาเลข หาหวย หาเอาแต่ความบ้าจะทำไป

พระพุทธเจ้าพานั่งสมาธิ ภาวนาดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง พิจารณาอสุภะกรรมฐาน พิจารณาใจตัวเอง

ไม่ได้พานั่งภาวนาวิ่งหาวัดนั้นดี วัดนี้ดี ไม่ได้ภาวนาปรุงแต่งแต่ความคิดตัวเอง ท่านภาวนาดูตัวเอง แล้วลองพิจารณาดู ท่านดีอย่างไง ดีอยู่ไหน ดีตรงคำพูดหรือดีกับการประพฤติปฏิบัติ

ถ้าเรารู้ว่าดีแบบไหน ทำไมเราไม่ทำตามท่านละ บางคนไปวัดนั้น วัดนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์สั่งสอนมาดี แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติเอา มันได้อะไรละ

ลองพากันพิจารณาดู วัตถุมงคลที่ดีที่สุดก็คือใจเราเอง

หลวงปู่ชนะ อุตฺตมลาโภ








#ที่สุดคือใจ

#ให้พากันพิจารณาให้เข้าใจ #ความสุข #ความสงบ #ความดีงาม #และความบริสุทธิ์ทั้งหลาย มันเกิดจากใจนี่เอง ไม่ต้องวิ่งวุ่นไปหาที่ไหนหรอก เอากายเอาใจนี่เองสร้างภาวนาสร้างบุญ สร้างดีให้เกิดให้มี อย่าพากันไปหลงทำบุญทำทานมากมายจนขาดปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง จนทำให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน อันนี้ไม่ใช่ความหมายของบุญแน่นอน เพราะใจมันทุกข์ มันกังวล ทุกข์เพราะทำบุญกับพระกับวัดไปจนหมดตัว จนครอบครัวพ่อแม่ญาติพี่น้อง ไม่มีจะกินจะใช้ นี่เรียกว่าหลงบุญ ส่วนคนรู้บุญเขาจะทำเท่าที่มีไม่ทำให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน เอากายเอาใจนี่แหล่ะรักษาศีล ให้มีสติรักษาใจอยู่ตลอดเรียกว่า การภาวนา นี่บุญสูงสุดมันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ใช้เงินใช้ทองสักสลึงเลย มันได้มากกว่าใช้เงินล้านเงินแสนทำบุญเป็นไหนๆ อย่าไปเข้าใจว่าบุญจะอยู่ที่พระที่วัดอย่างเดียว การปฎิบัติ รักษาศีลอยู่ที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นเพราะกายใจอยู่กับเราตลอดไปกับเราในทุกที่ ให้เอาบุญกับกายกับจิตของตนก่อนเถิด ก่อนที่มันจะแตกดับทำลายไป ให้เป็นบุญที่เกิดจากการประพฤติปฎิบัติให้เกิดให้มีขึ้นภายในจิตใจเรานี้ นี่จึงเรียกว่า บุญเกิดที่ใจ ไม่ใช่เกิดจากการพูดดี หรือเกิดจากการทำบุญด้วยเงินทองมากๆ ให้พากันเข้าใจและทำให้ถูก จะได้ไม่เป็นทุกข์เป็นโทษเพราะ ทำบุญหลงบุญ

พระอาจารย์รังสรรค์
10มกราคม2563








"..การให้ด้วยความเต็มใจนั้นมีอานิสงส์มหาศาล ของที่ให้แม้จะน้อย แต่ให้ด้วยความเต็มใจก็มีอานิสงส์มากกว่าเงินจำนวนมากแต่ให้เพราะอยากได้หน้าหรือให้แต่เสียดาย เราเหลือกินเหลือใช้ก็ให้ไปเถอะ เลี้ยงคน ไม่ทำให้จนลงหรอก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของโลก ตายไปเอาไปไม่ได้ ความมีน้ำใจเป็นสิ่งสำคัญ เราอยากให้ใครดีกับเรา เราต้องดีกับเขาก่อน ทำอะไรด้วยความตั้งใจที่ดี ความบริสุทธิ์ใจ.."

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์
หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล
วัดอนาลโยทิพยาราม อ.พะเยา จ.พะเยา







อุปมาเปรียบชีวิตมนุษย์ ๗ ประการ

ชีวิตของมนุษย์เมื่อเกิดมาแล้วก็ย่อมต้องตาย เหมือนสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
เมื่อมีการเกิดแล้ว ก็ย่อมมีการตายติดตามมาเป็นของคู่กัน
ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
การตายจึงเป็นสภาพที่ใครๆ ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า สาเหตุหรือปัจจัยแห่งการเกิด คือ อวิชชา
และปัจจัยให้เกิดการตาย ก็คือ การเกิด นั่นเอง
เพราะการเกิดเป็นบทเริ่มต้นแห่งชีวิต และในเวลาเดียวกัน การเกิดก็นำไปสู่ความตาย
โดยผ่านความแก่ ความเจ็บ ซึ่งเป็นปัจจยาการปรากฏต่อเนื่องกันไปโดยไม่ขาดตอนของชีวิต

ในอังคุตรนิกาย ท่านได้อุปมาเปรียบชีวิตมนุษย์ไว้ ๗ ประการ
ซึ่งแสดงให้เห็นความจริงของชีวิต ที่จะต้องเกิด-ดับ เกิดมาแล้วย่อมต้องตาย
ช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่นั้นสั้นนัก และเป็นของเล็กน้อย
นิดหน่อยในปัจจยาการที่ชีวิตจะต้องผ่านวัฏวนต่อไป

๑. เปรียบด้วยน้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่อพระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาแล้ว
น้ำค้างย่อมแห้งหายไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่อาจตั้งอยู่ได้นาน
ชีวิตมนุษย์ก็เปรียบเช่นเดียวกับหยาดน้ำค้าง เป็นชีวิตที่แสนสั้น
มีประมาณนิดหน่อย เปลี่ยนแปลงเร็ว มีความทุกข์มาก คับแค้นมาก

๒. เปรียบด้วยฟองน้ำเมื่อฝนตกหนักหนาเม็ด ฟองน้ำที่เกิดขึ้นจากหยาดฝน
ย่อมตั้งขึ้น แต่ก็แตกกระจายไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตก็เปรียบเป็นเช่นฟองน้ำ
ไม่อาจตั้งอยู่ได้นาน เป็นชีวิตที่สั้น แตกดับง่าย
มีประมาณนิดหน่อย มีความทุกข์มาก คับแค้นมาก

๓. เปรียบด้วยรอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ เมื่อเราขีดไม้ลงไปในน้ำ
รอยนั้นย่อมกลับเข้ามาหากันอย่างรวดเร็วในพริบตา ไม่ตั้งอยู่นาน
เฉกเช่นชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย อุปมาเปรียบได้เหมือนกับรอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำฉะนั้น

๔. เปรียบด้วยน้ำที่ไหลลงภูเขา น้ำที่ไหลลงจากภูเขา ย่อมมีกระแสเชี่ยวกราก
พัดสรรพสิ่งที่พอจะพัดพาไปได้ ไม่มีเวลาแม้แต่ขณะจิตเดียวที่กระแสน้ำจากภูเขาจะหยุดชะงัก
มีแต่จะไหลเรื่อยลงไปแต่ถ่ายเดียวไม่เคยหยุดยั้ง เหมือนชีวิตมนุษย์ที่จะล่วงไปทุกนาที
เช่นเดียวกับน้ำที่ไหลลงจากภูเขาฉะนั้น

๕. เปรียบเหมือนน้ำลายที่ถูกถ่มไป เมื่อบุรุษผู้มีกำลังอมก้อนน้ำลายไว้ที่ปลายลิ้น
ความที่มีแรงกำลัง ทำให้เขาสามารถถ่มน้ำลายไปได้โดยง่าย
ชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย ก็มีอุปมาเหมือนก้อนน้ำลายที่จะพึงถ่มไปได้โดยง่าย เพราะตายง่ายดับง่าย

๖. เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่ถูกไฟเผาอยู่ตลอด ชิ้นเนื้อที่ใส่ลงนาบในกระทะเหล็ก
ถูกไฟเผาลนอยู่ตลอดวัน ย่อมจะถึงความย่อยยับแตกทำลายไปโดยเร็ว
ไม่อาจจะตั้งอยู่ได้นาน ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย
จึงมีอุปมาเปรียบเหมือนกับเนื้อที่ถูกไฟเผาอยู่ตลอดวันตลอดคืนเช่นกัน

๗. เปรียบด้วยแม่โคที่ถูกเขาต้อนไปสู่ที่ฆ่า แม่โคที่จะถูกเชือด
ย่อมถูกปฏักนายโคบาลไล่ต้อนให้ก้าวเท้าเดินเข้าไปสู่ที่ฆ่า ใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ
ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย ก็มีอุปมาเหมือนแม่โคที่ถูกเขาต้อนไปสู่ที่ฆ่าฉันนั้น

จาก..หนังสือฐานสโมบูชา หน้า ๒๓๘-๒๓๙
คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต ผู้เขียนและเรียบเรียง










...เราอย่าประมาทตัวเราเอง
อย่าไปคิดว่าเราเป็นฆราวาส
เราไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพานได้

ในสมัยพระพุทธกาลนี้
มีฆราวาสที่ไม่ใช่นักบวช
บรรลุมรรค ผล นิพพาน กันเป็นจำนวนมาก

เพราะสมัยก่อน
เขาไม่ได้บ้าสร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์
สร้างอะไรกันต่างๆเหมือนสมัยนี้

"เขาบ้าทำบุญให้ทาน
เขาบ้ารักษาศีล เขาบ้าภาวนากัน"

จึงปรากฎเป็นพระอริยสงฆ์สาวกขึ้นมา
เป็นจำนวนมาก
"อยู่ที่เหตุนี่เอง..อยู่ที่การกระทำ"
.............................................
.
หนังสือธรรมะบนเขาเล่ม4
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







..... " นักบวชต้องทำอะไร พอเสร็จกิจวัตรแล้วทันทีต้องไปหาทางความสงบ เดินจงกรมภาวนาอยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านได้มาสั่งสอนพวกเราเป็นอย่างนั้นนะ ตั้งแต่พระพุทธเจ้านั่นแหละเป็นต้นมา ทั้งศาสนามีแต่ฝึกความสงบนะ ขอให้เร่งฝึก แต่ครั้งพุทธกาลพอเข้าพรรษานี้ก็ตั้งใจกันแล้ว พากันตั้งสัจจะผูกมัดจิตใจเอาไว้ คิดว่าจะให้ได้ตรัสรู้ก่อนออกพรรษาอย่างนั้นอย่างนี้นี่แหละ​ ครูบาอาจารย์ท่านบอก"

" ในเมื่อมีแต่กิเลสเต็มหัวใจอยู่อย่างนั้น​ แล้วจะเอาธรรมเข้ามาอยู่ในใจอย่างไร ในเมื่อไม่มีที่อยู่ในใจเลย ก็เลยไม่เห็น ก็เลยเอาไปคืน​ สักหน่อยก็ดูถูกศาสนาว่าไม่จริง หัวใจตัวเองรู้ไม่จริง​ ก็ยังไม่คำนึงถึงอีก ในเมื่อหัวใจของตัวเองบกพร่องแล้ว จะเกิดได้อย่างไร ความเพียรก็ไม่ทำ เดินจงกรมภาวนาก็ไม่ทำ ทางที่จะสังหารกิเลสออกจากใจ​มีแต่เดินจงกรมกับภาวนาเท่านั้น​ "

" พระพุทธเจ้าท่านพาทำมาแล้ว ดูซิก่อนท่านได้ตรัสรู้ ท่านอธิษฐาน แม่อัตภาพร่างกายจะแตกสลายเป็นดินเป็นน้ำไปก็จะไม่ลุก แม่เนื้อหนังมังสังเลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามจะไม่ยอมลุก ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ ท่านอธิษฐานขนาดนั้นนะ ท่านทำอย่างนั้นนะ ต้นศาสนาเป็นอย่างนั้น พวกเรานี้มีแต่มาพาล้างพากินอยู่อย่างนั้น แล้วจะเห็นได้อย่างไรไม่ประกอบความเพียร... "

หลวงปู่ลี​ กุสลธโร














#ความจริงธรรมเป็นของจำเป็น

“ธรรมะโดยพยัญชนะ แปลว่า ทรงผู้ปฏิบัติตามไว้มิให้ตกไปในที่ชั่ว ว่าโดยอรรถได้แก่ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนเพื่อให้เว้นความชั่ว แล้วประพฤติดีปฏิบัติชอบให้เกิดผลดี คือความสุขและความเจริญทั้งแก่ตนทั้งแก่คนอื่น ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนกันและกัน ไม่เป็นไปเพื่อประหัตประหารล้างผลาญกัน เป็นไปเพื่อความรักหวังดีต่อกันเห็นอกเห็นใจกันดี
.
เมื่อมากล่าวถึงธรรมแล้ว คนโดยมากมักจะเข้าใจผิดเห็นว่าธรรมะนั้นเป็นของจำเป็นสำหรับคนแก่เฒ่าเข้าวัยชรา คนแก่เท่านั้นจึงควรหันเข้าหาธรรมะ ถ้ายังหนุ่มสาวยังไม่ควรหันเข้าหาธรรมะ คนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมักสำคัญผิดไปว่าธรรมะเป็นของคร่ำครึล้าสมัยไร้แก่นสารใช้การไม่ได้ และไม่มีคุณประโยชน์แก่ตนเลย
.
แต่ความจริงธรรมเป็นของจำเป็นแท้แก่คนทุกชาติชั้นวรรณะทุกเพศทุกวัยแก่หมู่คณะแก่ครอบครัว ตลอดถึงประเทศชาติในโลกนี้ ถ้าขาดธรรมเสียแล้วจะหาความร่มเย็นสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองมิได้เลย
.
ข้อนี้จะเห็นได้ว่านับจำเดิมแต่เริ่มปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของมารดา จนตราบถึงวันตายถ้าเราไม่ได้ธรรมะจากมารดาบิดาและคนอื่นบ้างแล้วเราจะไม่มีชีวิตอยู่ได้หรือมีชีวิตอยู่ก็ยากไม่มีความเจริญ กล่าวคือ เมื่อเริ่มปฏิสนธิขึ้นในครรภ์มารดา ถ้ามารดาขาดธรรมหรือขาดความเมตตากรุณา เห็นว่าการที่ทารกเกิดมาในครรภ์เป็นเหตุให้ตนต้องอับอายขายหน้า ท่านก็อาจจะไปจ้างแพทย์รีดหรือฉีดยาให้แท้งหรือตาย หรือเมื่อคลอดออกมาแล้วนำไปทิ้งหรือขุดหลุมฝังเสีย ไม่บำรุงเลี้ยงดู เราก็คงไม่มีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ การที่เราทุกคนไม่ตาย มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมารดาบิดามีธรรม คือมีเมตตากรุณาต่อบุตร อุปการะบำรุงเลี้ยงดู ในครอบครัวสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกัน ถ้าขาดธรรมแล้วก็อยู่ด้วยกันไม่ยืด ไม่มีความสงบสุข เช่นสามีขาดธรรมะคือความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไม่เห็นอกเห็นใจกัน ลืมคำมั่นสัญญาที่ว่ากันไว้ ประพฤตินอกใจภรรยา ไปมีภรรยาลับ ภรรยาเก็บ ภรรยาซุกซ่อน ไว้ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ก็เป็นเหตุให้ภรรยาไม่พอใจเสียอกเสียใจตัดพ้อต่อว่ากัน ทะเลาะวิวาทบาดหมางกันหรือร้างหย่าเลิกกันก็มี
.
ส่วนภรรยาถ้าขาดธรรมะคือความซื่อตรง ประพฤตินอกใจ ไม่ปฏิบัติทะนุถนอมใจสามีแอบไปมีชู้ ก็เป็นเหตุให้สามีเสียใจ ก็ทำให้โกรธแค้นขุ่นเคืองทะเลาะวิวาทกัน ในที่สุดก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ต้องแยกทางกันเดิน
.
นี้แสดงให้เห็นว่า แม้ในครอบครัวก็จำต้องมีธรรมะ ถ้าขาดธรรมะแล้วก็ไม่มีความร่มเย็นสงบสุข ชีวิตไม่ราบรื่นมีแต่ความขมขื่นเดือดร้อน ถ้าสามีภรรยาต่างคนมีสันโดษและยึดมั่นสันโดษด้วยกัน เช่นสามีที่มีภรรยาแล้วก็ยินดีในภรรยาของตน ไม่ประพฤตินอกใจ ไม่ยินดีในหญิงอื่นหรือภรรยาที่มีสามีแล้ว ก็ยินดีอยู่กับสามีของตน ไม่ประพฤตินอกใจ ไม่ไปยินดีในชายอื่น เมื่อไม่ประพฤตินอกใจกันแล้ว ความร่มเย็นสงบสุขในครอบครัวก็เกิดมี
.
เมื่อทุกครอบครัวมีความร่มเย็นสงบสุขเช่นนี้ ก็เป็นผลดีที่ทุกคนปรารถนาต่อกัน สันโดษนี้แหละจะบันดาลให้ครอบครัวมีความร่มเย็นสงบสุข เพราะเหตุนี้สันโดษจึงมีคุณประโยชน์แก่ครอบครัว สันโดษเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเองแก่ชุมนุมชนแก่ครอบครัวแก่ประเทศชาติเช่นนี้เมื่อเกิดมีก็เป็นเครื่องบำบัดโรคคือความโลภได้อีก คนที่มีสันโดษย่อมมีความพอใจในของ ๆ ตนไม่ละเมิดล่วงเกินแย่งชิงกรรมสิทธิ์ทรัพย์ของผู้อื่นและบำบัดโรคได้คือความโลภให้สงบระงับ”
.
ลิขิตธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
คัดจากหนังสือ “ธรรมลี เศรษฐีธรรม” หลวงปู่ลี กุสลธโร
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเศรษฐีธรรม โดยพระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร









#ความรู้สึกของจิต

"......ทีนี้อาตมาจะอธิบายเรื่องความรู้สึกอย่างนี้ให้ฟังเป็นลำดับ เช่นความรู้สึกของสัตว์เดรัจฉาน ขอโทษเถอะนะ อย่าว่าอาตมาเอาสัตว์เดรัจฉานมาเทียบเลย เมื่อมันมีความรู้สึกอย่างไรนั้น มันไม่ได้ทบทวน และไม่มีกำลังของสติและปัญญา ซึ่งเป็นกำลังตปธรรมอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมานี้มันไม่มี เพราะฉะนั้น ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้น เขาไม่มีกำลังอะไรทบทวน เมื่อจะเป็นไปอย่างไรเขาก็เป็นไปตามความรู้สึกของเขา นี่เป็นส่วนมากของสัตว์เดรัจฉาน

ทีนี้ขึ้นมาถึงมนุษย์เรา หากมนุษย์ใดมีความรู้สึกแล้ว ปล่อยให้ความรู้สึกอันนั้นแหละ เข็นเอาอาการทั้งหมดให้เป็นไปตามอำนาจของมันได้ อันนี้เรียกว่า สัตว์มนุษย์ เพราะมีสัตว์เดรัจฉานเจืออยู่

สำหรับความรู้สึกของโลกียชนนี่ จะมีการเข้าข้างกิเลสบ้าง หรือบางทีก็มีการทบทวนบ้าง แต่บางทีเมื่อรุนแรงก็ไม่มีความสามารถจะยับยั้งไว้ได้ หรือบางทีตั้งใจไว้ดีแล้ว ว่าจะไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองตั้งใจไว้แล้ว แต่แล้วก็ปล่อย อันนี้ท่านเรียกว่าปุถุชนหรือโลกียชน

ทีนี้สำหรับกัลยาณปุถุชนไม่เป็นอย่างนั้น คือว่าตั้งใจจะเอาชัยชนะมันอยู่เสมอ ๆ พยามยามอยู่เสมอ ไม่ยอมเอนเอียงเข้าข้างมัน แต่เมื่อเหตุการณ์มันรุนแรงมันก็สู้ไม่ไหว มันรุดเข้าไปต่อสู้กับเหตุการณ์เลย ในเมื่อหล่นไปแล้วก็รู้สึกมีความละอายภายในจิตใจอันนี้ท่านเรียกว่า กัลยาณปุถุชน

ทีนี้ เมื่อผู้ใดมีความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกของจิตจะรุนแรงก็ตาม ไม่รุนแรงก็ตาม แต่สามารถบังคับอาการทั้งสองของกายและวาจาไม่ให้เป็นไปตามความรู้สึกได้อยู่ ตลอดเวลา พร้อมทั้งความรู้สึกของจิตที่มันรุนแรงอยู่ก็สามารถบังคับให้เบาลงได้ แต่ไม่ขาดสูญ..คือมีอุบายวิธีหรือกำลังทำให้มันตกด้วยอำนาจตปธรรมนั้นจริง อยู่ แต่ไม่ทันท่วงที ไม่เก่งที่สุด แต่สามารถบังคับได้ จนเป็นเหตุไม่ให้คนนั้นผูกโกรธเลยเป็นอันขาด ไม่มีทางผูกโกรธได้ มีแต่ความรู้สึก วูบขึ้นก็ตก มีความรู้สึกวูบขึ้นก็เอากำลังเข้าไปยับยั้งตก ความรู้สึกวูบขึ้นเอาไปยับยั้งก็ตก อยู่ในลักษณะนี้แล เรียกว่าโสดาบันบุคคล

เพราะฉะนั้นจะย้อนมาอธิบายเปรียบเทียบเหมือน เหมือนน้ำกะฉอกอยู่ในขันนะ อันหนึ่งมันกะฉอกกระเด็นออกข้างนอก หมายถึงความรู้สึกของปุถุชน ถ้ามันออกแรงนะ ถ้าออกเบาเขาเรียกว่ากัลยาณปุถุชน ถ้ามันกระเพื่อมหรือมันดิ้นอยู่ จริงอยู่ แต่ไม่กระเด็นออก เป็นลักษณะของโสดาปัตติมรรค ทีนี้ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นบังคับได้เลย บังคับได้ไม่ให้รุนแรง และไม่ให้มันหยุดเอง อะไรในทำนองนี้ เป็นโสดาปัตติผล นี่ อยู่ในทำนองนี้ ถ้าไวไฟจนถึงขนาดที่เรียกว่ามีความรู้เป็นเอกรัตติงของจิต สว่าง แจ่ม เหมือนกันกับเรามองไฟอย่างนี้ เราไม่ต้องตั้งปัญหาถามตัวเองหรอกว่าเราจับแล้วไฟมันจะไหม้มือเราไหม ไม่ต้อง สติมันเป็นชวนะ แพล็บ รู้เลย ไม่สามารถจะจับไฟได้ ฉันใด อารมณ์ที่จะนำพาไปสู่ความเศร้าหมอง อารมณ์ที่จะนำพาไปสู่ความดิ้นรน หรือเป็นไปเพื่อความทุกข์นั้นรู้แพล็บ อ่านตลอดหัว ตลอดหางชัชวาล อยู่ตลอดเวลา อันนั้นเป็นลักษณะของอรหันตบุคคล...."

โอวาสธรรม : พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย
พิมพ์คัดจากหนังสือ ฐิตวิริยาจารย์เทศนา (ฉบับย่อ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร