วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 15:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2020, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...จิตของปุถุชนก็เหมือนกับเด็ก
มองไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ในสิ่งต่างๆ ที่อยากได้อยากสัมผัส
พอไปเล่นกับมัน
ก็เหมือนกับเด็กที่ไปเล่นกับลูกระเบิด

...แล้วผลเป็นอย่างไร มีใครบ้างที่บอกว่า
"ไม่มีความทุกข์" มีไหมในโลกนี้
ไม่มีความกังวล ไม่มีความห่วงใย
ไม่มีความเสียอกเสียใจ อาลัยอาวรณ์

...สิ่งเหล่านี้ เกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น
คือ..ความหลง

...ศาสนาพุทธจึงเกิดขึ้นมาเพื่อ
"แก้ความหลง" นี่เอง
คำว่าพุทธ คือ..ผู้รู้
รู้ความจริงของ
"ความสุข และความทุกข์ของ ใจ".
........................................
.
จุลธรรมนำใจ8 กัณฑ์ 297
ธรรมะบนเขา 20/2/2550
พระอาจาย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










#มารดา_บิดา​ เป็นผู้มีเมตตาจิต
ต่อบุตรธิดา จะนับจะประมาณมิได้

#มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ
รูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิม

#ทรัพย์สินเงินทอง​ อันเป็น
ของภายนอก​ ก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง

#ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้ว​ ก็ทำอะไรไม่ได้
ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุนั้น
ตัวของเราทั้งตัวนี้​ เป็น “มูลมรดก”
ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณของท่าน
จะนับจะประมาณมิได้เลย.."

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต













พระธรรมเทศนา ""#วาเลนไทน์รักกันให้แต่พอดี..""
"รักให้พอดี มองกันที่เหตุ ดูกันที่ผล"
ความว่า “ รัก ” ความนี้
ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน ไม่มีความรัก ความเสน่หา
ไม่มีความเอื้ออาทรต่อกัน ไม่มีเยื่อใยต่อกัน
โลกทั้งโลกนี้ก็เหมือนกับตอไม้
หรือว่าสิ่งที่ไร้จิตวิญญาณ

แต่ว่าความรัก ความนี้ ถ้ามันเกินไป
ก็ทำให้โลกทั้งโลกเดือดร้อนอีกเหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไปรักเขาจนเกินไป
ถ้าผิดหวังในความรัก
ก็ฆ่าตนเองตายมากต่อมากเหมือนกัน

รักตัวนี้มีทั้งคุณ มีทั้งโทษ
ถ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็เกิดประโยชน์
ถ้าใช้ให้เกิดโทษ ก็เกิดโทษมหันต์เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นในหลักธรรมคำสอนของพุทธะ
คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางในความรัก
ในการอยู่ด้วยกัน ต้องมองกันด้วยเหตุด้วยผล
ไม่ได้มองกันแบบกิเลสตัณหาอย่างเดียว
ถ้าหากว่าอยู่ด้วยกันด้วยกิเลสตัณหา
พอหมดกิเลสตัณหา เท่านั้นล่ะ
ก็เป็นพิษเป็นภัย เป็นอริศัตรูกันอย่างร้ายแรง

เพราะฉะนั้น รักคำนี้
ควรจะให้รักด้วยความเมตตา
ด้วยความเห็นอกเห็นใจ
รักในคุณงามความดีซึ่งกันและกัน
ก้าวไปด้วยกัน มองไปข้างหน้า
มองกันด้วยเหตุด้วยผล
มองกันที่คุณงามความดี อย่าไปมองกันในแง่ร้าย

มองกันด้วยเหตุผล รักกันด้วยเหตุผล
คนในชุมชน คนในกลุ่มนั้น คนคู่นั้น
ก็จะอยู่ด้วยกัน นานเท่านาน จนอวสานของชีวิต
เพราะอยู่ด้วยกัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ด้วยความรักเมตตากัน

โดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา "วาเลนไทน์รักกันให้แต่พอดี"
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙













" #ที่สุดของความอยากในโลกนี้ไม่มี "

#ใจที่มากด้วยตัณหา #ราคะและความใคร่ #ไม่มีเวลาที่จะพบความสงบ ความสุขความสบายได้เลย เรื่องของธรรมนั่น หากใครได้ปฎิบัติให้รู้ให้เห็น ให้เป็นไปในจิตของตนแล้วเหมือนกันหมด ไม่มีขัดแย้งกัน เหมือนนำ้ทะเล แม้จะอยูซีกไหนมุมใดในโลก ก็มีความเค็มเหมือนกัน ข้าวปลาเป็นอาหารของกาย ส่วนธรรมนั้นนับเป็นอาหารของใจ เมื่อใดกายหิวโหยก็ต้องได้วุ่นวายหาอาหารการกิน มาบำรุงบำเรอกัน ไม่เช่นนั้นก็เมื่อย เหนื่อยและหิวถึงตายได้ ธรรมกับใจ ก็เช่นกันยิ่งวุ่นวายมาก ก็ยิ่งต้องได้ประพฤติปฎิบัติให้มากเช่นกัน เพื่อจะได้มีความสงบระงับดับความวุ่นวายนั้นลงไป

#การพิจารณาในกายนั้นก็ต้องเอาใจใส่ และพิจารณาให้มาก พิจารณาให้พอ เพื่อให้รู้ความเป็นจริงของกาย คลายความยึดมั่นถือมั่น ในเขาในเราลงไป ใจถึงจะสงบ ใจถึงจะสุขได้ อย่าเพียงแค่คิดว่ารักตัวกลัวตายอยู่เท่านั้น รักต้องประกอบไปด้วย รู้ คือปัญญาด้วย เพราะถ้าขาดปัญญาแล้วรัก รักนั้นจะเป็นรักหลงทันทีไม่ใช่รักรู้ เมื่อรักแล้วหลง ผลจะเป็นทุกข์เป็นโทษทันทีน่ากลัวและเป็นอันตรายต่อผู้รักเช่นนั้น เพราะถ้าพลาดหวังผิดหวังมา สามารถฆ่ากันทำลายล้างกันได้

"#ใจ" เป็นของละเอียดลึกซึ้ง มีนอกมีในเช่นนี้ จึงต้องได้ใช้ธรรม คือ #สติปัญญาความเมตตาสงสาร เข้าไปเพิ่มเติมให้มาก อย่าให้รักนั้นมันต้องจืดจางไป เกิดความเบื่อหน่ายกัน แล้วก็เลิกรากันไป ขาดความรับผิดชอบในรัก โทษกันไปโทษกันมา จะไปโทษใครได้เล่า ตัวเองเป็นผู้รู้ ผู้รัก ตัวจึงต้องเป็นผู้รับ

สิ่งไหนมีคุณ สิ่งนั้นย่อมมีโทษเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องได้ควบคุมใจให้อยู่ในความพอดีตลอดเวลา เพราะผู้พลาด คือ "ใจ" ผู้สำเร็จก็ คือ "ใจ" เช่นกัน การดูแลใจกัน ใจเขา ใจเรา จึงสำคัญที่หนึ่ง ให้เห็นคุณค่าให้ปฎิบัติสิ่งดีๆต่อกันเท่านั้น สิ่งที่มันจะกระทบจิตใจในกันและกัน ให้ข่มไว้ภายในและพยายามดับลงไปให้ได้อย่าปล่อยให้ระบาดสาดกระจายออกมา ทางวาจาและการกระทำได้ ต้องมีเหตุมีผล อดกลั้นอดทน ในความคิด การพูดและการกระทำให้มาก เพราะใจเขาใจเราก็ไม่ต่างกัน รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน

#ดังนั้นต้อง #รักให้เป็น #เห็นให้ชัด #ปฎิบัติให้ถูก #จึงเชื่อว่ารักรู้ รักเป็น เช่น พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงรักทรงมีพระเมตาต่อสัตว์โลกไม่มีประมาณ หากยอมรับนับเอาแบบอย่างรักของพระองค์ มาประพฤติปฎิบัติแล้วย่อมยังความสุขความสงบในครอบครัวสามีภรรยา สังคมประเทศชาติ ตลอดไปเช่นกัน

พระอาจารย์รังสรรค์ อภิปุญโญ
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒









ทำตัวเองให้มีศีลขึ้นมา ให้เป็นธรรมขึ้นมานั่นละเผยแผ่ศาสนา เข้าใจไหม?คนเห็นเขาก็เลื่อมใสศรัทธาเอง ทำให้เป็นบารมีขึ้นมา

โอวาทธรรม
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร












ดินฟ้าอากาศไม่เป็นข้าศึกแก่ใจ ใจที่ขาดการสำรวมนี่แหละเป็นข้าศึกแก่เรา

เมื่อใจของเราได้รับการสำรวมดีแล้ว ศีลจึงไม่ต้องไปแสวงหา สมาธิก็ไม่ต้องไปแสวงหา ปัญญาก็ไม่ต้องไปแสวงหา เพราะเกิดขึ้นที่ใจ

เมื่อธรรมปรากฏขึ้นที่ใจ กิเลสจะสลายตัวในขณะนั้น

เมื่อใจเราเป็นธรรมขึ้นทั้งดวง เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ กิเลสตัณหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจอยู่ไม่ได้

จิตว่างจากอารมณ์นั้นละ ทำให้เกิดความสว่างไสว องค์ปัญญาก็เกิดขึ้น
ในเมื่อองค์ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดหรือกิเลสตัณหา ยากที่จะซ่อนเร้นอยูในจิตที่สว่างไสว จิตก็สมบูรณ์เป็นธรรมขึ้นทั้งใจ

หลวงปู่ แบน ธนากโร.










"ความรัก..
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนอยู่แล้ว
ทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว

สำหรับผู้ที่รักอย่างรู้ตัว
ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีความสุข

แต่สำหรับผู้ที่รักอย่างลืมตัว
ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์"

ท่าน ว.วชิรเมธี









"รัก ก็รักกันเถอะ
แต่อย่าลืมความไม่แน่นอน"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร