วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 03:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2020, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ใครทำบุญก็ไม่เหมือนเจ็กไฮทำบุญ
เจ็กไฮทำบุญได้บุญมากที่สุด พรเขาก็ไม่ต้องรับ คำถวายก็ไม่ต้องว่า
เขาได้บุญตั้งแต่เขาออกจากบ้านมา
บุญเขาก็เต็มอยู่แล้ว ไม่ได้ตกหล่นสูญหายไปไหน บุญเป็นนามธรรมอยู่ที่ใจ อย่างนี้จึงเรียกว่า ทำบุญได้บุญแท้.."

พระธรรมคำสอน"หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"
..จากหนังสือบูรพาจารย์..










...พยายามพิจารณาเตือนใจสอนใจ
เพื่อจะได้ปลงซะ "เอาวะ..จะเป็นก็เป็นวะ"
.
ไปเครียดไปวิตกไปเป็นโรคประสาทไปทำไม
ถ้ามันจะเป็นแต่เราก็ป้องกันให้ดีที่สุด
พยายามอยู่บ้านให้มากที่สุด
ออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด
.
ถ้าเป็น..เราก็ต้องแยกตัวเรา
อย่าไปอยู่กับคนที่เขาไม่ได้เป็น
อย่าไปให้เขาต้องรับเชื้อจากเรา
ก็หาที่อยู่ต่างหากไป อยู่กันห่างๆ
.
แล้วก็นี่ "ฝึกสติ พยายามนั่งสมาธิ"
ตอนนี้ไปไหนไม่ได้ เป็นช่วงที่มีเวลาปฏิบัติกัน
งานก็ไปทำงานไม่ได้ โรงเรียนก็ไปไม่ได้
จะมีเวลาว่าง
.
คนที่ไม่เคยอยู่เฉยๆ ก็จะเครียดขึ้นมา
ก็นี่หัดเดินจงกรม หัดนั่งสมาธิ
หัดฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะ
"เพื่อเรียนรู้วิธีปฏิบัติจิตใจให้สงบ"
ว่าทำอย่างไร
ทำให้จิตใจปล่อยวางได้อย่างไร
ขั้นต้นก็ต้อง.."มีสติ ทำใจให้สงบ"
.
พอมีความสงบในระดับที่มีอุเบกขา
ก็ใช้ปัญญาสอนใจ สอนเรื่องที่
ทำให้เราทุกข์กันตอนนี้เรื่องอะไร
ก็เรื่องโรคระบาด เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย
โรคอดอยากขาดแคลน
.
เราก็ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงว่า
มันเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายของใคร
ไม่เว้นคนรวยคนจน คนใหญ่คนไม่ใหญ่
มีโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกัน โรคที่มีก็เหมือนกัน
.
โรคที่จะมีก็มีอยู่ ๓ ชนิดด้วยกัน
ชนิดที่ ๑ เป็นแล้วก็หายเองไม่ต้องรักษา
เช่น ไข้หวัดธรรมดา ถ้าไม่มียาไม่มีหมอ
ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวร่างกายมันก็ฆ่าเชื้อได้
ฆ่าเชื้อหวัดได้ ฆ่าเชื้อโรคได้ โรคหวัดก็หายได้
.
นี่คือโรคชนิดที่ ๑ เป็นแล้วก็หาย บางทีเจ็บท้อง
ปวดท้อง สักพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็หาย
บางทีปวดศีรษะสักพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็
หายของมันเอง ..นี่คือโรคชนิดที่ ๑
เป็นแล้วหายเอง ทุกคนมีโรคชนิดนี้ด้วยกัน
.
ชนิดที่ ๒ ก็คือ เป็นแล้วต้องรักษาถึงจะหาย
เป็นโรคติดเชื้อนี้ต้องให้หมอให้ยาปฏิชีวนะนี้
มารับประทาน พอกินยาแล้วโรคที่เป็นก็หายไป
.
แล้วโรคชนิดที่ ๓ ก็คือ เป็นแล้วรักษาก็ไม่หาย
ไม่รักษาก็ไม่หาย จะหายก็ตอนที่มันตาย ตอนที่ตายนี้โรคทุกชนิดหายหมด
ในร่างกายมีโรคกี่ชนิด โรคตับโรคไต
โรคปอดหรือโรคหัวใจ
.
โรคอะไรพอหมดลมหายใจ
มันก็หายหมด ..หมอไม่รักษาเลย
หมอบอกไม่ต้องรักษาคนไข้คนนี้แล้ว
โรคคนนี้หายหมดแล้ว .."เอาเข้าตู้เก็บได้"
"รอส่งไปวัด เพื่อให้เขาฌาปนกิจต่อไป".
.........................................

สนทนาธรรมบนเขา 18/3/2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน









#ต้องการละ_ต้องหมั่นเจริญ

"ต้องการ ละ ความพยาบาท
หรือ ความคิดปองร้าย
ต้องหมั่นเจริญเมตตา
หรือไมตรีจิต คิดให้ผู้อื่นมีความสุข
ต้องการ ละ ความคิดเบียดเบียนผู้อื่น
ต้องหมั่น เจริญ กรุณา
หรือเอ็นดู คือช่วยเหลือผู้อื่นพ้นทุกข์
ต้องการ ละ ความอิจฉาริษยา
ต้องหมั่น เจริญมุทิตา
หรือ พลอยยินดีเมื่อผุ้อื่นได้ดี
ต้องการ ละ ความขัดใจ
ต้องหมั่น เจริญอุเบกขา
หรือ การวางใจเป็นกลาง
ต้องการ ละ ความกำหนัดยินดี
ต้องหมั่น เจริญอสุภะ
หรือ เห็นความไม่งามเบื้อหลังความงาม
ต้องการ ละ ความคือตัวถือตน
ต้องหมั่น เจริญ กฎการเปลี่ยนแปลง
ให้เข้าใจ.. "

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ










"การนอนเป็นเวลา
การตื่นเป็นเวลา
การรับประทานเป็นเวลา
ทำอะไรให้ตรงต่อเวลา
ก็ให้มีสัจจะไว้ในใจว่า เราจะทำอะไร
ให้มันจริงใจสักอย่างหนึ่ง
ให้เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของใจ
นี่คือแผนการสร้างพลังจิตพลังใจ
การทำอะไรเป็นเวลา​ ตรงไปตรงมา
เป็นการสร้างสัจจบารมี
ถ้าใครมีสัจจะความจริงใจ
มีสัจจบารมี ใกล้ต่อการตรัสรู้
ถ้าขาดสัจจะความจริงใจแล้ว
ยังห่างพระพุทธเจ้า​ ผิดรู้ตัวว่าผิด
ถูกรู้ตัวว่าถูก ไม่โกหกใคร
ผิดรับไปตามผิด ถูกรับไปตามถูก
นั่นเป็นการสร้างสัจจบารมี
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย
ก็ควรจะได้ฝึกตัวเองให้มีสัจจบารมีบ้าง.. "

#หลวงพ่อพุธ_ฐานิโย










เรื่องสติเป็นของสำคัญมากทีเดียว สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีคำว่ายกเว้นที่สติจะไม่ติดแนบกับตัว นี่ละความเพียรอยู่กับสติ ประกอบหน้าที่การงานภายนอกก็ให้มีสัมปชัญญะ มีสติติดตัวอยู่เสมอ การงานทั้งหลายก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าสติได้ห่างจากตัวเมื่อไรแล้วภายในก็ผิดพลาด ภายนอกก็ผิดพลาด หาความถูกต้องดีงามไม่ได้ ให้พากันระมัดระวัง เกี่ยวกับเรื่องสติเป็นสำคัญ สตินี้เป็นเครื่องรับรองยืนยันมรรคผลนิพพาน...

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐











"ให้เอาสติควบคุมจิต
ดึงเข้ามาอยู่ที่หัวใจ
ให้ว่า พุทโธ พุทโธ จนจิตสงบ
แล้วใช้ปัญญาพิจารณากายของตน
ตั้งแต่หนังที่หุ้มห่อร่างกายอยู่นี้
ให้จิตเห็นเป็นอสุภกรรมฐาน
เป็นของสกปรกน่าเกลียด
เมื่อตายแล้วไม่มีใครต้องการ
สังขารทั้งปวงตกอยู่ในไตรลักษณ์
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น"

#โอวาทธรรมของหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต














#การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นพระก็ปฏิบัติได้_เป็นโยมก็ปฏิบัติได้

แต่ว่าเป็นพระนี้มันไกลจากความกังวล แต่ก็
ไม่แน่ บางแห่งก็ยิ่งกังวลมากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ลำบากอยู่ ฉะนั้น เรื่องธรรมะนี้จะต้องใช้การภาวนา คือ การพิจารณา อย่างเช่น พระนวกะที่ท่านได้เทศน์ให้ฟังไปนั้น ท่านได้พูดรวมลงมาว่า​ พุทธศาสนานั้นต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติไม่เกิดผล ไม่เกิดประโยชน์ เรียนมากขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์ มันไม่เกิดประโยชน์ถ้าไม่ปฏิบัติ​ อันนี้ท่านพูดสั้นๆ ท่านเกิดมีความรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ของท่าน ท่านพูดสั้น แต่ก็ถูกของท่านทั้งหมดเลย เพราะถ้าไม่ปฏิบัติแล้วทุกอย่างมันไม่เกิดประโยชน์ มันเสียหาย
เช่นว่า เราทำนาสักแปลงหนึ่ง แต่พอถึงคราว
ที่จะเกี่ยว ไม่รู้จะเอาอะไรเกี่ยว มันก็เสียหายมาก การกระทำนั้นก็เลยไม่ได้ผลประโยชน์ แต่ว่าทำไมการปฏิบัติมันถึงยากลำบาก คือ
ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว มันจะต้องยากเสียก่อนแล้วมันจึงจะง่าย​ อย่างเช่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ทุกข์” พอเราเห็นว่าทุกข์อย่างเดียวก็ไม่ชอบเสียแล้ว ไม่อยากจะรู้ทุกข์ แต่ความเป็นจริงแล้วตัวทุกข์นั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้ๆ แต่เราก็อ้อมอันนี้เสีย ไม่อยากจะดูทุกข์
หรืออย่างคนที่แก่ๆ เราก็ไม่อยากจะดู อยาก
จะดูแต่คนหนุ่ม เป็นเสียอย่างนั้น ทุกข์นี้ไม่อยากจะดู เมื่อไม่อยากจะดูทุกข์ มันก็ไม่รู้จักทุกข์ ตลอดกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้จักทุกข์

#ทุกข์นี้เป็นตัวอริยสัจ_เป็นสัจจธรรม

ถ้าเราเห็นทุกข์ก็เป็นเหตุให้เราแก้ไข อย่างเช่นว่า ทางที่นี่มันรก ไปไม่ค่อยจะได้ ไปแล้วมันก็รกอยู่นั่นแหละ ความคิดมันก็เกิดขึ้นว่า ทำอย่างไรหนอทางนี้มันจึงจะง่าย ไปทุกวัน คิดทุกวัน จิตนี้มันเกิดความคิดอย่างนี้ เพราะสิ่งที่ไม่สะดวกคือตัวปัญหา ตัวปัญหามันเกิดขึ้นมา มันถึงหาทางเฉลยแก้ปัญหาอันนั้น ถ้าเราไม่ทุกข์มันก็ไม่มีปัญหา เมื่อไม่มีปัญหาก็ไม่มีเหตุให้พิจารณาอะไรเลย อันนี้เราก็เลยข้ามไป ฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนเรื่อง “ทุกข์” วันหนึ่ง มีพระอยู่ด้วยกันมาเล่า
ให้อาตมาฟัง ท่านเล่าว่า ปีนี้มันทุกข์เหลือเกิน อาตมาก็ว่า ก็ให้มันทุกข์เสียก่อนซิมันถึงจะอดทน ถ้าไม่มีความอดทนมันจะเห็นธรรมะไหม อย่างเช่นว่า ก่อนนั้นตีสามไม่เคยจะตื่นเลย อยู่ที่นี่พอตีสามระฆังดังหง่างๆ ๆ … แล้ว เรามันเคยสองโมงเช้าจึงจะตื่นเมื่ออยู่ที่บ้าน มาอยู่ที่นี่ตื่นตีสาม มันก็เลยแย่ ทำไมมันจะ
ไม่อยากโดดหนีล่ะ มันก็คิดถึงบ้านเท่านั้นแหละ อยู่บ้านพ่อบ้านแม่เราไม่เคยลำบากอย่างนี้ ไปมันเสียดีกว่า มันเป็นทุกข์ ทำไมจะไม่เป็นทุกข์​ อย่างการขบฉัน พระตั้งสามสี่สิบ อาตมาก็ให้ฉันบิณฑบาตเรียงกันไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเรามันหิวขึ้นมาก็ว่าฉันพร้อมกันไม่ได้หรือ มันยุ่งยาก อาตมาก็ว่าดีแล้ว มันยุ่งยากนั่นน่ะมันดี มันอดทนดี พระบวชใหม่ๆ อยากฉันก็
ฉัน พอมันมาพบตรงนี้เข้ามันก็ทุกข์ เพราะพระจะฉันก็ต้องฉันเรียงลำดับกันไป กว่าจะถึงเราก็ โอ๊ย มันอดแล้วอดอีก มันก็เป็นทุกข์ กว่าจะปรับตัวได้ก็ร่วมสามเดือน

อาตมาก็เคยบอกพระนวกะเราแต่แรกแล้วว่า ให้ถึงเดือนที่สามแล้วถึงจะพอรู้เรื่องสักนิดหนึ่ง เพราะมันผ่านทุกข์มานั่นเอง ถ้าได้ผ่านตรงนี้แล้วก็เอาซิ จะไปทำมาค้าขายอะไรก็มีกำลัง การงานดีขึ้นมีกำลังขึ้น

#เช่น_มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มาอยู่นี่ ต้องตื่นนอนตีสาม นอนบางทีหกทุ่ม พอสึกไปเป็นทหาร ตอนอยู่เวรคนอื่นเขาจะตายแล้ว แต่คนนี้สบาย เดินจงกรมสบาย เจ้านายก็รัก เลยมาบอกว่า เป็นทหารมันไม่ยากหรอก มันง่ายๆ ส่วนคนที่ไม่เคยทำกรรมฐานมันจะตายแล้ว คนที่สบายเพราะมันเคยทุกข์มาจนพอแล้ว ให้มันทุกข์ขนาดนั้น(เป็นทหาร) มันไม่เต็มมือมัน
มันเลยสบายเลย นี่แหละ เราต้องการตรงนี้
ฉะนั้นที่มาบวชวัดหนองป่าพงนี่มันเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์เพราะไม่เห็นว่าทุกข์ นี่แหละเป็นทางตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าของเราท่านให้เห็นทุกข์
#คือ_ทุกข์_สมุทัย_นิโรธ_มรรค ออกช่องนี้เลย พระอริยบุคคลออกช่องนี้ ถ้าไม่ออกช่องนี้จะออกช่องไหน ใครจะไปตรงไหน ถ้าไม่ออกช่องนี้ก็ไม่มีทางออก จะต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี่ออกช่องนี้ พระโสดาบัน พระอริยบุคคลเบื้องต้นก็ออกตรงนี้ ไม่มีทางอื่นที่จะออก ถ้าไม่รู้จักทุกข์ออกไม่ได้
ทุกๆ อย่างนั่นแหละมันทุกข์ อย่างทุกข์ใจของเรานี่มันก็สารพัดอย่าง โยมเองก็เคยเป็นทุกข์กันมาแล้ว วิธีปฏิบัติในทางพุทธศาสนาก็เพื่อแก้ทุกข์ คือ ทำอย่างไรจะไม่ให้มันเป็นทุกข์ เมื่อความทุกข์มันเกิดขึ้นมาก็ตาม หาว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร เออ.. มันเกิดจากตรงนั้น ท่านก็ให้ทำลายเหตุตรงนั้นเสีย ไม่ให้มันเกิดขึ้นมา เพราะเห็นทุกข์เสียก่อนจึงรู้จักว่าทุกข์มันเกิดจากอะไร ก็ตามมันไปอีก จึงไปแก้ไขตรงนั้นว่ามันเกิดจากอันนั้น แล้วทำลายสิ่งที่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดไปเสีย ด้วยการขจัดมันไป

#ทุกข์_สมุทัย_แล้วก็นิโรธ คือ ความดับเช่นนั้นมันมีอยู่ จะต้องหาข้อปฏิบัติ คือ มรรค เพื่อจะเดินทางไปดับทุกข์ แก้ตรงนั้นมันจึงไม่เกิดทุกข์ อย่างนี้ พระพุทธศาสนาออกไปตรงนี้ ไม่ออกไปที่ไหน

#หลวงพ่อชา_สุภัทโท














" บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น
เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว
มักไม่เห็นคุณพระศาสนา

มัวเมาประมาท ปล่อยกาย
ปล่อยใจ ให้ประพฤติ
ทุจริตผิดศีลธรรม
อยู่เป็นประจำนิสัย
เห็นผิดเป็นถูก
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า
ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ
จึงได้คิดถึงพระ
คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็น
เวลาที่สายไปแล้ว "

โอวาทธรรม
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ











" "พระพุทธศาสนา"
เปรียบเหมือนน้ำอมฤต
อันบริสุทธิ์ปราศจากโทษ

ผู้ถือพระพุทธศาสนา
ก็เท่ากับผู้บริโภคน้ำ
อันบริสุทธิ์ ผู้บริโภคมาก
ก็ได้รับความสุขมาก
ผู้บริโภคน้อยก็ได้รับ
ความสุขน้อย
สมควรแก่ภูมิของตน "

โอวาทธรรม
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์













" พระพุทธเจ้าท่านสอน
เข้ามาที่ใจ ไม่ได้สอน
ออกไปหาคัมภีร์

คัมภีร์ที่ใหญ่ที่สุดได้แก่
เบญจขันธ์อันนี้​ สัจธรรม
ทั้งสี่ก็อยู่ที่นี่ ทุกข์​ สมุทัย​
นิโรธ​ มรรค​ ก็อยู่ที่นี่
สติปัฏฐานสี่​ คือ​ กาย​
เวทนา​ จิต​ ธรรม​ ก็อยู่ที่นี่

สถานที่พิจารณา ก็อยู่
ที่นี่ทั้งหมด เพราะกิเลส
เป็นผู้ปักผู้ปันผู้ยึดผู้ถือ
ผู้ผลิตขึ้นมาอยู่ที่นี่

ตัวมันผลิตขึ้นมาก็คือ
ร่างกาย และขันธ์สี่
ของเรา​ หรือขันธ์ทั้งห้า
มันผลิตขึ้นมาก็อยู่ที่เรา
เพราะฉะนั้น​ 'อริยสัจ'
จึงอยู่ที่นี่​ สนามรบจึงอยู่ที่นี่

เอามรรค คือสติปัญญา
ฟาดฟันหั่นแหลกกัน
ลงที่นี่ คำว่ากิเลสสมุทัย
นั้นก็จะจางไปๆ​ ความ
ดับทุกข์ก็ดับไปโดยลำดับ

ทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะ
อำนาจของสมุทัยก็ดับไป
เพราะสมุทัยดับไปด้วย
มรรค มีสติปัญญาเป็นสำคัญ

สิ่งเหล่านี้มีอยู่ที่นี่ไม่อยู่
ที่อื่น​ ให้พิจารณาให้ดี
ตามที่อธิบายมานี้
จะไม่ผิดสัจธรรม​
ไม่ผิดสติปัฏฐานสี่

จะเจอกิเลส​ บาป​ บุญ​
มรรคผลนิพพานกัน
ที่กายที่ใจดวงนี้​ ไม่สงสัย "

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว​
ญาณสัมปันโน








#ให้เราเป็นหมอรักษาตัวของเรา_ใจของเราให้ดี

ให้แยกประเภทกันออกให้ได้ ถ้าแยกอันนี้ออกแล้วจิตใจสงบไม่วุ่นวายนัก โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่รุนแรง แม้โรคจะรุนแรงรวดเร็วนะมันจะเป็นธรรมดา ๆ จิตใจก็มีกำลังขึ้นเรื่อย ดีไม่ดีต้านทานโรคได้ ถ้าถึงขั้นแก่กล้าของธรรมะต้านทานกันได้..

สกฺกตฺวา พุทฺธรตนํ ธมฺมรตนํ สงฺฆรตนํ โอสถํ อุตฺตมํ วรํ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นโอสถอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าเป็นโอสถอะไร จามฟิกก็วิ่งหาหมอแล้ววิ่งหาธรรมไม่มีแล้วจะเอาประโยชน์อะไรจากธรรม เมื่อใจไม่สนใจในธรรม
.
นี่ได้เคยฟัดกันมาแล้วนะถึงได้พูดอย่างอาจหาญ สิ่งเหล่านี้เคยมาแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่ไม่เคยแล้วมาพูดโม้อย่างนั้น มียาติดตัวเมื่อไรเข้าในป่าในเขา ไม่มีละกรรมฐานแต่ก่อน ยาเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ติดย่าม เป็นมาก็หัวชนกันเลยเอากันเลย

จิตใจกล้าหาญเสียอย่างเดียวเท่านั้น โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นส่วนของธาตุของขันธ์อยู่ใต้อำนาจของจิต จิตเหนือมันอยู่แล้วจะเป็นอะไรไป นี่เคย ยิ่งไข้มาลาเรียนี่แหมหนักมาก เวลามันหนาว-หนาวสะบั้น ตัวสั่น ห่มอะไรไม่อุ่น ห่มก็หนักเฉย ๆ หนาวไข้จับสั่นนี้เราอย่าเข้าใจว่าเอาผ้ามาห่มจะอุ่นนะ ไม่ได้อุ่น หนักเฉย ๆ มันหนาวสะบั้นอยู่ภายในใจ อยู่ภายในร่างกายของเรา ไม่ได้เป็นอย่างผิวเผิน

เพราะฉะนั้นห่มอะไรมันจึงไม่อุ่น ไม่ได้ห่มละ เปลื้องออกหมดห่มผืนเดียว ให้มันเท่านั้น จะเป็นขนาดไหนก็ให้เท่านี้ พอพลิกจากหนาวเป็นร้อนก็เป็นไฟอีก ไม่เอาออกผ้าพันไว้นั้น เปียกหมดเลย
.
ไข้จับสั่น เขาเรียกไข้มาลาเรียขึ้นสมองเป็นบ้านั่น แต่เราไม่ขึ้นหรือขึ้นก็ไม่รู้แหละ มันหากฟัดกันตลอดนะ เลยไม่ทราบอันใดขึ้นสมองอันใดลงสมอง ไข้หนักเท่าไรจิตยิ่งหนักถอยกันไม่ได้เลย นั่นละสู้กันให้มันเห็น

สกฺกตฺวา พุทฺธ ธมฺม สงฺฆ รตนํ ให้มันเห็นประจักษ์ ถอนกันเวิกออก ๆ จิตหมุนเข้า ๆ ธรรมะตีออก ๆ อันนั้นกระจายออก ๆ ให้มันเห็นชัดอยู่ในหัวใจ นี่ละของจริงไม่ใช่ของจำนะ เอาของจริงมาใช้ เป็นก็เป็นจริง ๆ รู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ กำจัดได้จริง ๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงทดลองแล้วถึงได้มาสอน ไม่ได้มาสอนแบบปาว ๆ”

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร