วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 18:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2020, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อันดับแรกต้องแปลให้เป็นภาษาไทยที่คุยกันรู้เรื่อง
คือพูดเรื่องเดียวกันให้เข้าใจกันก่อนจึงเชื่อมโยงไป
สู่ความประพฤติเป็นไปตามที่เข้าใจถูกของแต่ละคน
:b12:
ศรัทธาคือสภาพจิตที่เลื่อมใสผ่องใสที่เข้าใจในสิ่งที่กำลังประพฤติโดยปราศจากความถือมั่นว่าตัวเราดี
ในคือภายในกรอบของศรัทธาที่ผ่องใสเลื่อมใสเมื่อเข้าใจชัดภายในลึกซึ้งถึงแก่นแท้ว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากนี้
พระพุทธศาสนาคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่มีการบัญญัติไว้ดีแล้วต้องเรียนรู้ให้แตกฉานในข้อประพฤติ
การจะคิดจะพูดจะทำสิ่งใดให้เทียบเคียงเหตุผลให้ถูกตรงเที่ยงตรงให้รู้ตัวก่อนทำเป็นผู้รู้ตัวก่อนทำลงไปค่ะ
ต้องมีการพูดคุยตรวจทานกันสนทนากันให้เข้าใจถูกต้องในความประพฤติต่างๆตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
https://youtu.be/pV2QLS1IOEc
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2020, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
สภาพธัมมะเดียวที่ติดไม่ได้คือนิพพาน
เพราะนิพพานเป็นสภาพหมดอยากรู้นิพพาน
:b32:
ถ้าใครยังอยากรู้นิพพานแสดงว่ายังไม่ถึง
เพราะถึงนิพพานปุ๊บรู้เลยว่าอ้อมันเป็นเช่นนั้นเอง
:b12:
โมหะคือความหลงผิดว่ามีตัวตนคนสัตว์วัตถุ
โลภะคือความติดข้องภายในใจพอใจอยากได้ต้องการเพิ่ม
โทสะคือเมื่อไม่ได้ตามโลภะก็เกิดขุุ่นเคืองขัดเคืองภายในใจเล็กน้อยถึงมากจนบันดาลโทสะ
เวลาเกิดโลภะอยากได้คือโลภมากก็มีโมหะคือมีตัวเราแสวงหาด้วยความต้องการตามที่ชอบๆ
แสวงหามากๆทำทุกวิถีทางทั้งอิจฉาริษยาแม้จะปล้นจี้ฆ่าเพื่อแย่งชิงก็ทำได้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
เมื่อสะสมความอยากได้มากๆพอไม่ได้ตามที่คิดเอาไว้ก็เดือดร้อนกลุ้มรุมทำร้ายใจตัวเองนั่นแหละ
สะสมความไม่พอใจทีละเล็กมีละน้อยโดยไม่รู้สึกว่าทำอย่างนั้นแล้วจึงทำให้ลืมตัวเกิดโทสะจากมีโลภะ
การเพียรฟังเพื่อพิจารณาไตร่ตรองความจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตามปกติจึงทำให้เป็นผู้มีปกติรู้ตัว
https://youtu.be/YW4SQNCbLOQ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2020, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ศรัทธาไม่ได้เกิดได้ลอยๆเหมือนที่ชอบพูดกันว่าตัวเองมีศรัทธาในวัตถุตะกรุดผ้ายันต์หรือในตัวคนนั้นคนนี้
ศรัทธาคือลักษณะที่ปรุงแต่งจิตขณะที่กำลังมีการขัดเกลากิเลสขณะที่กำลังเข้าใจถูกตามคำของตถาคต
ตัวเราไม่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเราจึงไม่เข้าใจว่าใครพูดถูกได้แม่นยำ
เพราะตามปกติของความเกิดเป็นมนุษย์จิตใจย่อมมีความโน้มเอียงที่จะไหลไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม
ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิตและมีผลกรรมที่เคยทำเอาไว้มาส่งผลให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในภพชาตินี้แล้ว
การศึกษาความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการฟังสิ่งที่เรามีแล้วมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยคิดเองได้
การเรียนต้องอาศัยฟังความจริงให้เข้าใจเพื่อมีความคิดเห็นถูกถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจย่อมไหลไปสู่ปกติที่เป็นมา
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจว่าอะไรถูกหรือผิดขณะนั้นได้สะสมปัญญาตราบใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดก็ไม่เลิกทำค่ะ
เมื่อได้ฟังบ่อยขึ้นเข้าใจจนจำขึ้นใจการคิดไตร่ตรองก่อนทำจึงแม่นยำรอบคอบการพิจารณาก็ละเอียดขึ้น
การจะเลิกทำอะไรก็ตามถ้ายังไม่รู้สึกตัวว่าที่ทำตามเคยชินอยู่มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะดังนั้นควรเริ่มฟัง
เพื่อให้ตนเป็นผู้ไม่หลงไปทำตามใจชอบโดยขาดการไตร่ตรองเพราะสิ่งใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดย่อมทำผิด
https://youtu.be/4MWH6D0qHZk
:b12:
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 19 ก.ย. 2020, 21:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2020, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ศรัทธาไม่ได้เกิดได้ลอยๆเหมือนที่ชอบพูดกันว่าตัวเองมีศรัทธาในวัตถุตะกรุดผ้ายันต์หรือในตัวคนนั้นคนนี้
ศรัทธาคือลักษณะที่ปรุงแต่งจิตขณะที่กำลังมีการขัดเกลากิเลสขณะที่กำลังเข้าใจถูกตามคำของตถาคต
ตัวเราไม่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเราจึงไม่เข้าใจว่าใครพูดถูกได้แม่นยำ
เพราะตามปกติของความเกิดเป็นมนุษย์จิตใจย่อมมีความโน้มเอียงที่จะไหลไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม
ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิตและมีผลกรรมที่เคยทำเอาไว้มาส่งผลให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในภพชาตินี้แล้ว
การศึกษาความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการฟังสิ่งที่เรามีแล้วมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยคิดเองได้
การเรียนต้องอาศัยฟังความจริงให้เข้าใจเพื่อมีความคิดเห็นถูกถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจย่อมไหลไปสู่ปกติที่เป็นมา
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจว่าอะไรถูกหรือผิดขณะนั้นได้สะสมปัญญาตราบใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดก็ไม่เลิกทำค่ะ
เมื่อได้ฟังบ่อยขึ้นเข้าใจจนจำขึ้นใจการคิดไตร่ตรองก่อนทำจึงแม่นยำรอบคอบการพิจารณาก็ละเอียดขึ้นการจะเลิกทำอะไรก็ตามถ้ายังไม่รู้สึกตัวว่าที่ทำตามเคยชินอยู่มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะดังนั้นจึงควรฟัง
เพื่อให้ตนเป็นผู้ไม่หลงไปทำตามใจชอบโดยขาดการไตร่ตรองเพราะสิ่งใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดย่อมทำผิด
https://youtu.be/4MWH6D0qHZk
:b12:
:b4: :b4:


คริคริ
เพราะคุณยายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า

เค้าเรียกว่า สัทธาเจตสิก

เกิดดับไปแสนโกฎขณะ แระค่ะ

ไปทำตามเคยชินอยู่ อย่างคุณยาย มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะๆ

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2020, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ศรัทธาไม่ได้เกิดได้ลอยๆเหมือนที่ชอบพูดกันว่าตัวเองมีศรัทธาในวัตถุตะกรุดผ้ายันต์หรือในตัวคนนั้นคนนี้
ศรัทธาคือลักษณะที่ปรุงแต่งจิตขณะที่กำลังมีการขัดเกลากิเลสขณะที่กำลังเข้าใจถูกตามคำของตถาคต
ตัวเราไม่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเราจึงไม่เข้าใจว่าใครพูดถูกได้แม่นยำ
เพราะตามปกติของความเกิดเป็นมนุษย์จิตใจย่อมมีความโน้มเอียงที่จะไหลไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม
ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิตและมีผลกรรมที่เคยทำเอาไว้มาส่งผลให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในภพชาตินี้แล้ว
การศึกษาความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการฟังสิ่งที่เรามีแล้วมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยคิดเองได้
การเรียนต้องอาศัยฟังความจริงให้เข้าใจเพื่อมีความคิดเห็นถูกถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจย่อมไหลไปสู่ปกติที่เป็นมา
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจว่าอะไรถูกหรือผิดขณะนั้นได้สะสมปัญญาตราบใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดก็ไม่เลิกทำค่ะ
เมื่อได้ฟังบ่อยขึ้นเข้าใจจนจำขึ้นใจการคิดไตร่ตรองก่อนทำจึงแม่นยำรอบคอบการพิจารณาก็ละเอียดขึ้นการจะเลิกทำอะไรก็ตามถ้ายังไม่รู้สึกตัวว่าที่ทำตามเคยชินอยู่มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะดังนั้นจึงควรฟัง
เพื่อให้ตนเป็นผู้ไม่หลงไปทำตามใจชอบโดยขาดการไตร่ตรองเพราะสิ่งใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดย่อมทำผิด
https://youtu.be/4MWH6D0qHZk
:b12:
:b4: :b4:


คริคริ
เพราะคุณยายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า

เค้าเรียกว่า สัทธาเจตสิก

เกิดดับไปแสนโกฎขณะ แระค่ะ

ไปทำตามเคยชินอยู่ อย่างคุณยาย มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะๆ

tongue

:b32:
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่ติดอยากจะทำ
เพราะรู้ความจริงแล้วหมดอยากรู้นิพพานแล้ว
ส่วนตัวที่ยังอยากทำน่ะคือตัวกิเลสอวิชชาตัวตนที่ไม่รู้ว่ามันไม่มีอยู่ก่อนจะทำแล้ว555
แค่ลืมตาตื่นตอนเช้าก็อยากทำลืมตาเพราะยังอยากเห็น555
ยังโลภอยากจะไปทำอะไรเยอะแยะเพื่ออยากจะหมดตัวตน555
ทุกขณะในชีวิตประจำวันมันไม่มีตัวตนอยู่แล้วไม่รู้สึกตัวเหรอ555=ขาดสติ
โอ๊ยขำจริงตัวตนที่มีคือยึดอัตตาแต่ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าอัตตาก็ไม่มีจะไปอยากทำทำไม ดับ=ไม่มีตัวตนแล้ว
แค่นั่งลงตั้งใจฟังเพียรฟังให้เข้าใจถูกตัวแล้วสำนึกตัวว่ายังรู้สึกว่ากูมีตัวแสดงว่ากูทำอะไรแบบลืมตัวตลอด
เพราะไม่เคยจำถูกตามคำของพระพุทธเจ้าว่าตอนนี้ก็ไม่มีตัว...คริคริคริ...ไม่รู้สึกตัวเลยว่างั้นเถอะ555ยังโง่ยุ่
จะบอกอะไรให้นะ...ถ้าไม่ฟังก็คือโง่ไปตลอดชาตินี้ที่ได้แต่ท่องบัญญัติคำเหมือนนกแก้วนกขุนทองท่องไปนะ
ลองคิดให้มันตรงตัวเดี๋ยวนี้...ไม่มีเราตามที่พระพุทธเจ้าบอกแล้ว...หรือว่าคริคริคริกูยังอยากไปนั่งทำตัวหาย
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2020, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
มีศรัทธาที่จะเริ่มต้นฟังพระพุทธพจน์ที่ถูกต้องหรือยัง
ถ้าไม่เริ่มต้นฟังคือทำสุตมยปัญญาคือฟังให้สำนึกตัวได้
ก็ไม่มีหนทางใดเลยที่จะสละความติดข้องต้องการเพื่อตัวตน
เพราะเราไม่มีทางรู้จักตัวตนที่แท้จริงว่าขณะไหนเป็นกุศลจิต
ความยากของการเริ่มต้นคือฟังไม่รู้เรื่องค่ะขอให้ตั้งจิตไว้ชอบ
ระลึกตามเสียงไปเรื่อยๆเสียงที่ได้ยินจะปรุงแต่งให้รู้สึกตัวทันที
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจคือกุศลสูงสุดเกิดเริ่มมีปัญญาทีละนิดๆละ
ตอนไม่เข้าใจคือกิเลสอกุศลล้วนๆของตัวเองค่ะเพราะเราไม่เคยระลึกได้ว่าตัวตนของเราไม่มี
https://youtu.be/ChLgKGd6YYY
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ศรัทธาไม่ได้เกิดได้ลอยๆเหมือนที่ชอบพูดกันว่าตัวเองมีศรัทธาในวัตถุตะกรุดผ้ายันต์หรือในตัวคนนั้นคนนี้
ศรัทธาคือลักษณะที่ปรุงแต่งจิตขณะที่กำลังมีการขัดเกลากิเลสขณะที่กำลังเข้าใจถูกตามคำของตถาคต
ตัวเราไม่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเราจึงไม่เข้าใจว่าใครพูดถูกได้แม่นยำ
เพราะตามปกติของความเกิดเป็นมนุษย์จิตใจย่อมมีความโน้มเอียงที่จะไหลไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม
ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิตและมีผลกรรมที่เคยทำเอาไว้มาส่งผลให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในภพชาตินี้แล้ว
การศึกษาความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการฟังสิ่งที่เรามีแล้วมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยคิดเองได้
การเรียนต้องอาศัยฟังความจริงให้เข้าใจเพื่อมีความคิดเห็นถูกถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจย่อมไหลไปสู่ปกติที่เป็นมา
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจว่าอะไรถูกหรือผิดขณะนั้นได้สะสมปัญญาตราบใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดก็ไม่เลิกทำค่ะ
เมื่อได้ฟังบ่อยขึ้นเข้าใจจนจำขึ้นใจการคิดไตร่ตรองก่อนทำจึงแม่นยำรอบคอบการพิจารณาก็ละเอียดขึ้นการจะเลิกทำอะไรก็ตามถ้ายังไม่รู้สึกตัวว่าที่ทำตามเคยชินอยู่มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะดังนั้นจึงควรฟัง
เพื่อให้ตนเป็นผู้ไม่หลงไปทำตามใจชอบโดยขาดการไตร่ตรองเพราะสิ่งใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดย่อมทำผิด
https://youtu.be/4MWH6D0qHZk
:b12:
:b4: :b4:


คริคริ
เพราะคุณยายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า

เค้าเรียกว่า สัทธาเจตสิก

เกิดดับไปแสนโกฎขณะ แระค่ะ

ไปทำตามเคยชินอยู่ อย่างคุณยาย มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะๆ

tongue

:b32:
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่ติดอยากจะทำ
เพราะรู้ความจริงแล้วหมดอยากรู้นิพพานแล้ว
ส่วนตัวที่ยังอยากทำน่ะคือตัวกิเลสอวิชชาตัวตนที่ไม่รู้ว่ามันไม่มีอยู่ก่อนจะทำแล้ว555
แค่ลืมตาตื่นตอนเช้าก็อยากทำลืมตาเพราะยังอยากเห็น555
ยังโลภอยากจะไปทำอะไรเยอะแยะเพื่ออยากจะหมดตัวตน555
ทุกขณะในชีวิตประจำวันมันไม่มีตัวตนอยู่แล้วไม่รู้สึกตัวเหรอ555=ขาดสติ
โอ๊ยขำจริงตัวตนที่มีคือยึดอัตตาแต่ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าอัตตาก็ไม่มีจะไปอยากทำทำไม ดับ=ไม่มีตัวตนแล้ว
แค่นั่งลงตั้งใจฟังเพียรฟังให้เข้าใจถูกตัวแล้วสำนึกตัวว่ายังรู้สึกว่ากูมีตัวแสดงว่ากูทำอะไรแบบลืมตัวตลอด
เพราะไม่เคยจำถูกตามคำของพระพุทธเจ้าว่าตอนนี้ก็ไม่มีตัว...คริคริคริ...ไม่รู้สึกตัวเลยว่างั้นเถอะ555ยังโง่ยุ่
จะบอกอะไรให้นะ...ถ้าไม่ฟังก็คือโง่ไปตลอดชาตินี้ที่ได้แต่ท่องบัญญัติคำเหมือนนกแก้วนกขุนทองท่องไปนะ
ลองคิดให้มันตรงตัวเดี๋ยวนี้...ไม่มีเราตามที่พระพุทธเจ้าบอกแล้ว...หรือว่าคริคริคริกูยังอยากไปนั่งทำตัวหาย
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


คริคริ

"นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่ติดอยากจะทำ
เพราะรู้ความจริงแล้วหมดอยากรู้นิพพานแล้ว"

คำพูดของคุณยายโรส วกและวน ด้วยความเคยชิน
น้ำวนบนใบบัว จึงอยาก วกและวน ด้วยความเคยชิน

และคุณยายไม่รู้จริง ว่า

นิพพาน ไม่ได้สภาพธรรมที่รู้จริง
ไม่ใช่ อริยสัจ ไม่ใช่มรรค

แต่เป็นรู้แจ้ง อสังขตธรรมน้อค่ะ

tongue tongue tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


คริคริ

เพราะคุณยายไม่ได้รู้จริง ตามคำโอ้

ความเคยชินของคุณยาย จึง วกๆๆๆ วนๆๆๆ
เหมาเอง ว่า หลงคิดว่า ความเคยชินนั้น เป็นฌาน

ความเคยชินชั้นต่ำแบบนั้น


ไม่ใช่ฌานในพุทธศาสนา หรอกค่ะ

ความเคยชินในพุทธศาสนา

คือ อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
และ ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค ผล

tongue tongue tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ศรัทธาไม่ได้เกิดได้ลอยๆเหมือนที่ชอบพูดกันว่าตัวเองมีศรัทธาในวัตถุตะกรุดผ้ายันต์หรือในตัวคนนั้นคนนี้
ศรัทธาคือลักษณะที่ปรุงแต่งจิตขณะที่กำลังมีการขัดเกลากิเลสขณะที่กำลังเข้าใจถูกตามคำของตถาคต
ตัวเราไม่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสในการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเราจึงไม่เข้าใจว่าใครพูดถูกได้แม่นยำ
เพราะตามปกติของความเกิดเป็นมนุษย์จิตใจย่อมมีความโน้มเอียงที่จะไหลไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม
ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิตและมีผลกรรมที่เคยทำเอาไว้มาส่งผลให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในภพชาตินี้แล้ว
การศึกษาความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการฟังสิ่งที่เรามีแล้วมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยคิดเองได้
การเรียนต้องอาศัยฟังความจริงให้เข้าใจเพื่อมีความคิดเห็นถูกถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจย่อมไหลไปสู่ปกติที่เป็นมา
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจว่าอะไรถูกหรือผิดขณะนั้นได้สะสมปัญญาตราบใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดก็ไม่เลิกทำค่ะ
เมื่อได้ฟังบ่อยขึ้นเข้าใจจนจำขึ้นใจการคิดไตร่ตรองก่อนทำจึงแม่นยำรอบคอบการพิจารณาก็ละเอียดขึ้นการจะเลิกทำอะไรก็ตามถ้ายังไม่รู้สึกตัวว่าที่ทำตามเคยชินอยู่มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะดังนั้นจึงควรฟัง
เพื่อให้ตนเป็นผู้ไม่หลงไปทำตามใจชอบโดยขาดการไตร่ตรองเพราะสิ่งใดที่ระลึกไม่ได้ว่าผิดย่อมทำผิด
https://youtu.be/4MWH6D0qHZk
:b12:
:b4: :b4:


คริคริ
เพราะคุณยายไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยไม่รู้ว่า

เค้าเรียกว่า สัทธาเจตสิก

เกิดดับไปแสนโกฎขณะ แระค่ะ

ไปทำตามเคยชินอยู่ อย่างคุณยาย มันผิดก็เลิกทำไม่ได้นะคะๆ

tongue

:b32:
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่ติดอยากจะทำ
เพราะรู้ความจริงแล้วหมดอยากรู้นิพพานแล้ว
ส่วนตัวที่ยังอยากทำน่ะคือตัวกิเลสอวิชชาตัวตนที่ไม่รู้ว่ามันไม่มีอยู่ก่อนจะทำแล้ว555
แค่ลืมตาตื่นตอนเช้าก็อยากทำลืมตาเพราะยังอยากเห็น555
ยังโลภอยากจะไปทำอะไรเยอะแยะเพื่ออยากจะหมดตัวตน555
ทุกขณะในชีวิตประจำวันมันไม่มีตัวตนอยู่แล้วไม่รู้สึกตัวเหรอ555=ขาดสติ
โอ๊ยขำจริงตัวตนที่มีคือยึดอัตตาแต่ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าอัตตาก็ไม่มีจะไปอยากทำทำไม ดับ=ไม่มีตัวตนแล้ว
แค่นั่งลงตั้งใจฟังเพียรฟังให้เข้าใจถูกตัวแล้วสำนึกตัวว่ายังรู้สึกว่ากูมีตัวแสดงว่ากูทำอะไรแบบลืมตัวตลอด
เพราะไม่เคยจำถูกตามคำของพระพุทธเจ้าว่าตอนนี้ก็ไม่มีตัว...คริคริคริ...ไม่รู้สึกตัวเลยว่างั้นเถอะ555ยังโง่ยุ่
จะบอกอะไรให้นะ...ถ้าไม่ฟังก็คือโง่ไปตลอดชาตินี้ที่ได้แต่ท่องบัญญัติคำเหมือนนกแก้วนกขุนทองท่องไปนะ
ลองคิดให้มันตรงตัวเดี๋ยวนี้...ไม่มีเราตามที่พระพุทธเจ้าบอกแล้ว...หรือว่าคริคริคริกูยังอยากไปนั่งทำตัวหาย
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


คริคริ

"นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่ติดอยากจะทำ
เพราะรู้ความจริงแล้วหมดอยากรู้นิพพานแล้ว"

คำพูดของคุณยายโรส วกและวน ด้วยความเคยชิน
น้ำวนบนใบบัว จึงอยาก วกและวน ด้วยความเคยชิน

และคุณยายไม่รู้จริง ว่า

นิพพาน ไม่ได้สภาพธรรมที่รู้จริง
ไม่ใช่ อริยสัจ ไม่ใช่มรรค

แต่เป็นรู้แจ้ง อสังขตธรรมน้อค่ะ

tongue tongue tongue

:b32:
ทุกขณะจิตมีสัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ใหม่ทุกดวงจิตเลยนะ
สัญญาขันธ์ไม่มีความจำอันเก่าแปะไว้ข้างฝารอให้คิดไว้ก่อน
เพราะดับคือไม่มีคือขณิกมรณะมันไม่เหลือตัวตนแล้ว
ยังหลงท่องจำคำต่างๆได้หมดทั้งพระไตรปิฏกอยู่เลยอ่ะนะ
คิดทุกคำพร้อมกันได้ไหมคะเนี่ยคิดสิการฟังคือคิดตามตรงคำยังทำไม่ได้เลย
มันก็หลงผิดอยู่ทั้งวันยังค่ำท่องทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนหลับก็เก็บเอาไปฝันว่าท่องจำได้อีก555
ไม่เคยสำนึกได้ว่าปล่อยวางตัวตนไม่ได้แล้วที่อยากท่องจำนั้นน่ะค่ะคริคริคริ
ลองคิดให้ตรงปัจจุบันกับสิ่งที่ตัวเองเป็นนะคะกำลังอยู่ภพไหนเนี่ยตถาคตบอกว่า...ไม่มีเรา=ว่างทุกมิติ555
ยังเอาตัวตนไปท่องจำสิ่งที่ตามไปชาติหน้าด้วยไม่ได้อยู่แม้1ขณะถัดไปก็ไม่มีตัวตนให้ทำอะไรได้เลย555
ก็บอกแล้วว่าทุกภพภูมิที่มีทำไปจากโลกมนุษย์ยังอยากไปพรหมโลกอยู่ทำฌานนั้นน่ะถ้าไปนิพพาน=ทำฟัง
ทำอย่างอื่นที่เอาตัวตนไปคิดพูดทำโดยไม่ฟังคำสอนให้เข้าใจก็เกิดจนเป็นหัวหลักหัวตอไร้สติปัญญา31ภพ
ถ้าฟังเข้าใจในรายละเอียดจริงๆภพภูมิต่างๆก็คือยังมีอวิชชาจะเกิดปัญญาระลึกรู้ตามต้องทำฟังตามปกติงัย
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 ก.ย. 2020, 21:03, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
คริคริ

เพราะคุณยายไม่ได้รู้จริง ตามคำโอ้

ความเคยชินของคุณยาย จึง วกๆๆๆ วนๆๆๆ
เหมาเอง ว่า หลงคิดว่า ความเคยชินนั้น เป็นฌาน

ความเคยชินชั้นต่ำแบบนั้น


ไม่ใช่ฌานในพุทธศาสนา หรอกค่ะ

ความเคยชินในพุทธศาสนา

คือ อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
และ ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค ผล

tongue tongue tongue

:b32:
สมาธิเป็นชื่อของเจตสิกชื่อว่าเอกัคตาเจตสิก
สมาธิเกิดกับจิตทุกดวงทั้งกุศลและอกุศล
ทุกดวงเป็นสมาธิใหม่ทุกขณะเลยนะ
เพราะว่าอะไรน๊าอ๋อมันดับทุกขณะจิต
ฌาน=เผาไหมธัมมะฝ่ายตรงข้าม555
ถ้าเป็นปุถุชนทำฌาน=เผาปัญญาทิ้งหมดปกติลืมตาก็หลงผิดไปทำหลับตาก็หลงกว่าเก่า555
ถ้าเป็นอริยบุคคลทำฌาน=พักผ่อนสบายๆชิวๆเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว
เดี๋ยวนี้ยังเอาตัวตนไปท่องพระไตรปิฏกเป็นดิกชันนารี่อยู่เลยเธอเอ๊ยยยย555บอกให้เริ่มฟังก็เป็นไม้แก่อยู่
เมื่อไหร่จะสำนึกได้ว่ายังไม่พึ่งการคิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้รู้ตัวเลยว่ามีกิเลสแค่ไหนนั่นน่ะ555
สุตมยปัญญา=ฟัง=ความจริงที่ทำได้ตรงปัจุบันขณะเพื่อให้สังขารขันธ์คิดตามเสียงได้แค่นี้ยังตีความไม่ถูก
คิดตรงได้ทีละ1คำตามทีละคำตามลำดับจนกว่าจะคิดตามถูกตัวแล้วรู้สึกตัวว่ายังมีตัว=มีมิจฉาทิฏฐิเยอะอยู่
ถ้าชาติหน้าไปเกิดเป็นแมวก็ลองพูดให้แมวฟังสิ...ลักขณูป...แมวมันฟังรู้เรื่องไหม...บอกว่าเกิดเป็นคนก็ฟังสิ
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 ก.ย. 2020, 20:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ฟัง=สุตมยปัญญา/ไม่ได้บอกให้เชื่อ
บอกให้ฟังคือสิ่งเดียวที่ทำได้ตรงปัจจุบัน
ศรัทธาฟังคำสอนคือสิ่งที่เกิดตอนกำลังฟังคำวาจาสัจจะ
https://youtu.be/bxplaiFY6gA
:b12:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
คริคริ

เพราะคุณยายไม่ได้รู้จริง ตามคำโอ้

ความเคยชินของคุณยาย จึง วกๆๆๆ วนๆๆๆ
เหมาเอง ว่า หลงคิดว่า ความเคยชินนั้น เป็นฌาน

ความเคยชินชั้นต่ำแบบนั้น


ไม่ใช่ฌานในพุทธศาสนา หรอกค่ะ

ความเคยชินในพุทธศาสนา

คือ อารัมมณูปนิชฌาน การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4
และ ลักขณูปนิชฌาน การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค ผล

tongue tongue tongue

:b32:
สมาธิเป็นชื่อของเจตสิกชื่อว่าเอกัคตาเจตสิก
สมาธิเกิดกับจิตทุกดวงทั้งกุศลและอกุศล
ทุกดวงเป็นสมาธิใหม่ทุกขณะเลยนะ
เพราะว่าอะไรน๊าอ๋อมันดับทุกขณะจิต
ฌาน=เผาไหมธัมมะฝ่ายตรงข้าม555
ถ้าเป็นปุถุชนทำฌาน=เผาปัญญาทิ้งหมดปกติลืมตาก็หลงผิดไปทำหลับตาก็หลงกว่าเก่า555
ถ้าเป็นอริยบุคคลทำฌาน=พักผ่อนสบายๆชิวๆเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว
เดี๋ยวนี้ยังเอาตัวตนไปท่องพระไตรปิฏกเป็นดิกชันนารี่อยู่เลยเธอเอ๊ยยยย555บอกให้เริ่มฟังก็เป็นไม้แก่อยู่
เมื่อไหร่จะสำนึกได้ว่ายังไม่พึ่งการคิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้รู้ตัวเลยว่ามีกิเลสแค่ไหนนั่นน่ะ555
สุตมยปัญญา=ฟัง=ความจริงที่ทำได้ตรงปัจุบันขณะเพื่อให้สังขารขันธ์คิดตามเสียงได้แค่นี้ยังตีความไม่ถูก
คิดตรงได้ทีละ1คำตามทีละคำตามลำดับจนกว่าจะคิดตามถูกตัวแล้วรู้สึกตัวว่ายังมีตัว=มีมิจฉาทิฏฐิเยอะอยู่
ถ้าชาติหน้าไปเกิดเป็นแมวก็ลองพูดให้แมวฟังสิ...ลักขณูป...แมวมันฟังรู้เรื่องไหม...บอกว่าเกิดเป็นคนก็ฟังสิ
:b12:
:b32: :b32:


คริคริ

น้ำกลิ้งไปติดไป ติดหู ติดคิดทีละคำๆ ติดใจมากมั๊ยจ๊ะ คุณยายโรส

โอ้แบบคนไม่รู้จุดมุ่งหมายในธรรมจริงๆ


นิพพานน่ะ ไม่เกาะเกี่ยวสิ่งใด ค่ะ

tongue tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2020, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ธัมมะที่เป็นกิจวัตรปกติของอริยบุคคล
ในการระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คือการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพียรฟังคำจริง
มีศรัทธา/ศีล/สุตะ/จาคะ/ปัญญาเข้าใจคำสอน
คือมีความเลื่อมใสตามปกติที่ฟังเพื่อสละความไม่รู้=เกิดปัญญา
ฟังคำสอนตามปกติที่คนหนึ่งคนพบใครคนนึงแล้ว
เข้าไปคลุกคลีเข้าไปนั่งใกล้เพื่อฟังธรรมจากพระโอษฐ์
ตัวเราถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโตจดจำตัวตนมามากมาย
เห็นประเพณีที่ทำตามๆกันมาไม่เคยศึกษาคำสอนโดยตรง
ได้แต่ทำตามความเชื่อบรรพบุรุษและคนชักชวนเชื่อให้ทำมากมาย
พอมีใครสักคนมาเตือนให้ฟังไม่สนใจเพราะไม่มีหลักกาลามสูตร10
คือเชื่อแล้วตามที่เคยทำมาแล้วโดยไม่เคยพึ่งพระพุทธเจ้าเลยแม้1คำ
ประมาทการฟังคำสอนเมื่อใดก็เมื่อนั้นกิเลสพอกพูนไปมหาศาลแล้วค่ะ
ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อแต่ปัญญาเป็นอะไรที่เริ่มต้นมาจากการฟังทุกวัน
เพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งที่ฟังนี้พระพุทธเจ้าพูดถูกหรือผิดหรือว่าเราฟังผิดคิดผิดอยู่
ฟังเพื่อไม่หลงผิดไปทำสิ่งอื่นตามคนอื่นเพราะขอทานโรคเรื้อนก็ฟังพร้อมคนอื่นนะคะ
ทุกคนที่ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์พร้อมๆกันเข้าใจแตกต่างกันตามระดับปัญญาที่เคยสะสมมา
เราไม่ฟังเลยไม่ศึกษาให้รอบคอบพระพุทธเจ้าอธิบายโดยละเอียดให้ฉลาดรอบรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
พระองค์แสดงธรรมทุกวันคนที่เคยมีปฏิบัติกับเกจิอาจารย์แล้วมาฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจก็ไปหาเกจิอาจารย์
ทราบไหมคะว่าการชักชวนกันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยโดยไม่พึ่งสุตมยปัญญาคือมิจฉามรรค
เกจิแปลว่าอื่นๆ/เกจิอาจารย์คืออาจารย์อื่นๆที่ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้แล้วแจกแจงละเอียดยิบเกจิอาจารย์ไม่ได้ตรัสรู้
อาจารย์อื่นก็อ่านแล้วก็คิดเอาไปทำคือสอนต่างจากพระพุทธเจ้าค่ะก็พระพุทธเจ้าสอนให้ฟังให้เข้าใจตามค่ะ
คนที่ไม่เคยฟังไม่เคยคิดได้ว่าไม่มีตัวเพราะเขาคิดว่าตัวเขาถูกเขาไม่ฟังว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีตัวตน555
ประเพณีของพระพุทธเจ้าไม่ใช้วัตถุสอนใครใช้คำพูดสอนทั้งคนและเทวดาอินทร์พรหมสมัยนี้เหรอดูให้รู้555
https://youtu.be/lTjW6VpcF1g
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2020, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ธัมมะที่เป็นกิจวัตรปกติของอริยบุคคล
ในการระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คือการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพียรฟังคำจริง
มีศรัทธา/ศีล/สุตะ/จาคะ/ปัญญาเข้าใจคำสอน
คือมีความเลื่อมใสตามปกติที่ฟังเพื่อสละความไม่รู้=เกิดปัญญา
ฟังคำสอนตามปกติที่คนหนึ่งคนพบใครคนนึงแล้ว
เข้าไปคลุกคลีเข้าไปนั่งใกล้เพื่อฟังธรรมจากพระโอษฐ์
ตัวเราถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโตจดจำตัวตนมามากมาย
เห็นประเพณีที่ทำตามๆกันมาไม่เคยศึกษาคำสอนโดยตรง
ได้แต่ทำตามความเชื่อบรรพบุรุษและคนชักชวนเชื่อให้ทำมากมาย
พอมีใครสักคนมาเตือนให้ฟังไม่สนใจเพราะไม่มีหลักกาลามสูตร10
คือเชื่อแล้วตามที่เคยทำมาแล้วโดยไม่เคยพึ่งพระพุทธเจ้าเลยแม้1คำ
ประมาทการฟังคำสอนเมื่อใดก็เมื่อนั้นกิเลสพอกพูนไปมหาศาลแล้วค่ะ
ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อแต่ปัญญาเป็นอะไรที่เริ่มต้นมาจากการฟังทุกวัน
เพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งที่ฟังนี้พระพุทธเจ้าพูดถูกหรือผิดหรือว่าเราฟังผิดคิดผิดอยู่
ฟังเพื่อไม่หลงผิดไปทำสิ่งอื่นตามคนอื่นเพราะขอทานโรคเรื้อนก็ฟังพร้อมคนอื่นนะคะ
ทุกคนที่ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์พร้อมๆกันเข้าใจแตกต่างกันตามระดับปัญญาที่เคยสะสมมา
เราไม่ฟังเลยไม่ศึกษาให้รอบคอบพระพุทธเจ้าอธิบายโดยละเอียดให้ฉลาดรอบรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
พระองค์แสดงธรรมทุกวันคนที่เคยมีปฏิบัติกับเกจิอาจารย์แล้วมาฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจก็ไปหาเกจิอาจารย์
ทราบไหมคะว่าการชักชวนกันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยโดยไม่พึ่งสุตมยปัญญาคือมิจฉามรรค
เกจิแปลว่าอื่นๆ/เกจิอาจารย์คืออาจารย์อื่นๆที่ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้แล้วแจกแจงละเอียดยิบเกจิอาจารย์ไม่ได้ตรัสรู้
อาจารย์อื่นก็อ่านแล้วก็คิดเอาไปทำคือสอนต่างจากพระพุทธเจ้าค่ะก็พระพุทธเจ้าสอนให้ฟังให้เข้าใจตามค่ะ
คนที่ไม่เคยฟังไม่เคยคิดได้ว่าไม่มีตัวเพราะเขาคิดว่าตัวเขาถูกเขาไม่ฟังว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีตัวตน555
ประเพณีของพระพุทธเจ้าไม่ใช้วัตถุสอนใครใช้คำพูดสอนทั้งคนและเทวดาอินทร์พรหมสมัยนี้เหรอดูให้รู้555
https://youtu.be/lTjW6VpcF1g
:b12:
:b4: :b4:


คริคริ

คุณยายโรสไม่เข้าใจ ในคำสอนแท้จริง

ตัวเองติดใจ ในประเพณี

ติดตามยูทู๊ป จนเป็นประเพณี เป็นกิจวัตร แต่ไม่รู้ตัว

เที่ยวมาสาละวนๆๆๆๆๆ ไปมา กับการเย็บปักถักร้อย

จากการฟังทีละคำๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็นำมา ประดิษฐ์ความคิดทีละคำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถักร้อยประดิษฐ์เป็นมาลัยแสนสวย

ร้อยมาลัย ก็ดูสวยดีนะคะ

แต่ๆๆๆๆ

แบบคุณยายโรสนั่น นั้น เค้าเรียกไทยๆว่า วิชาคหกรรมศาสตร์ ประดิษฐ์เย็บปักถักร้อย ค่ะ
ไม่ใช่การปฎิบัติในพระศาสนา

เกจิอาจารย์น่ะ ออกบวช เกิดบารมี
เค้าเรียกว่า เนกขัมมมะบารมี แปลว่านำออกค่ะ
ใช้กามกิเลส กามวัตถุ เป็นตัวสอน

ถูกต้องตรงตามพระพุทธองค์ที่ทรงสอน

ต่างกันกะ วิชาคหกรรมศาสตร์ ร้อยหูฟัง เข้ากะความคิดเป็นสาย แบบคุณยาย เนาะคะ

tongue tongue tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2020, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ธัมมะที่เป็นกิจวัตรปกติของอริยบุคคล
ในการระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คือการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพียรฟังคำจริง
มีศรัทธา/ศีล/สุตะ/จาคะ/ปัญญาเข้าใจคำสอน
คือมีความเลื่อมใสตามปกติที่ฟังเพื่อสละความไม่รู้=เกิดปัญญา
ฟังคำสอนตามปกติที่คนหนึ่งคนพบใครคนนึงแล้ว
เข้าไปคลุกคลีเข้าไปนั่งใกล้เพื่อฟังธรรมจากพระโอษฐ์
ตัวเราถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโตจดจำตัวตนมามากมาย
เห็นประเพณีที่ทำตามๆกันมาไม่เคยศึกษาคำสอนโดยตรง
ได้แต่ทำตามความเชื่อบรรพบุรุษและคนชักชวนเชื่อให้ทำมากมาย
พอมีใครสักคนมาเตือนให้ฟังไม่สนใจเพราะไม่มีหลักกาลามสูตร10
คือเชื่อแล้วตามที่เคยทำมาแล้วโดยไม่เคยพึ่งพระพุทธเจ้าเลยแม้1คำ
ประมาทการฟังคำสอนเมื่อใดก็เมื่อนั้นกิเลสพอกพูนไปมหาศาลแล้วค่ะ
ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อแต่ปัญญาเป็นอะไรที่เริ่มต้นมาจากการฟังทุกวัน
เพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งที่ฟังนี้พระพุทธเจ้าพูดถูกหรือผิดหรือว่าเราฟังผิดคิดผิดอยู่
ฟังเพื่อไม่หลงผิดไปทำสิ่งอื่นตามคนอื่นเพราะขอทานโรคเรื้อนก็ฟังพร้อมคนอื่นนะคะ
ทุกคนที่ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์พร้อมๆกันเข้าใจแตกต่างกันตามระดับปัญญาที่เคยสะสมมา
เราไม่ฟังเลยไม่ศึกษาให้รอบคอบพระพุทธเจ้าอธิบายโดยละเอียดให้ฉลาดรอบรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
พระองค์แสดงธรรมทุกวันคนที่เคยมีปฏิบัติกับเกจิอาจารย์แล้วมาฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจก็ไปหาเกจิอาจารย์
ทราบไหมคะว่าการชักชวนกันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยโดยไม่พึ่งสุตมยปัญญาคือมิจฉามรรค
เกจิแปลว่าอื่นๆ/เกจิอาจารย์คืออาจารย์อื่นๆที่ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้แล้วแจกแจงละเอียดยิบเกจิอาจารย์ไม่ได้ตรัสรู้
อาจารย์อื่นก็อ่านแล้วก็คิดเอาไปทำคือสอนต่างจากพระพุทธเจ้าค่ะก็พระพุทธเจ้าสอนให้ฟังให้เข้าใจตามค่ะ
คนที่ไม่เคยฟังไม่เคยคิดได้ว่าไม่มีตัวเพราะเขาคิดว่าตัวเขาถูกเขาไม่ฟังว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีตัวตน555
ประเพณีของพระพุทธเจ้าไม่ใช้วัตถุสอนใครใช้คำพูดสอนทั้งคนและเทวดาอินทร์พรหมสมัยนี้เหรอดูให้รู้555
https://youtu.be/lTjW6VpcF1g
:b12:
:b4: :b4:


คริคริ

คุณยายโรสไม่เข้าใจ ในคำสอนแท้จริง

ตัวเองติดใจ ในประเพณี

ติดตามยูทู๊ป จนเป็นประเพณี เป็นกิจวัตร แต่ไม่รู้ตัว

เที่ยวมาสาละวนๆๆๆๆๆ ไปมา กับการเย็บปักถักร้อย

จากการฟังทีละคำๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็นำมา ประดิษฐ์ความคิดทีละคำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถักร้อยประดิษฐ์เป็นมาลัยแสนสวย

ร้อยมาลัย ก็ดูสวยดีนะคะ

แต่ๆๆๆๆ

แบบคุณยายโรสนั่น นั้น เค้าเรียกไทยๆว่า วิชาคหกรรมศาสตร์ ประดิษฐ์เย็บปักถักร้อย ค่ะ
ไม่ใช่การปฎิบัติในพระศาสนา

เกจิอาจารย์น่ะ ออกบวช เกิดบารมี
เค้าเรียกว่า เนกขัมมมะบารมี แปลว่านำออกค่ะ
ใช้กามกิเลส กามวัตถุ เป็นตัวสอน

ถูกต้องตรงตามพระพุทธองค์ที่ทรงสอน

ต่างกันกะ วิชาคหกรรมศาสตร์ ร้อยหูฟัง เข้ากะความคิดเป็นสาย แบบคุณยาย เนาะคะ

tongue tongue tongue

:b32:
ปัญญาคือการแตกฉานในการตีความคำต่างๆในพระไตรปิฏกในภาษาโคตรตัวเอง
ภาษาบรรพบุรุษลึกๆในกมลสันดานแท้จริงตรงๆไม่มีอ้อมค้อมแบบว่าบวชแล้วเลี่ยงคำ
เปลี่ยนชื่อเงินเป็นปัจจัย555บวชแปลว่าสละแล้วไม่ขอรับอะไรอีกแล้วไม่ทำงานหากินแล้วทิ้งเงิน
หาฉันโดยใช้ปลีแข้งเลียงชีพเดินบิณฑบาตเพื่อรับอาหารไม่เกินขอบบาตรฉันแค่อิ่มไม่เกินเที่ยงก็ทิ้ง
ไม่เก็บกักตุนเสบียงอาหารแห้งใดๆเพราะไม่เลี้ยงดูใครและประกอบอาหารเองไม่ได้ไม่นอนร่วมชายคา
หลังแตะพื้นได้แค่หลังเดียวความกว้างของพื้นที่ที่ใช้นอนใช้ไม่เยอะกุฏิไม่ใหญ่เกินไปเพราะพักได้1ตัวคน
แล้วตัวคนก็มี1ตัวกว้างแค่คืบยาวแค่วาหนาแค่ศอกถ้าเทียบก็พื้นที่ตัวแล้วขนาดก็พอกันกะโลงศพคิดออกมั๊ย
:b32:
แกรู้มั็ยโลกสวยว่าในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างวัดถวายพระองค์
เพราะมีผู้บรรลุอรหันต์จำนวนมากไม่มีที่พักเพราะพระอรหันต์ทุกองค์ไม่ขนสมบัติและญาติมาออกบวชด้วย
แกรู้มั๊ยโลกสวยว่าการใช้มือพลิกตำราเปิดอ่านพระไตรปิฏกแล้วก็ปิดไว้เก็บในตู้พระไตรปฏกไม่แก้อุปนิสัย
เพราะจับตำรามาอ่านและท่องจำได้หมดเป็นแค่การลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติเป็นแค่ดิกชินนารีแต่ตัวคนโง่
เพราะสังขารขันธ์คือปัญญาปรุงแต่งเกิดเข้าใจรายละเอียดจากคนอื่นที่เข้าใจอธิบายเพื่อขูดเพื่อขัดเกลาจิต
คำพูดที่อธิบายให้ฟังคือเสียงที่เป็นแสงสว่างในความมืดส่องประทีปที่พระพุทธเจ้าถือและชูขึ้นส่องทางสว่าง
สรุปได้ว่าที่แกโลกสวยเขียนมาคือแกยังไม่รู้จักตัวโคตรเหง้าอวิชชาอยู่เลยแกแปลว่าโคตรโง่เหง้าเต่าตุ่นอยู่
สรุปสั้นๆคนที่ไม่ฟังพระพุทธพจน์จากผู้มีปัญญาแปลว่ายังโง่อยู่เลยล่ะแกลองคิดสิแกบวชรับเงินตกนรกมั๊ย
:b12:
:b16: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร