วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2020, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“..การที่จะให้ใครช่วยเหลือทำอะไร ต้องเลือกคนที่มีปัญญา ที่รู้จักผิดถูก ควรไม่ควร มิใช่ว่าถ้าเขามุ่งดีปรารถนาดีแล้ว เป็นมอบการงานให้ทำเรื่อยไป เพราะถ้าเป็นคนขาดปัญญา แม้จะทำด้วยความตั้งใจช่วยจริง แต่ก็อาจจะทำการที่เป็นโทษแม้อย่างอุกฤษฏ์ก็ได้..”

๑๐๐ คำสอน
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร










#อุปการคุณของมารดาบิดา

"ผู้เป็นบุพการีของบุตรธิดาทั้งหลาย
แล้ว มารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิดเกิด
เกล้าแก่บุตรธิดาทั้งหลาย มารดาบิดา
เป็นผู้เลี้ยงดูบุตรธิดามาแต่แรกเกิด จึง
เรียกว่า มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร
มารดาบิดาเป็นผู้แนะนำพร่ำสอนบุตร
ธิดาก่อนอาจารย์ทั้งหลาย จึงเรียกว่า
มารดาบิดาเป็นบุพพาจารย์ของบุตร.."

#มารดาบิดาเป็นผู้ตั้งหลักฐาน

"ให้แก่บุตรธิดา โดยมิได้คิดดอกเบี้ย
กำไรแต่ประการใด จึงเรียกว่า เป็น
นายทุนของบุตร นี่คือ บุพการีบุคคล
เป็นบุคคลที่ทำอุปการคุณแก่บุตรธิดา
ทั้งหลายในโลกนี้มาก่อนแล้ว พระคุณ
ทั้งหลายเหล่านี้เกินกว่าค่าจ้างรางวัล
ธรรมดา​ เป็นคุณค่าที่ไม่สร่างซา..
ตลอดกัปตลอดกัลป์.. "

#พระอาจารย์วัน_อุตฺตโม








...วันนี้วันที่เท่าไหร่
จะไปทำธุระกับใครที่ไหน
มีอะไร ..”อย่าไปคิด”
ถ้าไปปฏิบัติธรรม ไม่มีภารกิจอะไร
ภารกิจอย่างเดียวก็คือ..
“ดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบัน”
อย่าให้ไปอดีต อย่าให้ไปอนาคต
เพราะสติก็คือ..
“การมีสติตั้งอยู่ในปัจจุบันนี่แหละ”
ถึงจะเรียกว่า..มีสติ .
.......................................
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 19/3/2563
ณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










#นอกเหตุ_เหนือผล

พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ทำงานเพื่องาน ไม่ต้องการอะไร ถ้าคนเราทำงานเพื่อต้องการอะไร ก็เป็นทุกข์ ลองดูก็ได้ พอนั่งปั๊บก็ต้องการความสงบ ก็นั่งอยู่นั่นแหละ กัดฟันเป็นทุกข์แล้ว นั่นลองคิดดูซิ มันละเอียดกว่ากันอย่างนี้ คือทำแล้วปล่อยวางๆ อย่างเช่น พราหมณ์บูชายัญ เขาต้องการสิ่งที่เขาปรารถนานั้นอยู่ การกระทำเช่นนั้นของพราหมณ์นั้นก็ยังไม่พ้นทุกข์ เพราะเขามีความปรารถนาจึงทำ ทำแล้วก็ทุกข์เพราะทำด้วยความปรารถนา
----------
ครั้งแรกเราทำก็ด้วยปรารถนาให้มันเป็นอย่างนั้น ทำไปๆ ทำจนกว่าที่เรียกว่าไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ทำเพื่อปล่อยวาง มันลึกซึ้งอย่างนี้ คนเราปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการอะไร เพื่อต้องการนิพพานนั่นแหละ จะไม่ได้พระนิพพาน ความต้องการอันนี้เพื่อให้มีความสงบ มันก็เป็นธรรมดาแต่ว่าไม่ถูกเหมือนกัน จะทำอะไรก็ไม่ต้องคิดว่าจะต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นอะไร ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นอะไรมันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ
----------
การทำงานไม่ให้เป็นอะไรนั้นเรียกว่า “ทำจิตให้ว่าง” แต่การกระทำมีอยู่ความว่างนี้พูดให้คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนทำไปจะรู้จักความว่างนี้มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามันว่างในสิ่งที่มันไม่มี มันว่างในสิ่งที่มันมีอยู่ เช่น ไฟฉายนี้นะ มันไม่ว่าง แต่เราเห็นไฟฉายนี้มันว่าง ว่างก็เพราะมีไปฉายนี้ ไฟฉายนี้เป็นเหตุให้มีว่าง ไม่ใช่ว่างขณะนั้นมองดูไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น คนฟังความว่างก็ไม่ค่อยออกเหมือนกัน ไม่ค่อยจะรู้จักอย่างนั้น ต้องเข้าใจความว่างในของที่มีอยู่ ไม่ใช่ความว่างในของที่ไม่มี
----------
ลองอย่างนี้สิ นี่ถ้าหากว่าใครยังมีความปรารถนาอยู่ อย่างพราหมณ์ที่บูชายัญ ที่พราหมณ์บูชายัญก็เพราะเขาต้องการอะไรอันใดอันหนึ่งอยู่ เหมือนกันกับโยมมาถึงก็กราบพระ “หลวงพ่อ...ผมขอรดน้ำมนต์” “ทำไม...รดทำไม” “ต้องการกินดีอยู่ดี ไม่เจ็บไม่ไข้” นั่นแหละ มันไม่พ้นทุกข์แล้วถ้ามันต้องการอย่างนั้น ทำอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น ทำอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้
----------
ในทางพระพุทธศาสนาให้ทำเพื่อไม่ต้องการอะไร ถ้ามีเพื่ออะไร มันไม่หมด ทางโลกทำอะไร เรียกว่ามันมีเหตุผล พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่าให้ “นอกเหตุ เหนือผล” ไม่ว่าจะทำอะไร ปัญญาของท่านให้นอกเหตุเหนือผล ให้นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์ ลองคิดตามไปซิ ลองพิจารณาตามไป คนเราเคยอยู่ในบ้าน พอหนีจากบ้านไปไม่มีที่อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเรามันเคยอยู่ในภพ อยู่ในความยึดมั่นถือมั่นเป็นภพ ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เรียกว่าไม่รู้จะทำอะไร
----------
เหมือนอย่างคนส่วนมากไม่อยากไปพระนิพพานเพราะกลัว เพราะเห็นไม่มีอะไร ดูหลังคากับพื้นนี่ ที่สุดข้างบนคือหลังคา ที่สุดข้างล่างคือพื้น อันนั้นมันเป็นภพข้างบน อันนี้เป็นภพข้างล่าง ระยะที่ภพทั้งสองนี้มันต่อกัน มันว่างๆ คนไม่รู้จัก เหมือนที่ว่างระหว่างหลังคากับพื้น เห็นมันว่างๆ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหน ต้องไปอยู่บนหลังคา หรือไม่อย่างนั้นก็ที่พื้นข้างล่าง
----------
ที่ๆ ไม่มีอยู่นั่นแหละมันว่าง เหมือนกับที่ไม่มีภพนั่นแหละก็เรียกว่ามันว่า ตัดเยื่อใยออกเสียมันก็ว่าง พอบอกว่าพระนิพพานคือความว่าง ถอยหลังเลยไม่ไป กลัว กลัวจะไม่ได้เห็นลูก กลัวจะไม่ได้เห็นหลาน กลัวจะไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างที่เวลาพระท่านให้พรญาติโยมว่า อายุ วัณโณ สุขัง พลัง โยมก็ดีใจ สาธุ เพราะชอบ มันจะได้อายุหลายๆ วรรณะผ่องใส มีความสุขมากๆ มีพลังหลายๆ คนชอบใจ ถ้าจะพูดว่าไม่มีอะไรแล้ว เลิกเลย ไม่ต้องเอาแล้ว
----------
คนมันติดอยู่ในภพอย่างนั้น บอกไปตรงนั้น ไม่ไป ไม่มีที่อยู่แล้ว อายุ วัณโณ สุขัง พลัง เออ! ดีแล้ว อายุให้ยืนยาว วัณโณให้มีวรรณะผิวพรรณสวยงาม ให้มีความสุขมากๆ ให้มีอายุยืนๆ คนอายุยืนๆ มีผิวพรรณดีมีไหม เคยมีไหม คนอายุหลายๆ มีพลังมากๆ มีไหม คนมีอายุมากๆ มีความสุขมากๆ มีไหม พอให้พรว่า อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ดีใจสาธุกันทั้งหลาย ทั้งศาลาเลย นี่แหละมันติดอยู่ในภพนี้ เหมือนอย่างพราหมณ์บูชายัญ ที่ทำพิธีบูชายัญเพราะต้องการสิ่งที่เขาปรารถนา
--------------------------------------
#หลวงพ่อชา_สุภัทโท










"จงเห็นทุกข์ รู้ทุกข์
แต่อย่าเป็นทุกข์"

" อย่ามีความหลงใหล
ใฝ่ฝันในชีวิต จงอย่าคิดว่า
เราไม่ตาย เราไม่แก่
ให้คิดถึงอริยสัจเสียก่อน
เป็นอันดับแรก
โดยเฉพาะทุกขสัจ

พระพุทธเจ้าทรงสอน
ไม่ว่าสอนใครทั้งหมดเมื่อขึ้น
สุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ

คิดให้เข้าใจเพียงแค่
ทุกขสัจอย่างเดียว
ให้เข้าใจจริงๆ
ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว
อีก 3 ตัวปรากฏ

คำว่าสมุทัย
เหตุให้เกิดทุกข์
ในเมื่อเรารู้ทุกข์
เราก็รู้ว่า
ใครทำให้เราทุกข์
อะไรทำให้เราเป็นทุกข์
ไม่ต้องไปนั่งคิด

ถ้าเราเห็นทุกข์ และ
เข้าใจในทุกข์แล้ว
ก็มีความเบื่อหน่ายในทุกข์
เพราะการเกิด
นิโรธความดับมันก็เกิด

เมื่อนิโรธความดับ
เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ชื่อว่า
ถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนา

คือ ความเข้าใจถึงที่สุด
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก











"คนทำบุญไม่จำเป็นต้องไปประกาศให้ใครรู้

ถ้าจิตของเราเป็นบุญแล้ว
ทำบุญอยู่ที่ไหนมันจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ
ไม่ต้องฉลอง ไม่ต้องให้ใครรู้
ไม่ต้องให้คนเห็น ไม่ต้องมีอะไร
มีแต่กำลังจิตที่เชื่อมั่นในความดี"

- หลวงปู่ชา สุภทฺโท









“ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด
ถ้าคิดไม่ได้ ให้ช่วยทำ
ถ้าทำไม่ได้ ให้ความร่วมมือ
ถ้าร่วมมือไม่ได้ ให้กำลังใจ
แม้ให้กำลังใจไม่ได้ ให้สงบนิ่ง”

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชฯ











ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมใครกรรมมัน เรื่องแก่ เจ็บ ตาย มีประจำโลกอยู่แล้ว. ให้ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง.กำจัดภัยได้จริง /

หลวงปู่ บุญจันทร์ สีลคุโณ.










เมื่อเราปฏิบัติธรรม. ไม่ว่าอารมณ์ใดจะเกิดขึ้น. ก็ช่างมัน. ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ. ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภทฺโท










#การเพ่งที่กายอย่างเดียว_ตลอดทุกอิริยาบถ_ตามหนังสือมุตโตทัย ก็เป็นการถูกต้องดีแล้ว.

เพราะมีสติอยู่กับกาย.
#ตรงกับคำที่ #พระมหากัสสปะกล่าว

และท่านก็สมาทานว่า..

#เราจะพิจารณากายเป็นอารมณ์.

ทั้งกายนอก และกายใน กายใกล้. ให้เป็นสักแต่ว่า. ดิน น้ำ ไฟ ลม. มันจะรวมหรือไม่รวม. ก็เอากายเป็นตัวประกัน.

#เมื่อมันยังไม่หน่าย

ไม่คลายความกำหนัด ตราบใดก็จำเป็นจะได้ม้างกาย รื้อกายให้เห็นตามเป็นจริงว่า..

เป็นของปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก พร้อมทั้งมีโรคต่างๆ เกิดขึ้น. สารพัดโรคจิปาถะ.

พระพุทธศาสนาจึงยืนยันว่า..

#กายนี้มีทุกข์มากมีโทษมาก
#เหล่าอาพาธต่างๆย่อมตั้งอยู่ในกายนี้

โรคในตา โรคในหู โรคในจมูก โรคในลิ้น โรคในฟัน โรคในปาก โรคในทวารหนักทวารเบา โรคกลาก โรคเกลื้อนกุฏฐัง โรคฝีทุกชนิด เหล่านี้เป็นต้น. ถ้าจะไล่โรค. ให้ครบในกายนี้. ก็จะไม่มีที่เสียแล้ว.

#การที่พิจารณาอย่างนี้เป็นสติ_และปัญญาไปในตัว

เป็นศีล สมาธิ ปัญญากลมกลืนกันด้วย คนเราและสัตว์ทั้งปวงตลอดทั้งเทวดาพรหม ถ้ารู้เท่ากายแล้ว การหลงหนังหุ้มก็เบาลง...
____
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต







#การไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้ากิเลสยังมีอยู่ มันก็เกิดอยู่ร่ำไป
#เพราะความคิด_เป็นเหตุให้เกิดความอยาก
ความอยากเป็นต้นเหตุให้เกิดการกระทำ การกระทำเป็นเหตุให้เกิดการได้ คือบุญบาป เมื่อมีบุญบาปก็ต้องเกิดต่อไปอีก
——-
หลวงปู่พวง สุวีโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร