วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2020, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...เราต้องไปโลกทิพย์
ไปต่างประเทศกันทุกคน

...เราเตรียมตัวหรือยัง
"ขอวีซ่ารึยัง"
จะไปดาวดึงส์ สุทธาวาส
อริยภูมิ หรืออบายดี

..."ทำบุญก็คือทำวีซ่ากับสวรรค์ชั้นต่างๆ
ทำบาปก็ทำวีซ่าสำหรับเดรัจฉาน
เปตร อสุรกาย และนรก"

...เจริญสติ สมาธิ ปัญญา
"ก็ทำวีซ่ากับ.. โสดาบัน สกิทาคามี
อนาคามี และอรหันต์".
.............................
.
ธรรมะบนเขา
ณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










“ทำบุญคนเป็นได้บุญหลาย”

“ทำบุญคนตายได้บุญน้อย”

ทำบุญคนเป็นนี้คือ เราทำทาน รักษาศีล ภาวนา เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ ส่วนคนตายไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำบุญ ได้แต่รอรับส่วนบุญและอนุโมทนาส่วนบุญที่เขาอุทิศให้...

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร
วัดภูเขาดิน อ.เชียงคาน จ.เลย












" เมื่อจะปฏิบัติ ก็จงปฏิบัติอย่างมีคุณภาพ ถึงแม้ว่าเมื่ออยู่บ้าน เราจะมีเวลาปฏิบัติได้ไม่นานนัก ก็ทำเวลานั้นให้มีคุณภาพ มีคุณภาพด้วยการ "ตั้งอกตั้งใจ"

ไม่ใช่สักแต่ว่านั่งพอเป็นพิธี หรือไม่ตั้งใจ ปล่อยจิตให้ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอดีตบ้าง หรือปล่อย
ให้จิตเพ้อฝันเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงบ้าง นาน​ ๆ เข้าเราก็จะรู้สึกท้อแท้ใจ นั่งสมาธิไม่เห็นได้เรื่องเลย

การปฏิบัติของเรามักจะไม่ได้ผล เพราะขาด "ความต่อเนื่อง" หรือ "ความสม่ำเสมอ" ใน
การปฏิบัติ ซึ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรา

คนบางคนขยันก็ปฏิบัติ ขี้เกียจขี้คร้านก็ไม่ปฏิบัติ จิตใจสบายก็นั่งสมาธิบ้าง จิตใจวุ่นวายกลัดกลุ้มซึมเศร้าก็ไม่นั่ง

เหตุผลที่ไม่นั่ง เพราะคิดว่า ถ้านั่งก็คงไม่สงบ นี่เป็นความคิดผิด เพราะถ้าเราไม่ฝึกนั่ง ย่อมไม่มี
วันที่เราจะสามารถชนะจิตใจของตนเอง ไม่มีวันที่เราจะได้พ้นจากความวุ่นวาย "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท








เราบอกได้เลย คนมันไม่ได้ตายเพราะโรค มันจะตายเพราะไม่มีอยู่มีกิน มันจะตายเพราะโรคเครียด เพราะมันกลัวโรค

โลกทุกวันนี้ คนทุกวันนี้ เป็นคนคิดสั้น ไม่มีเครื่องยึด ไม่มีสรณะ ใครบอกว่าการสวดมนต์นี่ไม่ทำให้โรคหาย แต่การเข้าหาศาสนามันมีหลัก ไม่ตื่นตระหนก ไม่เป็นคนขี้ขลาด แต่ไม่ใช่คนอาจหาญจนบ้าบิ่น ยุควิกฤตอย่างนี้ คนต้องมีสติ มันไม่ใช่คนขี้ขลาด ขี้ขลาดจนไม่ทำมาหากิน ขี้ขลาดกระทั่งไม่รู้จักรักษาเจ้าของ

เราจึงบอกว่า เมืองไทยนี่ เป็นเมืองพุทธ เรามั่นใจว่า คนจะไม่ตาย แต่ยังไงเชื้อโรคก็ต้องแพร่ จำคำเราให้ดี เชื้อโรคยังไงก็ต้องแพร่กระจายไปทั่ว แต่คนตายจะน้อย เพราะเมืองไทยมีพุทธศาสนา มีสามฤดู เราบอกหลายครั้งแล้ว ฤดูฝน ฤดูแล้ง ฤดูร้อน นี่เข้ากับหลักเลย โรคนี้มันไม่ชอบความร้อน แต่เมืองนอกเขาไม่มีสามฤดู ไม่มีพระรัตนตรัย ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หนาวก็หนาวจัด เพราะฉะนั้น เชื้อโรคจึงร้ายแรง ภูมิคุ้มกันของแต่ละคนแต่ละประเทศมันไม่เหมือนกัน

เมืองไทยเรานี่ อากาศช่วงนี้ก็ร้อน เราอย่าไปตื่นตระหนกจนเกินเหตุเกินผล แต่อย่าไปอาจหาญจนบ้าบิ่น ให้รู้จักเซฟตื้ ให้รู้จักรักษาตัวของใครของมัน ไม่ใช่จะเที่ยวเพ่นพ่านไปนู่นไปนี่ นั่นก็ไม่ถูก

โรคนี้มาจากอะไรรู้ไหม มาจากคนไม่มีศาสนา ติดนี่ไม่ได้ติดเพราะคนไปวัด มันติดเพราะอบายมุข ฟังให้ดี เชื้อโรคที่แพร่ออกมานี่ไม่ใช่แพร่เพราะคนไปทำดี มันไปอบายมุข สถานที่อโคจร ไม่ควรจะไปเราก็ไป เพราะเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า โรคที่มันระบาดทุกวันนี้ ไม่ใช่ระบาดเพราะเรื่องอะไร เพราะมนุษย์ไม่มีศีลธรรม มนุษย์ไม่เข้าวัดเข้าวาเข้าหาศาสนา มันเข้าไปแต่อบายมุข มันก็เลยไปติดเชื้อมา ตั้งแต่สนามมวย สนามชนไก่ ไปติดมาจากนี่ทั้งนั้น สิ่งที่มันเป็นปรปักษ์กับศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นอบายมุข ปากทางแห่งความฉิบหาย หนทางแห่งความย่อยยับ แต่พวกเราก็เดินเข้าไป เดินเข้าไปมันก็ต้องเจอสิ (มีต่อ)

พระอาจารย์โสภา สมโณ
วัดแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
๒๙ มีนาคม ๒๕๖๓









"เมตตา กรุณา ถ้าขาดอุเบกขา ก็ยังเป็นทุกข์อยู่"

ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก







"จงคิดอยู่เสมอว่า เรามีเวลาเหลืออยู่แค่วันนี้
หรือชั่วโมงนี้ จะได้รีบทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
มิใช่มานั่งโกรธ นั่งเกลียด คิดริษยากัน
เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์"

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม










"หัดพูดแต่คำวาจา ที่ประสานมิตรไมตรีจิตต่อกัน และกัน
ไม่ไปยุให้รำ ตำให้รั่ว ไม่ไปยุยง ให้ใครทะเลาะวิวาท
แตกร้าวสามัคคีกัน

พูดแต่วาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ต่อบุคคลทั่วไป
เว้นจากการพูดคำหยาบโลนต่างๆ พูดแต่เรื่อง
ที่เป็นประโยชน์ต่อตน และผู้อื่น

เรื่องใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตน และผู้อื่นแล้ว
ก็ไม่พูด เพราะเสียเวลาไปเปล่าๆ นิ่งเสียดีกว่า"

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ











#พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส #ใช้ความสงบสยบความกลัว

ท่ามกลางความวิกฤติวุ่นวายเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่คุกคามรุนแรงอยู่ในขณะนี้นั้น อยากจะบอกญาติโยมพี่น้องลูกหลานว่า ..

#นับเป็นโอกาสดี #นาทีทองของพวกเราทั้งหลาย

ชาวพุทธและชาวไทยทั่วโลกที่ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาจะได้ประกาศความเป็นชาวพุทธของตน ด้วยการปฎิบัติบูชา สวดมนต์นั่งสมาธิภาวนา

#ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน #คอนโดห้องชุด #หามุมสงบสวดมนต์เสร็จก็ให้ทำสมาธิต่อเลย

สำหรับผู้เคยฝึกมาแล้วก็ทำได้ทันทีตามแบบตามฉบับที่ตัวเองเคยฝึกเคยทำมา ทำบ้านทำคอนโดให้เป็นวัดเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมในทันที

วิธีนั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น เสร็จแล้วให้เอาสติมารู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าและหายใจออก เมื่อหายใจเข้าให้กำหนดคำบริกรรมว่า พุท เมื่อหายใจออกให้กำหนดคำบริกรรมว่า โธ กำหนดเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

#หรือจะให้เข้ากับสถานการณ์

ก็ให้กำหนดลมเข้า ว่า ไม่ กำหนดลมหายใจออกว่า ติด ไม่ติดๆ ไปเรื่อยๆอย่างนี้

#มันไม่ได้ยากอะไรเลยการทำสมาธิภาวนานี่

ไม่ได้ไปแบกจั่วหามเสาไม่ได้ไปขนปูนแบกทรายกลางแดดกลางลมเลย นั่งสะดวกสบายอยู่ในห้องแอร์นั่น นี่ผู้ปฎิบัติยุคโซเชี่ยล เป็นอย่างนี้

#ในเมื่อเขาประกาศเคอร์ฟิวข้างนอกได้
#เราก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายใน

คือกักใจให้อยู่ภายในไม่ให้ออกไปฟุ้งซ่านได้เหมือนกันนี่ แถมได้บุญได้กุศลเพราะได้รับความงบสบายใจ ไม่คิดฟุ้งซ่านไม่วิตกวิจารณ์ ไม่ส่งจิตส่งใจออกไปให้วุ่นวายอย่างที่เคยเป็น

#ปิดหูปิดตา #นั่งดูจิตใจตัวเองอย่างที่ว่ามา

ทำให้ได้ทุกวันทุกวัน ทำกันทั้งครอบครัว สร้างความดี ต้านภัย ใจย่อมสงบร่มเย็น ไม่วิตกหวาดกลัวอีกต่อไป

#นี่จึงบอกว่าเป็นโอกาสดี #นาทีทองที่เราจะได้ปฎิบัติบูชาพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และเป็นการสร้างบุญที่เลิศที่สุดให้กับตัวเราเอง. เรียกว่าพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีกว่ามานั่งวิตกหวาดกลัวฟุ้งซ่านไปวันๆ ไม่มีประโยชน์

#ให้สร้างความสงบสยบความกลัว
#ประกาศเคอร์ฟิวใจของตนในทันที

เพื่อสิ่งที่ดีจะได้บังเกิดขึ้นคือได้รับความสุขความสงบทางด้านจิตใจ ย่อมชื่อว่าเป็นชาวพุทธ รู้ ตื่น เบิกบานด้วยธรรม

#เมื่อทำได้อย่างนี้ #ย่อมเป็นเกราะเป็นภูมิคุ้มกันภัยที่ดีที่สุด

ในภาวะที่บ้านเมืองเราประกาศห้ามออกนอกบ้านนอกเรือน เราก็ต้องประกาศกักใจตนเองเองไม่ให้เพ่นพ่าน ฟุ้งซ่านไปนั่นมานี่เช่นกันก็จะได้ประโยชน์กายไม่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใจก็ไกลจากความวิตกกังวลเศร้าหมอง ย่อมอยู่สุขสงบได้ด้วยผลแห่งการปฎิบัติธรรม ดังนี้

พระอาจารย์รังสรรค์
4 เมษายน 2563











“#กรรมหูหนวกจากการรบกวนพระขณะแสดงธรรม”

...ใครพูดอะไร อยู่ที่ไหน ฮึ ไปบอกเพิ่น มันสวนทางกัน เดี๋ยวมันสิหูหนวก ตาบอด เวลาพูดกันเอาปากไปใส่กับหู พูดซิบเอาก็ได้ มันต้องพูดให้คนอื่นรู้ด้วยได้ยิน

มีตาผ้าขาวคนหนึ่งอยู่กับ “หลวงปู่ชอบ ฐานสโม” สมัยหลวงปู่ชอบยังมีชีวิตอยู่ แกหูหนวก แต่หนวกไม่เต็มร้อย ประมาณหกสิบหรือเจ็ดสิบ พอได้จังหวะว่างๆ ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ บอกว่า “หลวงปู่ๆ หูกระผมทำไมมันจึงหนวก หลวงปู่พิจารณาดูให้กระผมด้วย กระผมมีกรรมอะไร”

ท่านกำหนดอยู่สักพักหนึ่ง ท่านก็บอกว่า “ที่หูเธอหนวกนี่ เวลาพระท่านแสดงธรรมอยู่ ท่านเทศน์อยู่ เธอไปพูดให้เสียงน่ะไปกระทบที่ท่านแสดงธรรมอยู่ ทำให้พระท่านแสดงธรรมเสียสมาธิไปสองครั้ง เสียสมาธิในการแสดงธรรมไปสองหน สองครั้ง”

หนวกก็ดี บอดก็ดีตา อวัยวะทุกส่วนก็ดี ที่มันพิกลพิการ ที่มันวิปริตไม่เหมือนเพื่อนมนุษย์เขา อยู่ๆ ถ้าไม่มีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง...มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงว่า ให้สังวรณ์ระวังรักษา ให้ทำความเข้าใจ ให้รักษาความสงบเวลาท่านเทศน์ อย่าไปยุ่ง และก็พวกทายกทายิกาก็เหมือนกันอย่าไปรบกวน ถ้าจะพูดมีธุระธุรังอะไรให้ลุกหนี เรียกกันไปออกไปข้างนอก ไปพูด อย่าให้มากระทบกับท่าน

ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเล่น ผู้ใดประพฤติดีปฏิบัติธรรมดีมันก็ให้ผลดี เขาถึงได้ว่ากรรมเป็นของสำคัญที่พวกเราสวดมาเมื่อสักครู่นี้ เรามีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือเป็นบาปเราจะเป็นทายาทคือว่าจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป กรรมดีให้ผลเป็นสุข กรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีกรรมเลย กรรมชั่วน่ะมันก็ไม่ได้รับผลเลย ถ้ามีกรรมดี กรรมดีก็ให้ผลไปตลอดจนจะหมดไปสิ้นไปแห่งบาปกรรม

—————
“พระอาจารย์บุญมา คัมภีรธัมโม”
วัดป่าสีห์พนม ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร








#กำลังใจจากหลวงปู่ไม

#แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น.
#เราก็จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปให้ได้.

เพราะเวลาที่เราจะย่างก้าวเข้าไปถึงเส้นชัยนั้น. เหลือเวลาอยู่ไม่ถึงศอก. เราก็จะหยุดเสียแล้ว. หรือไม่ถึงวาเราก็จะหยุดเสียแล้ว.

เมื่อเราหยุดแล้ว. ก็เหมือนกับว่าเราได้ตั้งต้นใหม่. (#เหมือนว่าเราต้องตั้งต้นใหม่)

หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา









"โลกนี้...
ทำดี..มันก็นินทา
ทำไม่ดี..มันก็นินทา
อยู่เฉยๆ..มันก็ต้องนินทา
มันมีปาก..แล้วแต่มันจะพูดไป
ใครพูดก็คนนั้นซิ..บาป
คนพูด..เขาก็บาปเอง
เขาก่อเหตุขึ้นมาเอง..ของเขา
เรียกว่า..กรรม เป็นของๆตน"

- หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป









" เมื่อจิตของเราเป็นไป
ในทางไม่ชอบ เป็นไป
เพื่อพยาบาท ก็ให้นั่งนึก
ไป ๒ ทางคือ

๑. ให้นึกถึงความดีของเขา
ที่มีแก่เราบ้าง บางส่วนเมื่อ
พบเข้าแล้ว ก็จะเกิดความรัก
ความสนิท ทำให้จิตเกิด
เมตตาขึ้น นี้ทางหนึ่ง

๒. ความพยาบาท เป็น
ของไม่ดี เปรียบเหมือน
สวะที่ปิดอยู่บนผิวน้ำ
ถ้าเราโง่ เราก็มิได้ดื่มน้ำ
หรือน้ำที่โสโครก ถ้าเรา
ไปดื่มเข้าก็เป็นเหตุให้เกิด
โรคติดต่อมาถึงตน

คนที่ชั่วแก่เรา ก็เป็นผู้
สกปรกโสมมจมอยู่ในที่
โสโครก ถ้าเรายังโง่อยู่
พยาบาทเขาอยู่ ก็เท่ากับ
ว่าเราอยากจะไปจมอยู่
ในที่โสมมอย่างเขา

เราชอบเช่นนั้นหรือไม่
ให้ตรองดูจนกว่าจิตหาย
จากความพยาบาทนั้นๆ
เสียโดยชอบ "

โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร