วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 17:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2020, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


จงอยู่กับมันอย่างมี .สติ.

โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท






ไม่ใช่ให้เราหนีกิเลส
ไม่ใช่ให้กิเลสหนีเรา
แต่จงอยู่กับมันอย่างมีสติ
เหมือนน้ำกับใบบัว แม้อยู่ด้วยกัน
แต่น้ำไม่อาจซึมเข้าใบบัวได้

หลวงพ่อชา สุภัทโท









เรื่อง "#หลวงปู่มั่น_คือยอดบูรพาจารย์"
ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น ไปพบท่าน แล้วก็เห็นสภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็ สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบ เงียบ... ขนาดจะถากแก่นขนุน (แก่นขนุนใช้ต้มเคี่ยว สำหรับย้อมและซักจีวร) ก็ยังแบกเอาไปฟันอยู่โน้น ไกล ๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน

พอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรมของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียงอะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้นแหละ บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอสมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก็กลับกุฏิ เอาธรรมะที่ได้ฟังไปวิจัยไปพิจารณา

เมื่อได้ฟังเทศน์ท่าน มันอิ่ม เดินจงกรมทำสมาธินี่ มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่ประชุมกันแล้วก็เงียบ บางครั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใครท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไมถึงเดินไม่หยุดไม่พัก นั่น เพราะจิตใจมันมีกำลัง

(ปกิณกธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท)










#จิต-#ใจ-#ปัญญา
วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๒

ว่าถึงเรื่อง “จิต” กับ “ใจ” “จิต” คิดวุ่นวาย คิดเดือดร้อน จิตกระสับกระส่าย ไม่อยู่คงที่ นั่นเรื่อง “จิต”

“ใจ” นั้นให้เข้าใจว่า ความรู้สึกครั้งแรกที่อายตนะภายนอกและภายในกระทบกัน ความรู้สึกครั้งแรกนั้นเรียกว่า “ใจ” ไม่มีตนมีตัวอะไรเป็นแต่ความรู้สึกเฉยๆ เป็นสภาวะอันหนึ่ง เป็นความรู้ ความเห็น ความเข้าใจตามเป็นจริงอันนั้นเป็นสภาวธรรม เรียกว่า ธรรมธาตุ

“ใจ” ก็ดี “จิต” ก็ดี แท้ที่จริงมันเป็นสภาวธรรม เป็นสักแต่ว่าความรู้ความเข้าใจ ให้แยกอย่างนี้ ความรู้สึกทีแรกเมื่อเกิดการกระทบ เมื่อตากระทบกับรูป หูกระทบกับเสียง เกิดความรู้สึกขั้นทีแรกนั่นเรียกว่า”ใจ” ยังไม่ทันขยายออกไป เพียงแต่รู้สึกครั้งแรก ที่ขยายออกไปนั่นคือ ความคิดความอ่าน ความปรุงความแต่ง ปัญญาทางโลกล้วนแต่เป็น “จิต” พูดกันง่ายๆว่า “ใจ” นั้นเป็นของกลาง อยู่ตรงกลางสิ่งทั้งปวงหมด ไม่ใช่ว่าดีไม่ใช่ว่าชั่วอะไรทั้งนั้น

“จิต” นั้นคือ ผู้คิดผู้นึก ผู้ปรุงผู้แต่ง อาการของคิดของนึก ของปรุงของแต่ง เรียกว่าจิตทั้งหมด กิเลสทั้งหมดเกิดจากจิต ไม่ใช่เกิดจากใจ ปัญญาวิชาความรู้ต่างๆ เกิดจากจิต ทั้งดีทั้งชั่วทั้งหยาบละเอียด ทั้งบาปทั้งบุญเกิดจากจิต เข้าถึง “ใจ” แล้วไม่มีอะไร ไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง ขอให้เข้าใจกันอย่างนี้ คำว่า “จิต” ว่า “ใจ”

ครั้นถ้าเข้าถึง “ใจ” แล้ว ไม่คิดไม่นึก มันก็ “อยู่” แล้วเห็นอยู่รู้อยู่ว่ามัน “อยู่” แต่ว่าไม่คิดไม่นึก

“จิต” นั้นมัน “ไม่อยู่” มันไปร้อยแปดพันประการ รอบด้าน คิดนึกตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ไม่มีหยุดหย่อน แม้แต่นอนหลับก็ยังฝัน นั่นเรื่องของ “จิต” ไม่มีความสุข มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายตลอดเวลา ถ้าหากไม่มี “สติ” ก็คิดตลอดวัน ตลอดวันตายไม่สงบได้ ครั้นถ้ามี “สติ” ระมัดระวัง สังเกตพิจารณาว่ามันคิดอย่างไร? คิดชั่วคิดดี คิดหยาบคิดละเอียด คิดบาปคิดบุญให้รู้ตัวอยู่เสมอ รู้ว่ามันคิดอยู่เสมอ อันนั้นตามไปรู้ไปเห็น มันคิดให้ตามไปเสียก่อน ครั้นถ้าหากมันเข้ามาถึงที่แล้ว คราวนี้ตามไปเห็นไปรู้เท่า โอ! มันคิดอย่างนี้หนอ มันคิดอยากฆ่าคน มันคิดอยากตีหัวคน ตัวคิดอยากตี คิดอยากฆ่ามันอยู่ตรงนี้ ไปรู้เท่าๆกับความคิดนั่น มันก็เลยหยุด ครั้นรู้เท่าแล้วมันหยุด ถ้ารู้ตามไม่หยุด รู้เท่าแล้วมันหยุด มาเป็นใจ คราวนี้จิตมันกลับมาเป็นใจ ก็อยู่สงบสบาย

เรื่อง “จิต” เรื่อง “ใจ” พิจารณาให้มาก สนใจให้มาก ครั้นเมื่อเห็นใจแล้วคราวนี้ ต้องการอยากจะให้มันสงบอยู่ ก็เข้าไปหา “ใจ” เลย อาการของใจทีนี้เรา เห็นแล้วว่ามันไม่คิดไม่นึก เป็นแต่ความรู้สึกครั้งแรก เอา “สติ” เข้าไปควบคุมให้อยู่นิ่ง อยู่ได้นานๆเป็นชั่วโมง ๒ ชั่วโมงก็อยู่ได้

“จิต” นั้นมันคิดนึกปรุงแต่ง สัญญาอารมณ์ทั้งปวงหมด ตามเข้าไปให้รู้เรื่องของมันไปร้อยแปดพันประการรอบด้านรอบทิศ ก็ให้รู้เรื่องของ “จิต” ครั้นรู้เรื่องของ “จิต” แล้วมันถอน กลับเข้ามาเป็น “ใจ” อยู่ได้สบาย การหัดแบบนี้พิจารณาตั้งหลายชั่วโมง มันจึงค่อยมาเป็น “ใจ” ที่จิตมันคิดนึกไม่ใช่มันไม่มีปัญญา ปัญญามันเกิดจากนั้นแหละ ต้องการจะให้เกิดปัญญาก็เกิดจากนั้น แต่ว่าการเกิดปัญญามันต้องมี “สติ” ควบคุม จนกระทั่งรู้เท่ามันคิด ไม่ให้มันมาก ไม่ให้มันน้อยกว่า ให้รู่เท่าๆกัน มันก็หยุดเท่านั้น นั่นเราได้ ปัญญา

ปัญญา ในทางพุทธศาสนาท่านบอกว่า เมื่อคิดนึกปรุงแต่งสารพัดทุกอย่างมีความรู้รอบ เข้าใจทุกสิ่งทุกประการตามความเป็นจริงหมดแล้ว มันหยุด อันนั้นเรียกว่าปัญญา อันที่จะให้มันหยุดนั้นมีปัญญามากทีเดียว จะทางธรรมหรือทางโลกก็ตาม ที่มันนึกคิดมันปรุงแต่งไปนั้น ไปรอบคอบรอบทาง ถ้ามี “สติ” ควบคุม มี “สัมปชัญญะ” รู้ตัวอยู่ มันหยุดคิด นั่นแหละ “ปัญญาในทางพุทธศาสนา”

“ปัญญาทางโลก” นั้นก็คิดไปเถิดไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตายก็ไม่สงบสักที คิดแล้วๆเล่าๆกลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ วนเวียนอยู่นั่น จึงเรียกว่า “วัฏฏะ”

ให้ลองคิดดูทุกๆคน พิจารณาดูว่า วันหนึ่งเรามีอะไรบ้าง? เราคิดอะไรบ้าง? รู้เรื่องความคิดของเราไหม? เปล่า ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่ใช่ปัญญา ถ้าคิดนึกปรุงแต่งสารพัดทุกอย่าง ครั้นถ้ารู้ตัวไม่กี่มากน้อยหรอก มัน “รวม” ลงมาเลย นั่นแหละจึงค่อยเกิด “ปัญญา”

“ปัญญา” ชนิดนี้ไม่ต้องกว้างขวาง เป็น”ปัญญา”รู้ตัวแล้วก็แล้วกัน รู้แล้วก็หยุด ที่มันกว้างขวางหมดในโลกนี้ มันมีการหยุดเป็นธรรมดา ถ้าไม่หยุด อยู่ไม่ได้หรอก ที่ใช้รถยนต์รถไฟ เครื่องบิน เรือ เรือดำน้ำก็ตาม เขาใช้ก็ต้องมีเวลาหยุดพักผ่อน มันจึงอยู่ได้ มันจึงทนทาน ครั้นไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่ไม่ได้หรอก พังเลย

จิตใจคนเราก็เหมือนกัน ภาวนาไป ภาวนาไป ฝึกหัดปฏิบัติไป อบรมไป สังเกตพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง รู้เท่ารู้รอบรู้ทั่วแล้วหยุด นั่นแหละ “หยุด” เรื่องของใจไม่เหมือนเรื่องของรถของรา มันปรากฏอยู่ในใจของใครของมัน สงบนิ่งแน่วลงไป เรื่องการภาวนาในพุทธศาสนาต้องเป็นอย่างนั้น

ให้ลองคิดดูทุกๆคน พิจารณาดูว่า วันหนึ่งเรามีอะไรบ้าง? เราคิดอะไรบ้าง? รู้เรื่องความคิดของเราไหม?
[จบ โอวาทหลังปาติโมกข์ 69. จิต-ใจ-ปัญญา]
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี









" การที่จะรู้กรรมเก่าหรือ
กรรมอะไรในอดีตนั้น
ไม่เป็นปัญหาสำคัญ
ในเมื่อเรารู้แล้ว มันก็ไม่มี
ประโยชน์

กรรมที่เราทำลงไปแล้ว
ไม่มีโอกาสที่จะแก้ได้
มีทางเดียวแต่ว่า
“เราเชื่อกรรมและ
เชื่อผลของกรรม”
เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ส่วนกรรมชั่วในชาติอดีต
นั้นเราอาจจะมี แต่ในชาติ
นี้เรามีความรู้สึก สำนึก
ผิด-ชอบ ชั่ว-ดีแล้ว และ
เชื่อกฎของกรรมแล้วว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เราก็พยายามละเว้น
จากการทำชั่ว ทำแต่ดี
ทำแต่ดีเรื่อยไป

ในเมื่อทำแต่ดีๆเรื่อยไป
ถ้าหากเรามีการทำสมาธิ
ภาวนา เราสามารถที่จะ
บรรลุมรรคผล นิพพานได้

ส่วนผลกรรมเก่า แม้ผู้
บรรลุมรรคผลนิพพาน
แล้วยังต้องได้รับอยู่เช่น
พระโมคคัลลา เป็นต้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่มี
ปัญหาสำคัญ ที่เราจะ
ต้องไปแก้กรรมเก่า

ทำแต่ความดีใหม่ใน
ปัจจุบันนี้ให้มากๆขึ้น
ถ้าหากว่ากรรมเก่าใน
อดีตมันอาจจะมีเพียง
เล็กน้อย เมื่อเราทำใน
ปัจจุบันให้มากขึ้นๆ
กรรมใหม่นี่ ในเมื่อสะสม
เอาไว้มากเข้าๆ มันก็มี
พลังพอที่จะหนุนจิตให้วิ่งเร็วขึ้น

ในเมื่อผลกรรมใหม่นี่
บันดาลจิตของเราให้วิ่ง
เร็วขึ้น กรรมเก่าที่วิ่งตามมา
มันก็วิ่งช้าลง มันทำให้
ห่างจากของเก่าเรื่อยไป "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร