วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 13:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2020, 07:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า "#เปรต" นั้นคืออะไร? จึงได้ไปเป็นเปรต คนเราเกิดมาจนมาเป็นมนุษย์แล้วทำไมจึงได้เป็นเปรตได้

"...เปรตนั้น เป็นไปเพราะด้วยอำนาจของการทำบาปอะไร พวกเราก็จะได้พากันศึกษา คำว่าเปรตนั้นก็คือความหิว ความไม่พอ ความไม่มีทางอิ่ม เพราะหิวโหยอยู่ตลอด จึงเรียกว่าเปรต คำว่าเปรตนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มันจะแสดงเป็นเรื่องของเปรตนั้นแต่ละระดับ..เพิ่นว่า

เปรตมีตั้งหลายจำพวก...
เปรตกินเลือดกินเนื้อของตนเองก็มี
เปรตกินมูตรกินคูตก็มี
กัดตนเองกินก็มี
เปรตหิวน้ำก็มี
เปรตหิวข้าวหิวอาหารก็มี
เปรตเฝ้าสิ่งเฝ้าของทั้งหลายยึดมั่นถือมั่นก็มี

มีหลายชนิดจนถึงกล่าวไว้ตั้ง
12 จำพวกเปรต ให้พวกเราพิจารณาอย่างง่าย ๆ มาดูว่า ก็ไม่ใช่ของง่ายล่ะควรที่จะกำหนดจิตพินิจพิจารณาตามว่า...เราทำบาปความชั่วอะไรจึงได้ไปเป็นเปรต

เปรตทั้งหลายนั้นเปรียบที่บุคคลบางบุคคลเคยเป็นมนุษย์มาแล้ว แต่เข้าไปขโมยสิ่งของอยู่ในวัดในวา เหมือนเขาขโมยกันอยู่ทุกวันนี้แหล่ะ เขาไม่รู้ขโมยอาหารการกินก็ดี ขโมยสิ่งของต่าง ๆ ของในวัดในวา จนเขาขโมยพุทธรูป หรือทรัพย์สมบัติของสงฆ์อยู่ภายในวัด เอาไปซื้อไปขายกัน เขาเป็นกันอยู่ เปรตจำพวกนี้เมื่อตายไปแล้วไปตกนรก

คำว่าตกนรกนั้นก็คือ..อาจจะมาได้ง่าย ๆ มาเกิดเป็นเปรตการมาเกิดเป็นเปรตที่จะมาใช้กรรมนั้นก็คือว่า..แล้วแต่จะตกมา เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เหมือนคนที่ลักขโมยเอาสิ่งของ อาหารการกินของวัดไป ที่ญาติโยมซื๊อมาไว้ว่าจะถวายพระสงฆ์ ยังไม่ได้ถวายพระสงฆ์ แต่พวกนั้นมาขโมยเอาไป เมื่อล่วงลับดับไปแล้ว ก็ไปตกนรก กลับมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็มาเฝ้าอยู่ในวัดนี่ก็ได้ มันเป็นอย่างนี้.."

พระอาจารย์หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป









...การนั่งสมาธินี้
เราต้องการ..”ความสงบ
ความสุขที่เกิดจากความสงบ”

.ถ้ายังไม่ได้..ก็บอกตัวเองว่า
คราวที่แล้วเราพลาดไป
เราเผลอไป... “ไม่มีสติอยู่กับพุทโธ”
มันก็เลยไปมีอาการอะไรต่างๆ
ให้เรารับรู้

.คราวต่อไปพยายาม
"ยึดพุทโธไว้ให้ดี" เวลามีอะไรมา
ก็พุทโธต่อไป...”อย่าตามรู้ “
แล้วเดี๋ยวใจก็จะสงบ.
................................
หนังสือสติธรรม หน้า 14
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










โลกหน้าจะเป็นอย่างไร จะอดอยากไหม ไม่ต้องถามใคร ถามตัวเองแหละ ทุกวันนี้ทำบุญให้ทาน ทำคุณงามความดีไหม

หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล








อย่าไปว่าคนอื่นเขา ตัวเองนั้นดีแล้วหรือ
ให้หมั่นถามตัวเอง ไว้เช่นนี้ตลอดเวลา

โอวาทธรรม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน










....ความดีความยุติธรรมถ้าเป็นธรรมแล้วใครใครก็ชอบ ก็อยากได้ แต่ถ้าไม่เป็นธรรมแล้วเห็นไหม เขาพูดอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง มันไม่เป็นธรรม มันเอาเปรียบ มันมีอคติ มันไม่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมก็เสมอกันถ้าแบ่งของก็เท่ากัน ดีก็เท่ากัน ของไม่ดีก็เท่ากัน ทำอะไรก็ได้ทำด้วยกัน มันก็เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมแล้วใครก็ชอบ ขนาดโจรมันไปปล้นเขามา มาแบ่งกัน ถ้าไม่เสมอกันมันก็ว่าไม่เป็นธรรมมันเอาเปรียบกัน ธรรมะเริ่มไปตั้งแต่สตินั่นแหละ ท่านจะเน้นหยุดตลอด สติสติ อริยมรรคมีองค์ 8 แล้วก็สวด สัมมาทิฏฐิปรับความเห็นก่อนที่เราจะมาปฏิบัติธรรม ทำความเห็นให้มันตรงตามครรลองคลองธรรม ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิแล้วมันทำไม่ค่อยได้หรอก จะมาทำทำไม เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะอย่างโน้นอย่างนี้แล้วมานั่งทรมาน บ้านก็สร้างไว้ดีแล้วไปนอนให้มันสบายดีกว่า จะมาทำให้มันลำบากทำไม ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเห็นผิดแล้วมันทำไม่ได้หรอกไม่อยากทำด้วย สวดทำวัตรก็โสดแต่สูตรเก่านั่นแหละ ทั้งปีทั้งชาติ วันไหนก็มา โยโส วันไหนก็มาพุทธัง ธัมมัง สังฆังอยู่นั่นแหละ ว่าแต่ของเก่า หนักๆเข้าก็ขี้เกียจขี้เกียจว่าเป็นมิจฉาทิฐิขึ้นมา ว่าซ้ําๆซากๆไม่เลิกไม่แล้ว จะไปว่าทำไม ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรก็คิดไปอย่างนั้น มันก็เลยไม่อยากทำ ต้องปรับใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรมเห็นว่าทำดีได้ดี เรามาปฏิบัติธรรมเราต้องมีสติความระลึกได้ว่าขณะนี้เรามาปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาทำอย่างอื่นไม่ได้มาคุยกัน ไม่ได้มาพูดเรื่องคนอื่น มาปฏิบัติศีลมาปฏิบัติธรรม ศีลธรรมก็ต้องเอาศีลธรรมเป็นใหญ่ศีลก็เหมือนที่เราสมาทานไป ศีลก็รักษากายวาจาให้เรียบร้อย ทำไมต้องเอาศีลมาบังคับ ถ้าไม่เอาศีลมาบังคับ กายนี้ก็เป็นทาสของใจ ใจใช้มัน เห็นยุงมากัด มันก็ตีเลย เห็นยุงบินมาเกาะเอามือฟาดเลย ฝามือหวด แต่ว่ากายนี้มันก็ไม่รู้เรื่องอะไร ถ้าใจไม่สั่งมันก็ไม่ทำตัวใจนี่ตัวสำคัญ ตัวกายนี้มันเป็นธาตุเป็นบ่าวผู้รับใช้ใจ ถ้าใจไม่สั่งมันก็ไม่ทำเพราะฉะนั้นเรามีสติความระลึกได้มีสติอยู่ทุกเมื่อทุกกิริยาบท.....

คติธรรม พระครูอุดมวนานุรักษ์ (สมหมาย ปิยธัมโม) วัดป่าอุดมวนาสันต์ อ.นาเยีย จ.อุบลฯ









" ศีล สมาธิ ปัญญา ของ
ผู้ปฏิบัติทุกคนเหมือน
กันหมด แต่ต่างระดับกัน
มีความแหลมคมรอบรู้
ธรรม ไม่เหมือนกัน

ในระดับของผู้บรรลุธรรม
ขั้นสูงเป็น 'โลกุตรธรรม'
ที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
มีความมั่นคง
ไม่แปรเปลี่ยนอีกแล้ว

แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ของ
ปุถุชน ซึ่งอยู่ในขอบข่าย
ของ 'โลกียธรรม'
ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง
ผันแปรได้เสมอ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่​ดูลย์ อตุโล









" ศีลห้านิสำคัญ ถ้าบ่มี
ศีลห้าข้อสมบูรณ์ อย่าหวัง
ว่าสิได้เป็นพระโสดาบัน

มีบางพวกอ้างจะของว่าได้
ขั้นนั้นได้ขั้นนี้ พระอริยเจ้า
ทั้งหลายท่านไม่ได้หวัง
จะเอาชั้นนั้นชั้นนี้ เอาอันนั้น
เอาอันนี้ มาวัดว่าได้ถึงชั้นนั้น
ชั้นนี้ ท่านปฏิบัติของท่านไป
เรื่อยๆ มีแต่พวกผีบ้ามาหลง
ตัวเองว่าได้สำเร็จชั้นนั้นชั้นนี้

ศีลกะยังบ่มี ความอยาก
กะยังฝังลึก ความโลภ
กะยังฝังลึก ความโกรธ
กะยังฝังลึก ความหลง
กะยังฝังลึก เป็นได้แค่
โสดาดัน บ่แมนพระโสดาบัน

ถึงแม้พระโสดาบันเป็น
พระอริยะขั้นแรก กะมี
ความโลภ ความโกรธ
ความหลงอยู่ แต่ภายใน
จิตท่านก็รู้แล้วว่าร้อน
คือร้อน หนาวคือหนาว
ความสงสัยลังเลใน
พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ บ่มี

เพิ่นจั่งมีศีลห้าบริสุทธิ์
บริบูรณ์มั่นคง มีพระ
รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง บ่นับถือ
ผีสางคางลาย เทวบุตร
เทวดา นาคพรหม ศาลพระภูมิ

บ่นับถือเจ้าพ่อเจ้าแม่
ทั้งหลาย ถ้ายังนับถือ
ก็ขาดจากพระรัตนตรัย
อย่าหวังว่าจะได้สำเร็จ
มรรคผลนิพพานได้.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม









"..ที่จะได้เกิดเป็น
พระอริยบุคคลขึ้นมานี้
เกิดขึ้นมาจาก
พระพุทธศาสนา
ที่พระพุทธเจ้าของเรา
เป็นพระบรมศาสดา

แต่การที่จะเป็น
พระโสดา พระสกิทาคา
พระอนาคา พระอรหันต์
ได้นั้น ก็ต่อเมื่อจะต้อง
มาบำเพ็ญวิปัสสนา

ถ้าไม่บำเพ็ญวิปัสสนา
นั้น ไปถึงนั้นไม่ได้
ก็ยังต้องเร่ร่อนกันไปก่อน

ถ้าหากเราทำแค่
ทำบุญทำทาน ทำสมาธิ
ไปพอเพียง เป็นพิธี
เล็กๆ น้อยๆ ก็ต้อง
ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์นี่

กลับมาเป็นมนุษย์บ้าง
ไปเกิดในชั้นสวรรค์บ้าง
อะไรอย่างนี้ ท่องเที่ยว
ไปตามเรื่อง ถ้าพลาดพลั้ง
ไปทำความผิดเข้า
ก็ตกนรกไปบ้าง
อะไรอย่างนี้ มันก็ไม่แน่

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แน่นอน
นั้น คือการดำเนินจิตเข้าสู่
วิปัสสนาเพื่อความเป็น
อริยบุคคล

อริยบุคคลชั้นแรก เรียกว่า
ท่านพระโสดาบันนี้ ท่านก็
ไม่มีการที่ต้องไปตกนรกแล้ว

คือหมายความว่า ท่านเป็น
บุคคลผู้เที่ยงแท้ ที่จะต้อง
ไปสู่ความบรรลุในขั้น
สุดท้าย อริยบุคคล "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร









"หัดวางเสียบ้าง หัดวางเสียหน่อย
ก่อนที่สังขาร จะบังคับให้วาง
ก่อนที่ความเฒ่าชรา และความตาย
หรือโรคร้าย จะเป็นผู้บังคับให้วาง
ถ้ายังไม่หัดวาง จะเป็นผู้ที่เหนื่อยจนตาย
แล้วก็ขนอะไรไปด้วยไม่ได้เลย ในที่สุด"

หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร








#ตายแล้ว. เคยเห็นใครรื้อขนครอบครัวสมบัติเงินทองกองมหึมาไปด้วยได้เล่า.

#รู้หรือยังว่า. ความโลภมันหลอกให้ลืมตายลืมป่าช้านั่นน่ะ.

#กิเลสตัวโลภมากๆ มันเคยพาผู้ใดให้มีความสุขสบายมีไหม.

#เห็นแต่โลภมากเท่าไรยิ่งทุกข์มากเท่านั้น. ได้เท่านี้แล้วมันต้องหลอกว่าให้ได้เท่านั้นๆ จนตายก็ตายไปเปล่า.

#ไม่มีความอิ่มพอจากกิเลสตัวโลภมาก.“

#หลวงปู่ขาว_อนาลโย








อาจารย์เพิ่นว่า. พิจารณาคนหนุ่มมันบ่ดี. ให้พิจารณาคนเฒ่า. มันจะได้กำลังใจดี.

คุณย่าชี. นารี การุณ










ให้สังเกตดูว่า เราฝึกทุกวัน ฝึกตั้งใจทุกวัน ใจของเรา ตั้งได้ดีมากน้อย ขนาดไหน ฝึกตั้งสติทุกวัน กำลังสติของเรา ตั้งได้มากน้อยขนาดไหน อันนั้นก็คือ เอาอารมณ์ของกิเลสตัณหามาเป็นเครื่องวัดว่า ตัวเราเองระงับ อารมณ์ประเภทนั้นได้ และปล่อยวางอารมณ์ประเภทนั้นได้มากน้อยขนาด ไหน ไม่ใช่ปล่อยวางแบบเห็นทุกข์เห็นโทษนะ ถ้าปล่อยวางแบบเห็นทุกข์ เห็นโทษมันเป็นลักษณะของปัญญา การปล่อยวางแบบสมาธิ เพียงแต่เอา กำลังของสติ เอากำลังของสมาธิ ที่มีความหนักแน่น ระงับกลบมันไว้เฉยๆ ปิดมันไว้เฉยๆ แต่เรื่องกิเลสตัณหาอันนั้น มันยังมีโอกาสที่จะกลับขึ้นมา ใหม่ พุ่งขึ้นมาใหม่ได้อีก
ฉะนั้น จึงให้พิจารณาให้เข้าใจให้รู้แจ้งตามสภาวธรรมความเป็นจริงอันนั้น คือ ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งนั้นๆ ที่จะให้เกิดปัญญารู้ตามสภาวะความเป็น จริงได้ ก็เรียนรู้จากร่างกายของตัวเอง เรียนรู้จากอารมณ์ฝ่ายเหตุคือกิเลส ตัณหาภายในใจของตัวเอง ดูสิว่า รูปร่างกายของคนเรา ส่วนไหนมันเป็น สาระแก่นสารบ้าง ที่เราไปให้ความหมายว่า เป็นสิ่งที่เป็นสาระ แล้วไปหลง ยึดมั่นในรูปนั้นว่า เป็นสาระแก่นสาร ความจริงแล้ว รูปร่างกายอันนี้ ทุกสิ่ง ทุกอาการที่ปรากฏ มันล้วนแล้วแต่จะผุพังไปตามสภาวธรรม คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วสลาย กลายไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ กันทั้งนั้น หรือจะพิจารณาไปในแง่ "อสุภะ" ความไม่สวยไม่งาม ความ ปฏิกูลโสโครก ความสกปรก
ในโลกอันนี้ คำว่าสกปรกโสโครกนั้น มันไม่มี อะไรจะสกปรกโสโครกมากไปกว่ารูปร่างของมนุษย์นี้หรอก

โอวาทธรรม หลวงปู่อุทัย สิริธโร









เมื่อเอาพระเข้ามา. มารก็หนี. ผีก็ไป.

โอวาทธรรมพระอาจารย์
. วีระนนท์ วีรนันโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร