ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58889 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 10 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 พ.ค. 2020, 09:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: :b32: มีแก้ไขก็อปมาแปะใหม่ด้วย555...เข้าใจไหมคุณกรัชกายว่าเสียงเกิดในความมืดคิดก็มืดมืดสนิท แสดงว่าอ่านไม่มีการไตร่ตรองเลยอ่ะคนเรา...การฟังไม่มีเสียงอนาคตมาวางเรียงลำดับไว้ล่วงหน้า แล้วเมื่อไหร่จะคิดถูกตามได้การคิดตามเนี่ยต้องตาดูหูฟังคิดตามเสียงตรงความหมายของเสียงทีละคำ แก้ใหม่ตามนี้...อ่านทีละคำ คิดตามตรงคำ ตรงความหมายของเสียงทีละเสียง พิจารณาตาที่เห็นไปด้วย Rosarin เขียน: การคิดถึงตัวตนว่ามีจริงคือไม่เคยคิดถึงความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า การรู้สึกตัวตรงสัจจะตามคำสอนคือการระลึกถึงสิ่งที่กำลังมีที่ตัวไม่มีสิ่งที่เห็นนอกดวงตา เพราะจักขุวิญญาณเกิดที่ข้างในที่จักขายตนะที่เป็นอายตนะภายในกายตรงลึกๆในตาดำดับคือมืด โลกมืดเพราะคนระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยตรงถูกที่ตัวตรงตามทีละ1ทางตรง1ดวงตรงจริง คิด ให้ ถูก ตัว ตรง ที ละ 1 ทาง มี 6 ทาง เกิด และ ดับ ใน ตรง ที่ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนข้างนอกไม่มี ไม่ว่าจะเป็นนักปรัชญา นอสตราดามุส ไอร์สไตน์ที่ว่าเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีใครรู้อย่างพระพุทธเจ้า คิดมันมืดอ่านไปก็มโนเดาไปเอาเองตามที่ตาส่งออกไปตามเห็นผิดของตัวตนตัวเองบอกว่าคิดมันมืดเห็นแจ้งคิดเองไม่ได้เข้าใจไหมคะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าทำได้แค่คิดถูกตรงตามได้เท่านั้นจึงจะไม่ทำผิด คือการไม่ไปเพื่อทำตามใจตัวเอง คือการคิดก่อนพูด คือการคิดก่อนทำ คือคิดก่อนไปไหนต่อไหนๆ คือฟังๆๆ ที่พูดมาทั้งหมดนั้นแหละเรียกมโนคิดวาดภาพ เสมือนคนสูบกัญชาเข้าไปสามบ้องจนหูตาลายแล้วลงนอนมองไปบนท้องฟ้าเห็นก้อนเมฆลอยมาไปลอยมา ก็เรียกให้คนมาดูว่า นี่หล่อน เมฆก้อนนั้นเหมือนภูเขานางนอน ก้อนนั้นเหมือนเกาะแก้วพิสดาร ก้อนนั้นเหมือนไก่ ฯลฯ ฉันใด คุณโรสและสมาชิกก็ฉันนั้นแล. จบข่าว ก่อนเห็นนั้นไม่เห็นค่ะ พอเห็นปุ๊บรูปกระทบตาดับมืด คิดอะไรที่เห็นนอกตาแปลว่ามีความคิดเห็นผิด ขณะนี้คุณกำลังมีความคิดเห็นผิด ตรงกับภาษาบาลีว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะคุณลืมพึ่งคิดตามคำสอนคิดไม่ตรงสัจจะตามคำสอนอยู่เดี๋ยวนี้เลยไม่มีเรามีแต่สัจจะธัมมะ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 พ.ค. 2020, 10:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: :b32: มีแก้ไขก็อปมาแปะใหม่ด้วย555...เข้าใจไหมคุณกรัชกายว่าเสียงเกิดในความมืดคิดก็มืดมืดสนิท แสดงว่าอ่านไม่มีการไตร่ตรองเลยอ่ะคนเรา...การฟังไม่มีเสียงอนาคตมาวางเรียงลำดับไว้ล่วงหน้า แล้วเมื่อไหร่จะคิดถูกตามได้การคิดตามเนี่ยต้องตาดูหูฟังคิดตามเสียงตรงความหมายของเสียงทีละคำ แก้ใหม่ตามนี้...อ่านทีละคำ คิดตามตรงคำ ตรงความหมายของเสียงทีละเสียง พิจารณาตาที่เห็นไปด้วย Rosarin เขียน: การคิดถึงตัวตนว่ามีจริงคือไม่เคยคิดถึงความจริงตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า การรู้สึกตัวตรงสัจจะตามคำสอนคือการระลึกถึงสิ่งที่กำลังมีที่ตัวไม่มีสิ่งที่เห็นนอกดวงตา เพราะจักขุวิญญาณเกิดที่ข้างในที่จักขายตนะที่เป็นอายตนะภายในกายตรงลึกๆในตาดำดับคือมืด โลกมืดเพราะคนระลึกตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยตรงถูกที่ตัวตรงตามทีละ1ทางตรง1ดวงตรงจริง คิด ให้ ถูก ตัว ตรง ที ละ 1 ทาง มี 6 ทาง เกิด และ ดับ ใน ตรง ที่ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนข้างนอกไม่มี ไม่ว่าจะเป็นนักปรัชญา นอสตราดามุส ไอร์สไตน์ที่ว่าเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีใครรู้อย่างพระพุทธเจ้า คิดมันมืดอ่านไปก็มโนเดาไปเอาเองตามที่ตาส่งออกไปตามเห็นผิดของตัวตนตัวเองบอกว่าคิดมันมืดเห็นแจ้งคิดเองไม่ได้เข้าใจไหมคะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าทำได้แค่คิดถูกตรงตามได้เท่านั้นจึงจะไม่ทำผิด คือการไม่ไปเพื่อทำตามใจตัวเอง คือการคิดก่อนพูด คือการคิดก่อนทำ คือคิดก่อนไปไหนต่อไหนๆ คือฟังๆๆ ที่พูดมาทั้งหมดนั้นแหละเรียกมโนคิดวาดภาพ เสมือนคนสูบกัญชาเข้าไปสามบ้องจนหูตาลายแล้วลงนอนมองไปบนท้องฟ้าเห็นก้อนเมฆลอยมาไปลอยมา ก็เรียกให้คนมาดูว่า นี่หล่อน เมฆก้อนนั้นเหมือนภูเขานางนอน ก้อนนั้นเหมือนเกาะแก้วพิสดาร ก้อนนั้นเหมือนไก่ ฯลฯ ฉันใด คุณโรสและสมาชิกก็ฉันนั้นแล. จบข่าว ก่อนเห็นนั้นไม่เห็นค่ะ พอเห็นปุ๊บรูปกระทบตาดับมืด คิดอะไรที่เห็นนอกตาแปลว่ามีความคิดเห็นผิด ขณะนี้คุณกำลังมีความคิดเห็นผิด ตรงกับภาษาบาลีว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะคุณลืมพึ่งคิดตามคำสอนคิดไม่ตรงสัจจะตามคำสอนอยู่เดี๋ยวนี้เลยไม่มีเรามีแต่สัจจะธัมมะ ฟังบ้างนะ...ตายแล้วจะให้ฟื้นมานั่งฟังไม่ได้น๊า...เดี๋ยวนี้คุณกำลังรู้อะไรที่กายกำลังมีตรงแค่1เดียวเท่านั้น https://youtu.be/-k7IO4gTk-g |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 พ.ค. 2020, 15:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: อวิชชาพาให้เกิด ตัวตนคุณพาไปทำอวิชชาเพิ่ม โรสบอกให้คุณทำปัญญาแรกตรงปัจจุบันขณะ ตั้งแต่เกิดมาจนรู้ความคุณไม่เคยทำปัญญาตรงทางหูจริงๆเลย คุณเอาแต่อ่านตำราเชื่อตำราแล้วก็เชื่อความคิดตัวเองตามที่กำลังคิดเห็นผิด คุณเห็นผิดว่ามีคนเป็นครูอาจารย์มาบอกให้ทำอะไรคุณก็ทำตามเขาสั่งหมดมาแต่เกิดแล้ว โรสไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อและบอกคุณว่าให้เริ่มต้นฟังแล้วดูพฤติกรรมทุกๆคนตามคำสอนว่าผิดหรือถูก พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดแล้วให้ฟังจนกว่าจะเข้าใจความจริงที่กำลังมีตรงปัจจุบันไม่ได้ให้ไปหลงทำผิด เออบอกไม่ฟัง...ก็บอกว่าให้ฟังก่อนเป็นผู้ว่ายาก...การฟังไม่ทำให้เข้าใจผิดไม่ทำให้หลงไปทำผิดๆตามใครสั่ง พระพุทธเจ้าเทศนาธรรมถึง45ปีแล้วมีคนจดบันทึกว่ามีคนมาฟังที่ไหนบ้างพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังก่อนทำผิด https://youtu.be/26_5h2sccFs คุณโรสและเจ้าสำนักนี่ไปเอาศัพท์นั่นนี่มาแล้วก็มาคิดมโนวาดภาพไป อวิชชาพาให้เกิดบ้าง ไปทำอวิชชาเพิ่มบ้าง เป็นต้น โดยเข้าใจไปว่าฟังศาสดีแม่สุจินและคณะพูดแล้วอวิชชาจะหมดไปสิ้นไป อย่างนี้ใช่ไหมขอรับ ตอบ 1.ใช่ 2.ไม่ใช่ต้องปฏิบัติด้วย ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 ตะกี้นี้เองทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่คุณมีตอนนี้เป็นอันใหม่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีสัญญาเดิมคือความจำบัญญัติคำใดๆแล้วค่ะ เพราะทุกวินาทีอันเก่าไม่มีเป็นขันธ์5อันใหม่ทั้งหมด จิตเกิดดับแต่ละครั้งมีเพียงขณะจิตเดียวตรงทาง คุณไม่เข้าใจหรือคะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ตรงกับที่พระพุทธเจ้านับให้=แสนล้าน แสนโกฏิขณะจิตที่ดับไปไม่มีแล้ว คุณยังหลงไปทำตามใจตัวเอง คุณไม่มีศรัทธาในการฟัง คุณไม่รู้ว่าจิตได้ยินคือ ทางเดียวที่มีเสียง ที่ทำให้รู้จัก จิตอื่นๆได้ นอกนั้น ไม่มี |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 พ.ค. 2020, 15:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังจะอ้างแต่ตำราอยู่นั่นแหละตัวตนและทิฏฐิเยอะ ฟังก็ไม่ฟังตรงปัจจุบันรู้ไหมปัญญาคุณนั้นมันมีไม่พอ จิตเกิดดับได้ทีละ1ทางและเกิดทีละ1ขณะดับหมดก่อน จิตทางอื่นแค่1ทางจึงจะเกิดต่อไปได้คือเอก=เอกา=ทีละหนึ่ง เดี๋ยวนี้คุณมีครบ6ทางที่ไม่ได้เกิดตรงกันและไม่เกิดพร้อมกันเลย เวลาคุณคิดคือมโนทวารวิถีมันมืดส่วนตอนเห็นคือจักขุทวารวิถีมีแสง คิดไม่ได้เกิดพร้อมเห็นดังนั้นขณะนี้คุณคิด+เห็นมันจึงเป็นคิดเห็นผิดจริงๆ เข้าใจไหมอ่านทบทวนการคิดและการเห็นของตาตัวเองให้ตรงตามความคิดโรส จนกว่าจะคิดตรงคิดเพราะคิดเป็นคิดและตอนคิดมันไม่มีจิตเห็นปรากฏรู้มั๊ยอะไรกำลังปรากฏ พ่ะน่ะ เอาหลักมาให้ดูก็ไม่เข้าใจ จะเอาจิตเกิดดับ คิกๆๆ นี่เกิดดับไหม อ้างคำพูด: ได้ยินเสียงสวดมนต์ทั้งนั่งสมาธิและเดินจงกรม ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันมาค่ะ แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องนั่งสมาธิ เกิดปวดขาอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ทนนั่งจนหมดเวลา ... ระหว่างที่ปวดมากๆ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา และสู้เนื่องจากเคยได้ยินว่า "ไม่เคยมีใครตายจากการนั่งสมาธิ" รวมทั้งประโยคที่ว่า "นิพพานอยู่ฝั่งตาย" (จำไม่ได้ว่าเป็นของหลวงพ่อท่านไหนค่ะ) และคิดว่าตายเป็นตายแต่จะไม่ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถก่อนหมดเวลาแน่นอน (ใจก็นึกถึงแต่พระพุทธเจ้าตลอดเวลาค่ะ) เมื่อนาฬิกาดังหมดเวลา เราก็ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อคลายอาการปวดขา แต่เรารู้สึกว่า...ทันทีที่เราลืมตา เราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังอยู่ในหู ทั้งๆที่เวลานั้นไม่ได้มีพระสวดมนต์อยู่ใกล้ๆค่ะ ก่อนหน้านี้....เมื่อครั่งที่เราไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก และเมื่อกลับมาถึงบ้าน เราก็สวดแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลที่บ้านเราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังอยู่ในหูอีกเหมือนกัน ทั้งๆที่ใกล้ๆบ้านก็ ไม่มีวัด และไม่มีใครเปิดวิทยุค่ะ (ตอนแรกนึกว่ามีพระสวดทำวัตรเย็นอยู่ใกล้ๆ แต่บ้านก็ไม่ได้อยู่ใกล้วัด) แล้วก็เคยมีอีกครั้งนึง เราคุยกับแม่ แนะนำแม่เรื่องการไปปฎิบัติธรรม และชวนแม่ให้ไปปฏิบัติ ธรรมด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วในหูอีก เสียงสวดมนต์ที่ได้ยิน2 ครั้งแรก จะได้ยินเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงชม. แต่ครั้งล่าสุดได้ยิน (หลังจาก นั่งสมาธิ) ดังนานหลาย ชม. ตั่งแต่ประมาณเกือบ 4 โมงเย็น จนถึงเวลานอนตอน 4 ทุ่มเลย เสียงสวดมนต์ดังกล่าว เป็นเสียงเหมือนพระสวดมนต์ ฟังจับใจความได้เป็นบางคำ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบทสวดอะไร บางครั้งก็จะได้ยินเป็นเสียงดนตรีไทยบรรเลงอยู่ ระหว่างสวดมนต์และตอนเดินจงกรม ทั้งที่ วัดและที่บ้าน ถามเพื่อนที่ไปด้วยกันว่าได้ยินไหม เค้าบอกว่าไม่ เห็นได้ยินอะไรเลย เราก็เลยไม่กล้าถามเค้าต่อ กลัวเขาว่าเราสติไม่ดี อ่ะค่ะ เลยอยากถามผู้มีความรู้หรือผู้ที่เคยมีประสบการณ์ว่าเคยมีใครได้ยินเป็นลักษณะนี้บ้างหรือ ไม่ แล้วเป็นเสียงของใครเหรอคะ หรือว่าเราคิดมากไปเอง นี่จิตเกิดดับไหม ตอบ 1. ไม่เกิดดับ 2.เกิดดับ ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 บัญญัติทุกคำในพระไตรปิฏก คุณมีตรงได้แค่1คำค่ะคุณกรัชกาย ทุกคนเลยมีจิตตรงสัจจะได้ทีละ1ดวงตรงจริงเรียกว่าสัจจะธัมมะ เพราะแสนล้านดวงจิตที่ทุกคนกำลังมีคือ1ขณะจิตที่กำลังเกิดดับเป็น1ในจิต89-121ประเภทค่ะ มีแล้วเป็นไปแล้วตามรู้สิ่งที่เกิดแล้วอะไรที่ยังไม่เกิดก็คือรู้ไม่ได้อะไรที่ผ่านไปก็ไม่รู้ไปแล้วรู้คือตื่นรู้ตัวเดี๋ยวนี้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2020, 18:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: บัญญัติทุกคำในพระไตรปิฏก คุณมีตรงได้แค่1คำค่ะคุณกรัชกาย ทุกคนเลยมีจิตตรงสัจจะได้ทีละ1ดวงตรงจริงเรียกว่าสัจจะธัมมะ เพราะแสนล้านดวงจิตที่ทุกคนกำลังมีคือ1ขณะจิตที่กำลังเกิดดับเป็น1ในจิต89-121ประเภทค่ะ มีแล้วเป็นไปแล้วตามรู้สิ่งที่เกิดแล้วอะไรที่ยังไม่เกิดก็คือรู้ไม่ได้อะไรที่ผ่านไปก็ไม่รู้ไปแล้วรู้คือตื่นรู้ตัวเดี๋ยวนี้ เหมือนเราพูดกันคนละเรื่องเดียวกันน้อ ถามอย่างตอบอย่าง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ค. 2020, 18:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: ตะกี้นี้เองทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่คุณมีตอนนี้เป็นอันใหม่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีสัญญาเดิมคือความจำบัญญัติคำใดๆแล้วค่ะ เพราะทุกวินาทีอันเก่าไม่มีเป็นขันธ์5อันใหม่ทั้งหมด จิตเกิดดับแต่ละครั้งมีเพียงขณะจิตเดียวตรงทาง คุณไม่เข้าใจหรือคะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ตรงกับที่พระพุทธเจ้านับให้=แสนล้าน แสนโกฏิขณะจิตที่ดับไปไม่มีแล้ว คุณยังหลงไปทำตามใจตัวเอง คุณไม่มีศรัทธาในการฟัง คุณไม่รู้ว่าจิตได้ยินคือ ทางเดียวที่มีเสียง ที่ทำให้รู้จัก จิตอื่นๆได้ นอกนั้น ไม่มี ที่มองเห็นความในใจคุณโรสอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือความตั้งใจพิมพ์ประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงตัวอักษรให้เป็นเหลี่ยมเป็นคูจากมากไปหาน้อย ค่อยๆลดลงๆ เหลืออยู่สองคำ "ไม่มี" คิกๆๆ แค่นี้แหละ นอกนั้นฟุ้งซ่าน |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 พ.ค. 2020, 23:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: บัญญัติทุกคำในพระไตรปิฏก คุณมีตรงได้แค่1คำค่ะคุณกรัชกาย ทุกคนเลยมีจิตตรงสัจจะได้ทีละ1ดวงตรงจริงเรียกว่าสัจจะธัมมะ เพราะแสนล้านดวงจิตที่ทุกคนกำลังมีคือ1ขณะจิตที่กำลังเกิดดับเป็น1ในจิต89-121ประเภทค่ะ มีแล้วเป็นไปแล้วตามรู้สิ่งที่เกิดแล้วอะไรที่ยังไม่เกิดก็คือรู้ไม่ได้อะไรที่ผ่านไปก็ไม่รู้ไปแล้วรู้คือตื่นรู้ตัวเดี๋ยวนี้ เหมือนเราพูดกันคนละเรื่องเดียวกันน้อ ถามอย่างตอบอย่าง พระพุทธเจ้าบอกตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมไปทำก่อนค่อยจะรู้ เพราะรู้คิดตรงตามได้ทันที ไม่มีปลีกตัวไปทำอะไรอีก ไปอยากคาดคั้นทำๆๆๆ การทำนั้นมันปิดกั้นปัญญา ยิ่งไปทำยิ่งอยากยิ่งยุ่งยากขึ้น เพราะนิพพานถึงด้วยหมดอยากถึง รวยปัญญาแล้วจะไปอยากอะไร อันพวกที่อยากได้อยากดีอยู่นั้น เป็นประเภทที่ไม่รู้สึกตัวว่าไม่ดีแล้วที่ทำตัวตนให้ยึดติดการกระทำ555 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 พ.ค. 2020, 23:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ตะกี้นี้เองทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่คุณมีตอนนี้เป็นอันใหม่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีสัญญาเดิมคือความจำบัญญัติคำใดๆแล้วค่ะ เพราะทุกวินาทีอันเก่าไม่มีเป็นขันธ์5อันใหม่ทั้งหมด จิตเกิดดับแต่ละครั้งมีเพียงขณะจิตเดียวตรงทาง คุณไม่เข้าใจหรือคะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ตรงกับที่พระพุทธเจ้านับให้=แสนล้าน แสนโกฏิขณะจิตที่ดับไปไม่มีแล้ว คุณยังหลงไปทำตามใจตัวเอง คุณไม่มีศรัทธาในการฟัง คุณไม่รู้ว่าจิตได้ยินคือ ทางเดียวที่มีเสียง ที่ทำให้รู้จัก จิตอื่นๆได้ นอกนั้น ไม่มี ที่มองเห็นความในใจคุณโรสอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือความตั้งใจพิมพ์ประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงตัวอักษรให้เป็นเหลี่ยมเป็นคูจากมากไปหาน้อย ค่อยๆลดลงๆ เหลืออยู่สองคำ "ไม่มี" คิกๆๆ แค่นี้แหละ นอกนั้นฟุ้งซ่าน พระพุทธเจ้าสอนความจริงให้รอบรู้ตรงคำ เช่น ธรรม คือทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำสภาพธรรมไม่เก็ตเหรอ เออที่พากันหลงผิดเอาตัวตนไปทำมานับไม่ถ้วน นั่นแหละมันยิ่งทำให้ตัวตนเพิ่มมากขึ้นไปอีกไม่รู้รึ พระพุทธเจ้าตรัสรู้นิพพานและสิ่งที่จิตทุกดวงทั้ง31ภพภูมิกำลังมีกำลังเป็น ตามที่ทรงบัญญัติคำต่างๆไว้มากมายนั้นน่ะตัวเองเป็นแล้วตามที่ตถาคตตรัสรู้ไม่ได้ทำ พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ฟังไม่ใช่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10ฮิ้วววววๆๆๆๆบอกไม่ฟังกิ้วๆๆๆจ้างให้ก็ไม่รู้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 พ.ค. 2020, 08:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ตะกี้นี้เองทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่คุณมีตอนนี้เป็นอันใหม่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีสัญญาเดิมคือความจำบัญญัติคำใดๆแล้วค่ะ เพราะทุกวินาทีอันเก่าไม่มีเป็นขันธ์5อันใหม่ทั้งหมด จิตเกิดดับแต่ละครั้งมีเพียงขณะจิตเดียวตรงทาง คุณไม่เข้าใจหรือคะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ตรงกับที่พระพุทธเจ้านับให้=แสนล้าน แสนโกฏิขณะจิตที่ดับไปไม่มีแล้ว คุณยังหลงไปทำตามใจตัวเอง คุณไม่มีศรัทธาในการฟัง คุณไม่รู้ว่าจิตได้ยินคือ ทางเดียวที่มีเสียง ที่ทำให้รู้จัก จิตอื่นๆได้ นอกนั้น ไม่มี ที่มองเห็นความในใจคุณโรสอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือความตั้งใจพิมพ์ประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงตัวอักษรให้เป็นเหลี่ยมเป็นคูจากมากไปหาน้อย ค่อยๆลดลงๆ เหลืออยู่สองคำ "ไม่มี" คิกๆๆ แค่นี้แหละ นอกนั้นฟุ้งซ่าน พระพุทธเจ้าสอนความจริงให้รอบรู้ตรงคำ เช่น ธรรม คือทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำสภาพธรรมไม่เก็ตเหรอ เออที่พากันหลงผิดเอาตัวตนไปทำมานับไม่ถ้วน นั่นแหละมันยิ่งทำให้ตัวตนเพิ่มมากขึ้นไปอีกไม่รู้รึ พระพุทธเจ้าตรัสรู้นิพพานและสิ่งที่จิตทุกดวงทั้ง31ภพภูมิกำลังมีกำลังเป็น ตามที่ทรงบัญญัติคำต่างๆไว้มากมายนั้นน่ะตัวเองเป็นแล้วตามที่ตถาคตตรัสรู้ไม่ได้ทำ พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ฟังไม่ใช่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10ฮิ้วววววๆๆๆๆบอกไม่ฟังกิ้วๆๆๆจ้างให้ก็ไม่รู้ คิกๆๆ มาอีกแระกาลามสูตร นั่นล้วนแต่ตีความผิดทั้งสิ้น ถึงได้บอกว่า คุณโรสต้องกลับไปเริ่มต้นจากสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรมก่อน เช่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ไหว้พระสวดมนต์ท่องบ่นสาธยาย ปล่อยปลาปล่อยเต่าลงน้ำ เป็นต้นเอาก่อน แต่บอกให้ทำแบบเห็นๆ ก็ว่า ไปสร้างพระอิฐพระปูนพระโลหะกันทำไมเยอะแยะ อ้าวไปโน่นอีก ผู้ที่อ่านหนังสืออ่านตำราทางศาสนาแล้วตีความผิดอย่างน่าขัน ก็คือ ไปอ่านข้อความว่า "ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า" ตีความน้ำมูตรเน่าเป็นเยี่ยว แล้วก็ชักชวนกันดื่มเยี่ยวตัวเองเพื่อรักษาโรค |
เจ้าของ: | Rosarin [ 17 พ.ค. 2020, 09:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ตะกี้นี้เองทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจที่คุณมีตอนนี้เป็นอันใหม่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีสัญญาเดิมคือความจำบัญญัติคำใดๆแล้วค่ะ เพราะทุกวินาทีอันเก่าไม่มีเป็นขันธ์5อันใหม่ทั้งหมด จิตเกิดดับแต่ละครั้งมีเพียงขณะจิตเดียวตรงทาง คุณไม่เข้าใจหรือคะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ตรงกับที่พระพุทธเจ้านับให้=แสนล้าน แสนโกฏิขณะจิตที่ดับไปไม่มีแล้ว คุณยังหลงไปทำตามใจตัวเอง คุณไม่มีศรัทธาในการฟัง คุณไม่รู้ว่าจิตได้ยินคือ ทางเดียวที่มีเสียง ที่ทำให้รู้จัก จิตอื่นๆได้ นอกนั้น ไม่มี ที่มองเห็นความในใจคุณโรสอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือความตั้งใจพิมพ์ประดิษฐ์ประดอยร้อยเรียงตัวอักษรให้เป็นเหลี่ยมเป็นคูจากมากไปหาน้อย ค่อยๆลดลงๆ เหลืออยู่สองคำ "ไม่มี" คิกๆๆ แค่นี้แหละ นอกนั้นฟุ้งซ่าน พระพุทธเจ้าสอนความจริงให้รอบรู้ตรงคำ เช่น ธรรม คือทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำสภาพธรรมไม่เก็ตเหรอ เออที่พากันหลงผิดเอาตัวตนไปทำมานับไม่ถ้วน นั่นแหละมันยิ่งทำให้ตัวตนเพิ่มมากขึ้นไปอีกไม่รู้รึ พระพุทธเจ้าตรัสรู้นิพพานและสิ่งที่จิตทุกดวงทั้ง31ภพภูมิกำลังมีกำลังเป็น ตามที่ทรงบัญญัติคำต่างๆไว้มากมายนั้นน่ะตัวเองเป็นแล้วตามที่ตถาคตตรัสรู้ไม่ได้ทำ พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ฟังไม่ใช่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10ฮิ้วววววๆๆๆๆบอกไม่ฟังกิ้วๆๆๆจ้างให้ก็ไม่รู้ คิกๆๆ มาอีกแระกาลามสูตร นั่นล้วนแต่ตีความผิดทั้งสิ้น ถึงได้บอกว่า คุณโรสต้องกลับไปเริ่มต้นจากสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรมก่อน เช่น การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ไหว้พระสวดมนต์ท่องบ่นสาธยาย ปล่อยปลาปล่อยเต่าลงน้ำ เป็นต้นเอาก่อน แต่บอกให้ทำแบบเห็นๆ ก็ว่า ไปสร้างพระอิฐพระปูนพระโลหะกันทำไมเยอะแยะ อ้าวไปโน่นอีก ผู้ที่อ่านหนังสืออ่านตำราทางศาสนาแล้วตีความผิดอย่างน่าขัน ก็คือ ไปอ่านข้อความว่า "ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า" ตีความน้ำมูตรเน่าเป็นเยี่ยว แล้วก็ชักชวนกันดื่มเยี่ยวตัวเองเพื่อรักษาโรค ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ...โง่=มีอวิชชา...โง่จริงๆไม่ใช่คำหยาบเข้าใจมั๊ย? พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วให้ไปอยู่โน่นถ้ำโน่นภูเขาโน่นป่าช้าป่ารกชัก ไม่ได้บอกให้บวชแล้วมารีดไถชาวบ้านไปสร้างโน่นสร้างหนี้มาเป็นภาระ พระพุทธเจ้าทำให้ดูว่าบริสุทธิ์คืออย่างไรอย่าทำไม่รู้ไม่ชี้หูหนวกตาบอด จะใช้เงินอยู่ก็บวชไม่ได้...พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์พระองค์ไปเอาเงินทองมาให้ใช้ไหม ถ้าบวชแล้วรู้สึกแล้วว่าบาปที่รับเงิน...ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็ลาสิกขาลาออกกลับมาทำงานอย่าอยู่เยี่ยงโจรปล้นข้าวที่ชาวบ้านถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านเขาฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วอายเขาไหมพระภิกษุรูปใดที่ไม่รับเงินมีมั๊ย555 ตาไม่บอดดูพฤติกรรมพระเณรเถรชีไม่ออกเหรอว่าพยามจะทำตัวให้คนอื่นคิดว่าตัวเองดีเหลือเกิน ประมาท พอฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ทันทีเลยค่ะห่มจีวรก็ตกนรกได้ค่ะดูพระเทวทัตได้สมาบัติก็ตกนรก555 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดยิบโดยไม่ให้ไปคิดแต่งต่อเติมเองอีกเลยฟังซะสิจะได้รู้สำนึกว่ากำลังทำอะไร https://youtu.be/S6gX3sbPhA8 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 พ.ค. 2020, 09:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ...โง่=มีอวิชชา...โง่จริงๆไม่ใช่คำหยาบเข้าใจมั๊ย? พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วให้ไปอยู่โน่นถ้ำโน่นภูเขาโน่นป่าช้าป่ารกชัก ไม่ได้บอกให้บวชแล้วมารีดไถชาวบ้านไปสร้างโน่นสร้างหนี้มาเป็นภาระ พระพุทธเจ้าทำให้ดูว่าบริสุทธิ์คืออย่างไรอย่าทำไม่รู้ไม่ชี้หูหนวกตาบอด จะใช้เงินอยู่ก็บวชไม่ได้...พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์พระองค์ไปเอาเงินทองมาให้ใช้ไหม ถ้าบวชแล้วรู้สึกแล้วว่าบาปที่รับเงิน...ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็ลาสิกขาลาออกกลับมาทำงานอย่าอยู่เยี่ยงโจรปล้นข้าวที่ชาวบ้านถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านเขาฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วอายเขาไหมพระภิกษุรูปใดที่ไม่รับเงินมีมั๊ย555 ตาไม่บอดดูพฤติกรรมพระเณรเถรชีไม่ออกเหรอว่าพยามจะทำตัวให้คนอื่นคิดว่าตัวเองดีเหลือเกิน ประมาท พอฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ทันทีเลยค่ะห่มจีวรก็ตกนรกได้ค่ะได้พระเทวทัตได้สมาบัติก็ตกนรก555 ปัจจุบันจะเอาถ้ำที่ไหน ถ้ำก็เป็นเขตป่าสงวนห้ามเข้า ใครขืนเดินทะเร่อทะร่ากันเข้าไปถูกจับติดคุกอีก นั่นแหละคือการตีความแบบทื่อๆโด่ๆ ตำราเขาว่าอย่างนั้น แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมมันไม่เอื้อ ก็ต้องผลิกแพลงกันไป เช่น ไปตั้งสำนักปฏิบัติ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 พ.ค. 2020, 09:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ...โง่=มีอวิชชา...โง่จริงๆไม่ใช่คำหยาบเข้าใจมั๊ย? พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วให้ไปอยู่โน่นถ้ำโน่นภูเขาโน่นป่าช้าป่ารกชัก ไม่ได้บอกให้บวชแล้วมารีดไถชาวบ้านไปสร้างโน่นสร้างหนี้มาเป็นภาระ พระพุทธเจ้าทำให้ดูว่าบริสุทธิ์คืออย่างไรอย่าทำไม่รู้ไม่ชี้หูหนวกตาบอด จะใช้เงินอยู่ก็บวชไม่ได้...พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์พระองค์ไปเอาเงินทองมาให้ใช้ไหม ถ้าบวชแล้วรู้สึกแล้วว่าบาปที่รับเงิน...ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็ลาสิกขาลาออกกลับมาทำงานอย่าอยู่เยี่ยงโจรปล้นข้าวที่ชาวบ้านถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านเขาฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วอายเขาไหมพระภิกษุรูปใดที่ไม่รับเงินมีมั๊ย555 ตาไม่บอดดูพฤติกรรมพระเณรเถรชีไม่ออกเหรอว่าพยามจะทำตัวให้คนอื่นคิดว่าตัวเองดีเหลือเกิน ประมาท พอฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ทันทีเลยค่ะห่มจีวรก็ตกนรกได้ค่ะดูพระเทวทัตได้สมาบัติก็ตกนรก555 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดยิบโดยไม่ให้ไปคิดแต่งต่อเติมเองอีกเลยฟังซะสิจะได้รู้สำนึกว่ากำลังทำอะไร https://youtu.be/S6gX3sbPhA8 อวิชชา คุณโรสนำมาพูดบ่อยๆ ไหนลองบอกความหมาย อวิชชา ดิ ว่ามันหมายถึงอะไร ยังไง |
เจ้าของ: | Rosarin [ 17 พ.ค. 2020, 09:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ...โง่=มีอวิชชา...โง่จริงๆไม่ใช่คำหยาบเข้าใจมั๊ย? พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วให้ไปอยู่โน่นถ้ำโน่นภูเขาโน่นป่าช้าป่ารกชัก ไม่ได้บอกให้บวชแล้วมารีดไถชาวบ้านไปสร้างโน่นสร้างหนี้มาเป็นภาระ พระพุทธเจ้าทำให้ดูว่าบริสุทธิ์คืออย่างไรอย่าทำไม่รู้ไม่ชี้หูหนวกตาบอด จะใช้เงินอยู่ก็บวชไม่ได้...พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์พระองค์ไปเอาเงินทองมาให้ใช้ไหม ถ้าบวชแล้วรู้สึกแล้วว่าบาปที่รับเงิน...ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็ลาสิกขาลาออกกลับมาทำงานอย่าอยู่เยี่ยงโจรปล้นข้าวที่ชาวบ้านถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านเขาฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วอายเขาไหมพระภิกษุรูปใดที่ไม่รับเงินมีมั๊ย555 ตาไม่บอดดูพฤติกรรมพระเณรเถรชีไม่ออกเหรอว่าพยามจะทำตัวให้คนอื่นคิดว่าตัวเองดีเหลือเกิน ประมาท พอฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ทันทีเลยค่ะห่มจีวรก็ตกนรกได้ค่ะดูพระเทวทัตได้สมาบัติก็ตกนรก555 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดยิบโดยไม่ให้ไปคิดแต่งต่อเติมเองอีกเลยฟังซะสิจะได้รู้สำนึกว่ากำลังทำอะไร https://youtu.be/S6gX3sbPhA8 อวิชชา คุณโรสนำมาพูดบ่อยๆ ไหนลองบอกความหมาย อวิชชา ดิ ว่ามันหมายถึงอะไร ยังไง มีตามีหัวใจกันทุกคนดูพฤติกรรมที่แต่ละคนทำตามคำสอนเข้าใจมั๊ยคะ เข้าใจคำนี้ไหม สมัยพุทธกาลจำเป็นต้องบวชเพราะบรรลุอรหัตตผลแล้ว พันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์แล้วเป็นพระอนาคามีได้โดยไม่ต้องบวช พันปีที่1คือพศ.......0-1000 พันปีที่2คือพศ.1001-2000 พันปีที่3คือพศ.2001-3000 ปีนี้2563อยู่ในพันปีที่3แล้วใครจะไปพูดว่ารู้จักพระอรหันต์ผิดไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่มีบรรลุปัญญาเท่ากันถึงจะรู้ว่าเป็นอริยะระดับไหน สมัยนี้ชอบพูดว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ตัวคนพูดปัญญาถึงอรหันต์แล้วเหรอ555 พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดรู้จักว่าอะไรถูกอะไรผิดคนที่ไม่รู้ว่าผิดก็จะไม่เลิกทำ คนที่จะบอกได้ว่าใครคือพระอรหันต์ต้องมีปัญญาระดับอรหันต์ค่ะคุณ และปัญญารู้เท่ากันจึงจะรู้ว่าตัวเองมีปัญญาเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่ใช่ไปรู้ที่คนอื่นที่พูดว่าคนนั้นคนนี้เป็นอริยะแล้วนั้นคือพูดด้วยไม่รู้ โลกเขาสิกขาตามคำสอนส่วนบวชทำแบบโลกใช้เงินตายแล้วไปอบายภูมิรู้มั๊ย พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามใครไม่ให้ทำอะไรแต่ทรงบัญญัติความผิดไว้ว่าอาบัติสำหรับใครคะรู้สึกตัวกันมั๊ยคะ ไม่รู้ว่าผิดอ้างได้ว่าไม่รู้เออแค่ชาวบ้านตำหนิติเตียนให้รู้ตัว555ยังๆๆจะอ้างว่าไม่รู้หรือว่ากิเลสหนาขนาด555 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 พ.ค. 2020, 09:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ...โง่=มีอวิชชา...โง่จริงๆไม่ใช่คำหยาบเข้าใจมั๊ย? พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วให้ไปอยู่โน่นถ้ำโน่นภูเขาโน่นป่าช้าป่ารกชัก ไม่ได้บอกให้บวชแล้วมารีดไถชาวบ้านไปสร้างโน่นสร้างหนี้มาเป็นภาระ พระพุทธเจ้าทำให้ดูว่าบริสุทธิ์คืออย่างไรอย่าทำไม่รู้ไม่ชี้หูหนวกตาบอด จะใช้เงินอยู่ก็บวชไม่ได้...พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์พระองค์ไปเอาเงินทองมาให้ใช้ไหม ถ้าบวชแล้วรู้สึกแล้วว่าบาปที่รับเงิน...ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็ลาสิกขาลาออกกลับมาทำงานอย่าอยู่เยี่ยงโจรปล้นข้าวที่ชาวบ้านถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านเขาฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วอายเขาไหมพระภิกษุรูปใดที่ไม่รับเงินมีมั๊ย555 ตาไม่บอดดูพฤติกรรมพระเณรเถรชีไม่ออกเหรอว่าพยามจะทำตัวให้คนอื่นคิดว่าตัวเองดีเหลือเกิน ประมาท พอฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ทันทีเลยค่ะห่มจีวรก็ตกนรกได้ค่ะดูพระเทวทัตได้สมาบัติก็ตกนรก555 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดยิบโดยไม่ให้ไปคิดแต่งต่อเติมเองอีกเลยฟังซะสิจะได้รู้สำนึกว่ากำลังทำอะไร https://youtu.be/S6gX3sbPhA8 อวิชชา คุณโรสนำมาพูดบ่อยๆ ไหนลองบอกความหมาย อวิชชา ดิ ว่ามันหมายถึงอะไร ยังไง มีตามีหัวใจกันทุกคนดูพฤติกรรมที่แต่ละคนทำตามคำสอนเข้าใจมั๊ยคะ เข้าใจคำนี้ไหม สมัยพุทธกาลจำเป็นต้องบวชเพราะบรรลุอรหัตตผลแล้ว พันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์แล้วเป็นพระอนาคามีได้โดยไม่ต้องบวช พันปีที่1คือพศ.......0-1000 พันปีที่2คือพศ.1001-2000 พันปีที่3คือพศ.2001-3000 ปีนี้2563อยู่ในพันปีที่3แล้วใครจะไปพูดว่ารู้จักพระอรหันต์ผิดไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่มีบรรลุปัญญาเท่ากันถึงจะรู้ว่าเป็นอริยะระดับไหน สมัยนี้ชอบพูดว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ตัวคนพูดปัญญาถึงอรหันต์แล้วเหรอ555 พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดรู้จักว่าอะไรถูกอะไรผิดคนที่ไม่รู้ว่าผิดก็จะไม่เลิกทำ คนที่จะบอกได้ว่าใครคือพระอรหันต์ต้องมีปัญญาระดับอรหันต์ค่ะคุณ และปัญญารู้เท่ากันจึงจะรู้ว่าตัวเองมีปัญญาเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่ใช่ไปรู้ที่คนอื่นที่พูดว่าคนนั้นคนนี้เป็นอริยะแล้วนั้นคือพูดด้วยไม่รู้ โลกเขาสิกขาตามคำสอนส่วนบวชทำแบบโลกใช้เงินตายแล้วไปอบายภูมิรู้มั๊ย พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามใครไม่ให้ทำอะไรแต่ทรงบัญญัติความผิดไว้ว่าอาบัติสำหรับใครคะรู้สึกตัวกันมั๊ยคะ ไม่รู้ว่าผิดอ้างได้ว่าไม่รู้เออแค่ชาวบ้านตำหนิติเตียนให้รู้ตัว555ยังๆๆจะอ้างว่าไม่รู้หรือว่ากิเลสหนาขนาด555 คุณโรสต้องศึกษาหลักธรรมจากสำนักส่วนกลางรับรองทดสอบความรู้ ไม่ใช่ไปเรียนจากคลิปแม่สุจินแห่งเดียวตะพึดตะพือ ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ถามอย่างตอบอย่าง เพราะอะไร ? เพราะไม่รู้ความหมายของศัพท์ที่ตัวพูด ถ้าเปรียบก็เหมือนนกแก้วนกขุนทองพูดภาษาคนได้ แต่นกไม่เข้าใจเลยว่าเขาใช้สื่อสารถึงเรื่องอะไรกัน https://www.youtube.com/watch?v=pVo0ozL_FT0 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 17 พ.ค. 2020, 10:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ท่านให้ "กำหนดรู้ตามที่เห็นตามที่เป็น" ก็เพื่อให้ชัด |
กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ...โง่=มีอวิชชา...โง่จริงๆไม่ใช่คำหยาบเข้าใจมั๊ย? พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วให้ไปอยู่โน่นถ้ำโน่นภูเขาโน่นป่าช้าป่ารกชัก ไม่ได้บอกให้บวชแล้วมารีดไถชาวบ้านไปสร้างโน่นสร้างหนี้มาเป็นภาระ พระพุทธเจ้าทำให้ดูว่าบริสุทธิ์คืออย่างไรอย่าทำไม่รู้ไม่ชี้หูหนวกตาบอด จะใช้เงินอยู่ก็บวชไม่ได้...พระพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์พระองค์ไปเอาเงินทองมาให้ใช้ไหม ถ้าบวชแล้วรู้สึกแล้วว่าบาปที่รับเงิน...ทำตัวไม่เหมาะสมไม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ก็ลาสิกขาลาออกกลับมาทำงานอย่าอยู่เยี่ยงโจรปล้นข้าวที่ชาวบ้านถวายพระพุทธเจ้า ชาวบ้านเขาฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วอายเขาไหมพระภิกษุรูปใดที่ไม่รับเงินมีมั๊ย555 ตาไม่บอดดูพฤติกรรมพระเณรเถรชีไม่ออกเหรอว่าพยามจะทำตัวให้คนอื่นคิดว่าตัวเองดีเหลือเกิน ประมาท พอฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้ทันทีเลยค่ะห่มจีวรก็ตกนรกได้ค่ะดูพระเทวทัตได้สมาบัติก็ตกนรก555 พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดยิบโดยไม่ให้ไปคิดแต่งต่อเติมเองอีกเลยฟังซะสิจะได้รู้สำนึกว่ากำลังทำอะไร https://youtu.be/S6gX3sbPhA8 อวิชชา คุณโรสนำมาพูดบ่อยๆ ไหนลองบอกความหมาย อวิชชา ดิ ว่ามันหมายถึงอะไร ยังไง มีตามีหัวใจกันทุกคนดูพฤติกรรมที่แต่ละคนทำตามคำสอนเข้าใจมั๊ยคะ เข้าใจคำนี้ไหม สมัยพุทธกาลจำเป็นต้องบวชเพราะบรรลุอรหัตตผลแล้ว พันปีที่3ไม่มีพระอรหันต์แล้วเป็นพระอนาคามีได้โดยไม่ต้องบวช พันปีที่1คือพศ.......0-1000 พันปีที่2คือพศ.1001-2000 พันปีที่3คือพศ.2001-3000 ปีนี้2563อยู่ในพันปีที่3แล้วใครจะไปพูดว่ารู้จักพระอรหันต์ผิดไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่มีบรรลุปัญญาเท่ากันถึงจะรู้ว่าเป็นอริยะระดับไหน สมัยนี้ชอบพูดว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ตัวคนพูดปัญญาถึงอรหันต์แล้วเหรอ555 พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดรู้จักว่าอะไรถูกอะไรผิดคนที่ไม่รู้ว่าผิดก็จะไม่เลิกทำ คนที่จะบอกได้ว่าใครคือพระอรหันต์ต้องมีปัญญาระดับอรหันต์ค่ะคุณ และปัญญารู้เท่ากันจึงจะรู้ว่าตัวเองมีปัญญาเป็นอริยบุคคลระดับไหน ไม่ใช่ไปรู้ที่คนอื่นที่พูดว่าคนนั้นคนนี้เป็นอริยะแล้วนั้นคือพูดด้วยไม่รู้ โลกเขาสิกขาตามคำสอนส่วนบวชทำแบบโลกใช้เงินตายแล้วไปอบายภูมิรู้มั๊ย พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามใครไม่ให้ทำอะไรแต่ทรงบัญญัติความผิดไว้ว่าอาบัติสำหรับใครคะรู้สึกตัวกันมั๊ยคะ ไม่รู้ว่าผิดอ้างได้ว่าไม่รู้เออแค่ชาวบ้านตำหนิติเตียนให้รู้ตัว555ยังๆๆจะอ้างว่าไม่รู้หรือว่ากิเลสหนาขนาด555 คุณโรสต้องศึกษาหลักธรรมจากสำนักส่วนกลางรับรองทดสอบความรู้ ไม่ใช่ไปเรียนจากคลิปแม่สุจินแห่งเดียวตะพึดตะพือ ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ถามอย่างตอบอย่าง เพราะอะไร ? เพราะไม่รู้ความหมายของศัพท์ที่ตัวพูด ถ้าเปรียบก็เหมือนนกแก้วนกขุนทองพูดภาษาคนได้ แต่นกไม่เข้าใจเลยว่าเขาใช้สื่อสารถึงเรื่องอะไรกัน บวชคือสละได้...ตาไม่บอดก็ดูสิ... บวชแล้วเรี่ยไรเงินไปติดแอร์บ้างเออเงินไม่มี ไม่เข้าใจเหรอพระพุทธเจ้ากลับไปอยู่ในปราสาท3ฤดูมั๊ย ใครจะโง่ทำตามกิเลสคนอื่นสั่งก็คือไม่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บวชแล้วใช้ได้แค่ปัจจัย4และอัฏบริขาร8 กุฏิศาลาวัดชาวโลกสร้างไว้รอให้ไปอยูฟรีอาหารไม่ได้ทำ ให้เดินบิณฑบาตรับอาหารที่ปรุงสุกแล้วเดินผ่านตามบ้านไม่ใช่นั่งปักหลักรอที่ตลาดแล้วกลับไปฉันที่วัด อ่ะ...ทีนี้เทียบสิ่งที่อ่านกับพฤติกรรมนักบวชสิทำถูกตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมั๊ยกิเลสถลอกไหมรับเงินน่ะ บอกยังไงก็คิดไม่ได้เพราะปัญญามีน้อยกว่ากิเลส ที่ลับก็ไม่มีเพราะจิตเกิดดับอยู่ภายในตัวตนของคุณ ที่แจ้งคือสว่างตาที่มองเห็นเป็นสถานที่นั้นก็ไม่มีค่ะ เพราะแสงแค่กระทบไปตรงตาดำดับในลูกกระตาดำ คิดนึกจำทำทุกอย่างในความมืดมาทุกชาติแล้วเมื่อไหร่จะเริ่มต้นฟังกันบ้างคะ555 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 10 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |