วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2020, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...อันนี้เรียกว่าเป็น "การเจริญสติ"
เป็นการควบคุมความคิด
ไม่ให้ใจคิดไปในอดีต
ไม่ให้ใจคิดไปในอนาคต
ให้อยู่กับปัจจุบัน

เพราะถ้ามีความคิดแล้ว..
"ใจจะไม่มีวันสงบ" ต้องหยุดความคิด
ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แล้วพอเดินแล้วเมื่อย
หรือว่าทำงานธุระอะไรต่างๆแล้วว่าง
ก็..เข้าสมาธิต่อไป
ไปนั่งสมาธิใหม่ สลับกันไป

ทำอย่างนี้..ให้ใจเข้าไปในสมาธิ
"ให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้"
ยิ่งเข้าได้มากก็จะเข้าได้นาน
และจะเข้าได้ง่ายขึ้น

จะมีความชำนาญมากขึ้นมากขึ้นไป
เพราะสติจะมีมากขึ้นมากขึ้น จนต่อไป

"ใจจะสงบแม้ขณะที่ออกจากสมาธิมา".
..................................................
ธรรมะหน้ากุฏิ
24 พฤษภาคม 2563
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










"สมัยนี้ มีผู้ชอบกล่าวว่า เงินไม่มี เกียรติไม่มี
นั่นไม่ใช่ความถูกต้อง เป็นความรู้สึกของ
คนบางคน เท่านั้น

คนบางคน ที่มีความเห็นผิดเป็นชอบเท่านั้น
ที่จะมีความรู้สึกว่า คนไม่มีเงิน เป็นคนไม่มีเกียรติ
เงินกับเกียรติ มิใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มิใช่เป็นสิ่งที่แยกจากกันมิได้ คนไม่มีเงิน
แต่มีเกียรติก็มีอยู่

ความสำคัญอยู่ที่ว่า เงินที่มี หรือที่ได้มานั้น
เป็นเงินที่จะทำให้เกียรติยศชื่อเสียงสิ้นไป
หมดหรือไม่ ควรจะพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องนี้
โดยเฉพาะ ผู้ที่ยังคำนึงถึงชื่อเสียงเกียรติยศ
ของตน และของวงศ์ตระกูล"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ










“เมื่อใดที่เราพากันสนทนาเรื่องการให้ทาน - ทำบุญ
เราก็ถือว่า การที่ทำนั้น เพื่อเสียสละความสุขของตน
แบ่งปันแก่คนอื่น ก็แสดงถึงความเมตตา กรุณาในจิตใจ

เมื่อเรามีฐานะดีพอควร เราก็สละทรัพย์ของเรา
เพื่อทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา เพื่อให้ทานแก่คนยาก คนจน
หรือให้ทานแก่สาธารณะประโยชน์

ก็เรียกว่า คุยกันเรื่องธรรมะ ก็ทำให้จิตใจของเรานั้น
มีการเสียสละ เพิ่มความดีให้แก่ตัวเรา”

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร









"การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา
ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะว่าเราดีกว่าเขา
เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์

คน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน
ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ
ให้เป็นการแข่งขันกัน หรือถ่อมเกินไป
ไม่ควรคิด

ให้คิดว่า ทุกคนเกิดมา ก็แก่เหมือนกัน
ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน
รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน
เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย
จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า
จะต่ำกว่าฉันไม่รู้

รู้อย่างเดียวว่า ..ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน.. เท่านี้พอ"

หลวงปู่ฤาษี ลิงดำ









“อย่าไปมัวยึดถืออดีต อนาคต
คนโน้น คนนี้ เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา
อย่าไปวุ่นวาย คนอื่นปากของเขามี เขาก็ว่าไป
คนมีปากมีใจ เขาก็ว่าไปอย่างนั้นแหละ
อย่าไปหลง

จงนึกเตือนใจ สอนใจ
สอนตัวของเราให้ได้ สอนตัวเวลานี้
เดี๋ยวนี้อยู่ตลอดเวลา จิตใจสบายได้
ก็คือพร้อมในใจ

เมื่อพร้อมเมื่อใด เวลาใดก็สงบ
เมื่อสงบตั้งมั่นเมื่อใด เวลาใด
สติปัญญา ก็เกิดขึ้นที่นั้นแหละ"

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร








"บุคคลบางคน เกิดขึ้นมาแล้ว
มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่เล็กแต่น้อย
จนถึงหนุ่มสาว จนถึงท่ามกลางคน
จนถึงเฒ่าถึงแก่ ไม่รู้ว่ามีโรคอะไรต่อโรคอะไร
ก็ด้วยอำนาจของกรรม เป็นโรคกรรม

โรคกรรมนี้ รักษาด้วยหยูกยาไม่หาย
บางทีก็ต้องแผ่เมตตาให้ซึ่งกันและกัน
ถ้าหากมันไม่ใช่โรคกรรม มันก็จะหายง่าย
ถ้าเป็นโรคกรรม ก็ต้องอโหสิกรรมให้ "

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป











#ปลาไม่รู้จักน้ำก็ไม่เป็นไร
#แต่มนุษย์ต้องรู้ต้องเข้าใจชีวิตของตน
#จึงจะมีความสุขที่แท้จริงได้

การทำความรู้จักชีวิตตัวเองทำด้วยการคิดพิจารณาได้บ้าง แต่วิธีที่ได้ผลมากที่สุด คือ การค้นคว้าด้วยจิตที่ว่างจากความคิดปรุงแต่ง

#การเจริญสมาธิภาวนาจึงสำคัญยิ่ง

สำหรับผู้ที่ต้องการพ้นจากความเป็นมนุษย์ประเภทปลาไม่รู้จักน้ำ

พระอาจารย์ #ฌอน #ชยสาโร








#มีบุญที่ได้เกิดเป็นมนุษย์

"..จังได๋ก็เฮานี่คิดว่าหรือในใจเห็นว่า เฮานี่มีบุญล่ะจังได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะสัตว์อื่นหลายกว่ามนุษย์ ตั้งแต่ปลวกโพนเดียวหลายกะมนุษย์แล้วเด๊ประเทศหนึ่ง มีหลายกว่ามนุษย์ ส่วนบ่ดีมันหลาย ส่วนดีมันมีน้อย ถึงน้อยกะให้เฮาเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยนั่นมันจังเป็นไปได้ พยายามรักษาโตก็ดีได้ ขั่นบ่รักษาโตมันบ่ดีได้ เอากันเฉพาะแต่ภายนอก ขั่นใผบ่รักษาโต มันชอบสกปรกรกชัฏไปด้วยขี้เหงื่อขี้ไคลหยังสำปะปิ (เต็มอยู่ทั่วไป) เครื่องนุ่งเครื่องห่มก็รก บ่สะอาด เพราะกายนี่มันเป็นของสกปรก เครื่องใช้เครื่องสอยกะมาติดกับกาย มันกะเป็นความสกปรกคือกัน คือผ้าที่เฮาบ่ทันใช้ ยังบ่มีกลิ่นหยัง ขั่นใช้แล้วซักสะอาดปานได๋ เอาไปเก็บไววว้กะยังเหม็นอับอยู่ พู้นน่ะกลิ่นคน สกปรกกะอยู่นี่ โตใหญ่กว่าหมู่

ขั่นดีกะดีกว่าหมู่คนนี่ พระพุทธเจ้าเป็นคน พวกเฮาเป็นคน จังได๋อย่าให้เสียลวดลายของคน อย่าให้คนตกไป รักษาไว้ โดยมากความอยาก ความมีทำให้ลืมโต ลืมโตมีแต่สิเอา บ่ฮู้จักผิดว่าแต่ได้ตะพึดตะพือ.."

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ










#การอบรมภาวนา #ถ้าจะเทียบแล้ว #จิตเป็นเหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุก #จำต้องบำรุงลำต้น #ของต้นไม้ที่ทรงผลนั้นให้สมบูรณ์

เพื่อที่จะมีกำลังและส่งอาหารไปหล่อเลี้ยงดอกผลของมันให้แก่และสุกขึ้นมาโดยสมบูรณ์ การอบรมจิตก็จำต้องอาศัยข้อวัตรปฏิบัติ และการภาวนาเป็นเครื่องบำรุงส่งเสริม จิตจะได้มีกำลังขึ้นเป็นลำดับ เมื่อได้ปุ๋ยข้างนอกซึ่งได้แก่ข้อวัตรปฏิบัติ ปุ๋ยภายใน ได้แก่การอบรมภาวนาซึ่งบำเพ็ญทุกเวลา เมื่อใจได้รับการบำรุงจากปุ๋ยที่ชอบ ย่อมแสดงผลให้ปรากฏและค่อยเปลี่ยนแปลงความรู้ความเห็น และความเป็นอยู่ของตนไปในทางดีทีละเล็กละน้อย จนเห็นได้ชัดทั้งกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน

ดังนั้น ทุกท่านโปรดทราบเสมอว่าเรื่องของจิตจะไปในทางที่ดีได้ ต้องอาศัยปุ๋ย คือความเพียรพยายามเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเหมือนกัน ต้นผลไม้ชนิดต่าง ๆ ถ้าขาดอาหารเป็นเครื่องบำรุงก็มีการเหี่ยวแห้งอับเฉาลง ไม่มีความสดชื่น ถ้าได้รับอาหารที่ถูกกับชนิดที่มันต้องการก็เจริญเติบโตขึ้น ใจถ้าขาดความเพียรเครื่องบำรุงโดยถูกต้อง ก็มีอาการหดหู่ไม่ผ่องใส และแสดงอาการคึกคะนองไปนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้น จึงมียาที่เรียกว่าธรรมโอสถไว้สำหรับแก้ความคะนองของใจเป็นประจำ เช่นเดียวกับยาประจำบ้าน จะไปไหนต้องถือติดตัวไปด้วย ผู้ปฏิบัติต่อใจก็ต้องมีธรรมเป็นยาประจำบ้าน ไปที่ไหน อยู่ที่ใด ต้องมีธรรมติดตัวไปด้วยเสมอ

ผู้เหินห่างจากธรรมไม่ค่อยจะได้รับความเจริญทางใจ ใจมักเป็นลมเสมอ ทำให้หน้ามืดตามัว ทำให้โกรธหงุดหงิด ผูกอาฆาตมาดร้ายหมายปองโทษ โกรธแล้วแก้ไม่ค่อยตก จะทำให้เป็นเดือดเป็นแค้นและร้อนใน สุมอยู่ตลอดเวลา หาทางระบายออกได้ยาก ถ้าได้คิดและติดกับอารมณ์หรือสิ่งใดแล้ว ไม่ว่าทางรัก ทางชัง ไม่ค่อยมียาแก้เพื่อหาทางออก แต่กลับส่งเสริมให้มีกำลังมากขึ้น ถ้าเทียบกับโรคก็เป็นโรคชนิดไม่มีทางแก้ไขให้หายได้

แต่ผู้มีธรรมในใจซึ่งเคยอบรมมาเป็นประจำ พอมีทางออกและเอาตัวรอดไปได้ เพราะคำว่า ธรรม ก็คือกุญแจไขทุกข์นั่นเอง ผู้มีธรรมจึงมีทางแก้ไข หรือระบายทุกข์ออกได้ด้วยอุบายต่าง ๆ ไม่ฝังจมโดยถ่ายเดียว เพราะธรรมดาโรค ไม่ว่าโรคในกายหรือในจิต ถ้ามียาแก้ถูกกับสมุฏฐานของโรคแล้ว ย่อมมีทางหายได้ ยาและหมอจึงเป็นหลักชีวิตของโลกที่จำต้องอาศัยในคราวจำเป็นดังกล่าวแล้ว

ท่านนักปฏิบัติโปรดสังเกตโรคของเราที่เรื้อรังอยู่ภายในว่า เวลานี้ถูกกับยาคือธรรมโอสถบ้างหรือยัง หรือเป็นโรคประเภทหมดหวัง เพราะรับแต่ของแสลงไม่คำนึงถึงยา คือธรรมเพื่อนำมาแก้ไข ถ้าหวังให้ใจมีธรรมเครื่องทรงตัวต่อไปเพื่ออนาคตอันแจ่มใส ก็ควรยิ่งแล้วในความเพียรเพื่อถอนหนามยอกหัวใจออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยความเพียรชอบ อย่านั่งเฝ้านอนเฝ้ากองทุกข์อยู่เฉย ๆ ด้วยความนอนใจ โดยไม่เสาะแสวงหาทางออก โปรดคิดดูตะวันอยู่บนฟ้ายังบ่ายหน้าอัสดงคต ไม่ปรากฏตั้งตรงอยู่บนศีรษะตลอดกาล ชีวิตสังขารไม่ก้าวไปเพื่อความเสื่อมลงสู่ความแตกดับแล้ว เขาจะก้าวไปที่ไหน…”

พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร