วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 19:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2020, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


" ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ดี
หรือนับตั้งแต่สาวกทั้งหลาย
ลงมาก็ดี ท่านหลุดพ้นด้วย
อำนาจแห่งกรรมฐาน ๔๐ นี้
ทั้งนั้นแหละ

กรรมฐาน ๔๐ นี้แลเป็นธรรม
ที่สร้างจิตท่านให้มีความสงบ
ร่มเย็น ต่อจากนั้นไปก็สร้าง
ทางด้านปัญญาให้รู้แจ้งแทง
ทะลุไป ไม่พ้นจากกรรมฐาน
ที่กล่าวมาเหล่านี้เลย

เพราะกรรมฐาน ๔๐ นี้ไม่ใช่
จะเป็นอารมณ์แห่งสมถะ
อย่างเดียว ยังเป็นอารมณ์
ของวิปัสสนาได้ด้วย

เมื่อจิตควรแก่วิปัสสนาแล้ว
จะเป็นวิปัสสนาไปได้โดย
ไม่ต้องสงสัย ในขณะที่จิต
ยังไม่เป็นปัญญา จิตยัง
ไม่เป็นวิปัสสนาก็เอาธรรม
เหล่านี้แลมาอบรมจิตใจ
ด้วยความเป็นสมถะ

คือเพื่อความเป็นสมถะ
ได้แก่ความสงบของใจ
พอจิตก้าวเข้าสู่ปัญญาแล้ว
ธรรมที่เคยเป็นอารมณ์แห่ง
สมถะนี้แล จะแปรสภาพเป็น
อารมณ์แห่งวิปัสสนาไปได้
โดยไม่ต้องสงสัย

นี่ละหลักใหญ่อยู่ตรงนี้ "

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว
ญาณสัมปันโน









" “ความรู้” กับ “ความหลง”
นั้น มันเกิดใน “ที่เดียวกัน”
ความเป็นจริง มี “ผู้รู้”
ผู้เดียวเท่านั้น

มิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ
ไม่มีสองตัว มี “ตัวเดียว”
“ผิด” ก็เกิดจาก ”ตัวเดียว”
“ถูก” ก็เกิดจาก ”ตัวเดียว”
“มิจฉาทิฐิ” ก็เป็น “องค์มรรค”
เหมือนกัน

“ความเห็นชอบ” ก็เกิด
จาก “ผู้รู้” เหมือนกัน
ถ้า “มันชอบ” แล้ว
“ความไม่ชอบ” มันก็หายไป

“สุข” “ทุกข์ นั้น “ไม่มี” หรือ
“มีอยู่” แต่ “ไม่มี” ใน “ใจ”
ก่อนจะมี “ในใจ” “ใจ” มัน
ก็เป็น “ผู้รู้” เสียแล้ว เป็น
“ผู้รู้จักชอบ” เสียแล้ว
“รู้ดี” เสียแล้ว

“อาการสุข” ก็เกิดขึ้นได้
แต่ไม่ได้หมายถึง “สุข”
“อาการทุกข์” ก็เกิดขึ้นได้
แต่ไม่ได้หมายถึง “ทุกข์”
นั่นเรียกว่า “มีความเห็นชอบ”

“ความรู้” กับ “ความหลง” นั้น
มันเกิดใน “ที่เดียวกัน”
“ความรู้” เกิดขึ้น “ความหลง”
ก็ “อยู่ไม่ได้” ตัว “วิญญาณ”
นี้ เกิดที่ไหน เรียกว่า “ผู้รู้”

“ผู้รู้” คือ “ดวงจิต” "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท











“เครื่องประดับใดๆ ในโลก ก็สู้ธรรมะไม่ได้
ถ้ามีธรรมะประดับใจตนแล้ว ย่อมเป็นผู้เจริญรุ่งเรือง แน่นอน”

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร










“ร่างกายนี้เป็นดงหนาป่าทึบในดงหนาป่าทึบนี้
เต็มไปด้วยอสรพิษ ได้แก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย
เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ในกายนี้ เมื่อเราหลง
อยู่ในดงหนาป่าทึบอันนี้ จึงถูกอสรพิษทำร้ายอยู่ตลอดเวลา
หลงในร่างกายนี้ ชายหลงหญิง หญิงหลงชาย
หลงกันอยู่อย่างนี้ เราหลงเขา เขาหลงเรานี้
จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้
ถ้าใครมาถากถาง ดงหนาป่าทึบ
คือ ร่างกายนี้ ให้เตียนโล่ง คือ ให้เห็นสภาพ
ความเป็นจริงในกายนี้ เป็นของแตกดับทำลาย
ไม่จีรังยั่งยืน ในที่สุด ก็จะสลายลงสู่ธาตุเดิมของเขาเท่านั้น
เมื่อเห็นอย่างนี้ จึงจะได้ชื่อว่า ข้ามดงหนาป่าทึบไปได้
จึงจะพ้นทุกข์พ้นภัยไปได้”

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล











#อดีตผ่านไปแล้ว กลับมาแก้ไขไม่ได้
#อนาคตยังมาไม่ถึง ไม่ต้องไปคิดไปห่วง
#อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี
ใช้จิต. พินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา
จะได้ธรรมอันสูงสุด.

#คติธรรม #หลวงปู่เสถียร #คุณวโร
#วัดถ้ำพระ(#ภูวัว) อ.เซกา จ.บึงกาฬ








คำว่าครอบครัว. นี่มันวุ่น. ขังไว้อยู่นั่นแหละ. จะไปไหนก็ไม่ได้. น้ำตาก็ไหล. ไม่มีวันหมด.

โอวาทธรรมหลวงปู่ชา สุภัทโท







#เห็นคุณจริงๆของการปฏิบัติ

ผู้ที่มีความรู้สึกอยู่อย่างนั้นแหละ ด้วยสติปัญญาที่เห็นโทษจริงๆ และเห็นคุณจริงๆ ของการปฏิบัติ คนเหล่านี้จะอยู่ไม่ได้ จะอยู่เฉยไม่ได้ ไม่มีทางที่เขาจะมานอนเล่น ไม่มีทางที่จะมากินเล่น ไม่มีทางที่จะอยู่แบบปล่อยจิตปล่อยใจอย่างนั้น ไม่ต้องไปควบคุมกันหรอก ไม่ต้องไปบังคับกันหรอก ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญกันหรอก ท่านเทียบเหมือนวัว ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านเทียบเหมือนวัว มันมีหญ้ามันมีทุ่งหญ้าอยู่ ทุ่งหญ้า หญ้าขึ้นงดงามเขียว มันปล่อยวัวไปแล้ว ถ้ามันเป็นวัวถ้ามันรู้จักความ มันต้องไปกินหญ้า ไปกินหญ้า ถ้ามันไม่ไปกินหญ้า มันปล่อย เล่น มันเที่ยวเล่นเที่ยวเพลิดเพลิน หญ้าก็จะหมดไป มันก็จะอด ตัวอื่นเอาไปกินหมดก็ตาม หรือหญ้ามันตายก็ตาม ไอ้ตัวนั้นก็อด ไม่ได้กินหญ้า นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยตัวปล่อยเวลา ปล่อยความรู้สึกเราปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถึงจะอยู่ในสนามหญ้าก็ตาม ก็ไม่เกิดประโยชน์ ถึงจะอยู่ในที่วิเวกก็ตาม ความสงบนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถึงไม่คลุกคลีก็ตาม ตรงกันข้าม ถ้าเขาพากเพียรเขาขยัน เขาเอาใจใส่และเห็นโทษเห็นภัย เห็นคุณค่าจริงๆ ป่านั้นก็เป็นที่ร่มรื่น สถานที่นั้นก็เป็นที่ร่มเย็น สถานที่นั้นเป็นที่ๆมีบุญคุณ เป็นที่ๆ ทำให้เราได้รับรสแห่งธรรมะ มันเป็นประเภทคนเลี้ยงวัวแต่ไม่ได้กินนมวัว รีดนมนั่นแหละ เอาไปขาย ขายให้คนอื่นเขากิน เจ้าของก็เป็นเจ้าของวัว รีดนมวัวอยู่แต่ก็ไม่ได้กินนม

พวกเรานักปฏิบัติทั้งหลายก็เฉกเช่นเดียวกัน เราอยู่ในศาสนา เราอยู่ในโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า เรามีโอกาส มีโอกาสที่จะลิ้มรสแห่งพระสัจธรรมทั้งหลาย แต่เราปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เราไม่ลิ้มรสในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ก็น่าเสียดาย น่าเสียดาย ต้องใช้คำว่า “โมฆบุรุษ” ก็ดี หรือใช้คำว่า “ว่างเปล่า” ว่างเปล่า ว่างเปล่าจากคุณงามความดีทั้งหลาย ให้ผ่านวันผ่านคืนไปเรื่อยๆ ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว ระลึกย้อนหลังก็ โอ้เสียดาย เราไม่เร่งรีบ เราไม่รีบเร่ง เราไม่ทำประโยชน์ตนให้มันบริบูรณ์ ก็อย่าให้มันเสียใจภายหลังล่ะ

พระอาจารย์บัณฑิต สุปณฺฑิโต











เกิดมาทำไม. เอาอะไรไปด้วยได้มั้ย? ถามตัวเองบ่อยๆ. มันจะมีปัญญา.

โอวาทธรรมหลวงปู่ชา สุภัทโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร