วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2020, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมากราบหลวงพ่อ ได้เล่าถึงการสูญเสียลูกชายขณะบวชเป็นพระ ซึ่งอายุเพียง ๒๓ ปี (บวชได้ ๒ พรรษา)
หลวงพ่อ : เสียลูกคงจะเสียใจมากนะ
โยม: รู้ว่าที่สวดๆทำวัตรเช้าวัตรเย็น การพลัดพรากจากของรักของเจริญใจเป็นทุกข์ ตอนแรกก็สวดเราก็รู้ว่าทุกข์ เพราะไม่เจอกับตัวเองเราไม่รู้ พอแม่เสียก็ไม่เสียใจเท่านี้ เพราะท่านไปด้วยวาระ คืออายุมากแล้ว แก่แล้วเจ็บตาย แต่ลูกนี้ยังไม่แก่เลย หนุ่มๆก็ไปได้ น้ำตาไหลอยู่ ๓ เดือนครับ แว๊บคิดขึ้นมาก็ไหลๆ รู้เลยว่าเข้าถึงหัวใจ เสียใจเหมือนใจจะขาด เสียใจขนาดนั้น แล้วก็เลยรู้ว่าทุกข์ขนาดนี้เวลาเสียของรักที่เรารักอยู่
หลวงพ่อ : คิดว่าจะทุกข์กว่าเวลาที่เราจะต้องตายไหม
โยม : ครับ ผมว่าเราตายทุกข์กว่า
หลวงพ่อ : คนเราไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไรนะ ต้องเจอเอง เวลาสวดก็สวดแต่ชื่อไม่ได้เจอตัวมัน
โยม : พอเจอนี้โอโห
หลวงพ่อ : ไม่คิดว่าตัวเองจะทุกข์ได้ขนาดนี้นะ
โยม : ครับ ไม่เคยคิดเลยครับ ทีนี้ก็เห็นคนที่เขามีลูกแล้วตายกระทันหัน อุบัติเหตุตาย เห็นเขาร้องห่มร้องไห้เสียใจ เข้าใจเขาเลยครับว่าเขาทุกข์อย่างไร ตอนแรกเราเห็นอยู่ว่าเขาเสียใจ แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันเข้าไปถึงขนาดไหน พอรู้แล้ว อ๋อ มันขนาดนั้นจริงๆ ถ้าคนทำอารมณ์ไม่ได้ ทำใจไม่ได้ก็เป็นบ้าไปเหมือนกัน
หลวงพ่อ : มันทรมานจิตใจนะ แต่มันก็ดีอย่างนะ มันทำให้เราได้เห็นทุกข์ เราจะได้เชื่อพระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากกันเป็นทุกข์ ไปเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ เห็นเหตุของความทุกข์หรือเปล่า
โยม : เห็นครับ รักมากเท่าไรทุกข์มากเท่านั้นครับ
หลวงพ่อ : คือความอยากนะ รักอะไรก็อยากจะให้อยู่กับเราไปนานๆ ถ้าไม่รักก็จะไม่ทุกข์นะ คนที่เราไม่รักนี้เขาจะเป็นตายอย่างไรเราก็ไม่เดือดร้อน แล้วตอนนี้หยุดความรักได้ไหม
โยม : ก็กิเลสมันดึงนะครับ พอเราคิดว่าผู้หญิงผู้ชายชอบกันแต่งงานกันแล้ว ปฏิสัมพันธ์แล้วมีลูกมีเต้าขึ้นมาก็สร้างความทุกข์ขึ้นมาทั้งนั้นเลยในโลก เพราะทุกคนในโลกนี้เป็นเหมือนกันหมด เป็นเหมือนเราหมดเลยแล้วก็ถ้าไม่รักมันก็ไม่ทุกข์ ถ้ารักเมื่อไรมันก็ทุกข์เมื่อนั้น
หลวงพ่อ : รักแล้วตอนนี้ตัดมันได้ไหม
โยม : ตอนนี้ก็ยังครับ มันก็ยังดึงอยู่ครับ แต่ว่าก็ต้องหักใจครับ ถึงเวลาก็ต้องตัดใจครับ
หลวงพ่อ : "ต้องหัดหยุดรักตัวเรา หยุดรักทุกสิ่งทุกอย่าง"
มีความเมตตาต่อกันได้ แต่อย่าไปรักแบบยึดติด รักแบบว่ามีความปรารถนาดีต่อกันดูแลกันช่วยเหลือกัน แต่อย่ารักแบบเป็นของเรา ถ้ารักแบบเป็นของเรา มันก็จะอยากให้อยู่กับเราไปเรื่อยๆ ถ้าอยากแล้วก็จะทุกข์ ถ้าไม่ได้รักแบบเป็นของเรา รักแบบว่าเป็นของคนอื่น เราก็เพียงแต่ดูแลกันไปช่วยเหลือกันไป เวลาจากกันไปก็จะไม่ทุกข์ เหมือนกับเรารักคนอื่น มีความเมตตา มีความปรารถนาดีต่อคนอื่น เราก็ไม่ได้ไปถึงกับยึดเขามาเป็นของเรา เขาจะเป็นอะไรเราก็จะไม่ทุกข์กับเขา.
................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 13/11/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










"แท้ที่สุดของชีวิตคนเรานั้น
นอกจากได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว
ที่สุดของชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือ การ
รู้ธรรม ปฏิบัติธรรม อยู่ในแสงสว่าง
แห่งธรรม.. "

#หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ









"ให้รักษาใจเจ้าของ พระอริยเจ้าบรรลุ... ก็บรรลุที่ใจ"

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ






บางคนอาจจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก
บางคนอาจจะไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลย
แต่ความเชื่อมั่น หรือไม่เชื่อมั่นในจิตใจของเรา
ก็เป็นแค่นั้นแหละ มันเป็นแค่อารมณ์"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ








"การทำผิดเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
ถ้าค้นพบความผิด แล้วแก้ไข และตั้งใจไม่ทำอีก
เป็นซ้ำสอง น่ายกย่องนับถือยิ่งนัก"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ



"อย่าไปมัวเพ่งโทษ คนนั้น คนนี้
ว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้
ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้

โดยมิได้นึกถึงตนเองเลยว่า
ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้
ที่เป็นบุญ เป็นกุศล ไม่เป็นบาป
ไม่เป็นอกุศล แล้วทำตามที่คิดในทันที

การมัวไปเพ่งโทษคนอื่น
ว่าทำผิดอย่างนั้น ทำไม่ดีอย่างนี้
นอกจากไม่ให้คุณ แก่ใครแล้ว
ไม่ช่วยประเทศชาติ ให้ร่มเย็นเป็นสุข
แล้วยังให้โทษ แก่จิตใจตนเองด้วย

ดังนั้น จึงทรงมีพระพุทธภาษิต เตือนไว้ว่า
.... บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น ....
เพราะไม่มีคุณ มีแต่โทษสถานเดียว”

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ



..#ตัวเราเองติเตียนตัวเอง
#ตักเตือนตนเองได้หรือเปล่า

ตรงนี้เป็นเรื่องที่พวกเราจะสนใจ สนใจพิจารณาตนเอง เราอย่าเพิ่งสนใจคนอื่น สนใจตนเองนี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

..เราจะแผดเผากิเลสของตนเอง จะแก้ไขตนเอง จะพัฒนาตนเอง ถ้าเรามีความรักตน เราก็ต้องฝึกฝนอบรมตนสิ ให้มันได้ดีเป็นที่พึ่งของตนให้ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่เราจะสนใจในการปฏิบัติ..

..#โอวาทธรรม
#หลวงปู่เปลี่ยน #ปญฺญาปทีโป..



#ทำอย่างไรจึงจะได้พบกับท่าน
#ที่เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ

ข้อนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับวาสนาของเรา
ผู้ทำทานเป็นสำคัญ

หากเราได้เคยสร้างสม อบรมสร้างบารมีมาด้วยดีในอดีตชาติ เป็นอันมากแล้ว บารมีนั้น ก็จะเป็นพลังวาสนาน้อมนำให้ได้พบกับ ท่านที่เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ

ทำทานครั้งใดก็มักโชคดีได้พบ กับท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปเสียทุกครั้ง

หากบุญวาสนาของเราน้อยและไม่มั่นคง ก็จะได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญบ้าง ได้พบกับอลัชชีบ้าง คือดีและชั่วคละกันไป

เช่นเดียวกับการซื้อสลากกินแบ่งสลากกินรวบ หากมีวาสนาบารมีเพราะได้เคยทำบุญให้ทานฝากกับสวรรค์ไว้ในชาติก่อน ๆ ก็ย่อมมีวาสนาให้ถูกรางวัลได้

หากไม่มีวาสนา เพราะไม่เคยทำบุญทำทานฝากสวรรค์เอาไว้เลย ก็ไม่มีสมบัติสวรรค์อะไรที่จะให้เบิกได้ อยู่ ๆ ก็จะมาขอเบิก เช่นนี้ก็ยากที่จะถูกรางวัลได้

#สมเด็จพระญาณสังวร
#สมเด็จพระสังฆราช #สกลมหาสังฆปริณายก




#ท่านพ่อลี #สอนว่า ....

#พุทโธ เป็น คำภาวนา การมีสติรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นองค์ภาวนา เป็นตัวพุทธะ เมื่อจิตอยู่แล้ว. ทิ้งคำภาวนาได้

คำภาวนาเหมือนเหยื่อหรือเครื่องล่อ เช่น เราอยากให้ไก่เข้ามาหาเรา เราก็หว่านเมล็ดข้าวลงไป เมื่อไก่วิ่งเข้ามาหาแล้ว เราก็ไม่ต้องหว่านอีกฉันใดก็ฉันนั้น"

#ท่านพ่อลี #ธัมมธโร









เข้าที่. นั่งภาวนา. ฟัง
เราต้องตั้งใจปฏิบัติ. ตั้งแต่นี้.
ไปจนตาย. ถึงจะคุ้มค่าที่สุด.

#หลวงพ่อบุญมี #ธัมมรโต









#ให้พากันภาวนา...

เจ้าของเฮ็ดหยังทำหยังคือจะบ่รู้.. เจ้าของเดินช้าเดินเร็ว ยืน เดิน นั่ง นอน เคลื่อนไหวไปมา เจ้าของวกซ้ายและขวา คายน้ำมูก คูดน้ำลาย ก้มเงยคู้เหยียดทำไมจะไม่รู้

#ให้มาดูเจ้าของเบิ่งเจ้าของ

ถ้าดูเจ้าของกะรู้ธรรมะล่ะ เพราะบ่หนีจากธรรมไปได้.. รูปธรรมนามธรรม กายกับจิต ให้พิจารณาลงสู่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ หรือพิจารณาสู่อนัตตาโดยตรง รูปังอนัตตา เวทนาอนัตตา สัญญาอนัตตา สังขารอนัตตา วิญญาณอนัตตา มันเป็นอนัตตาหมด

"#สัพเพธัมมาอนัตตาติ "

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มันก็ไม่ควรยึดติด ติดไม่ได้เพราะมันเป็นอนัตตา ติดมืด ถ้ามันมีแจ้งล่ะก็เป็นทุกข์ ติดแจ้ง ถ้ามันมีมืด ก็เป็นทุกข์ ติดร้อน ถ้ามันมีหนาว ก็เป็นทุกข์ ติดหนาว ถ้ามันมีร้อน ก็เป็นทุกข์

#ทำอย่างไรเราจะไม่มีทุกข์..

พระพุทธเจ้าสอนว่า แสวงหาธรรมเป็นที่พึ่งเด้อ.. หาความพ้นทุกข์เด้อ.. ทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือ ใจตัวนี้ล่ะมันสำคัญ "พาให้สุข พาให้ทุกข์"

#จะอยู่ได้ #จะไปได้
#ก็เพราะจิตตัวเดียว

จิตตัวเดียวนี้ล่ะ เป็นผู้บงการบริหารร่างกายเรา ถ้าหากจิตหลง..มันก็เป็นทุกข์ ถ้าจิตรู้..มันก็ไม่เป็นทุกข์

#เพิ่นให้รู้

ให้รู้ธรรมในโลก แล้วจึงจะได้ธรรมนอกโลกมาเป็นที่พึ่ง โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม มันธรรมคนละแบบ

#ถ้าไม่ได้ธรรมนอกโลก
#มันก็มาเกิดมาตาย

ทำให้ดีใจ เสียใจ
ร้องให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนี้

เหตุนั้นเรามีโอกาสบำเพ็ญ บวชเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา ให้พากันปฏิบัติ เบิ่งเจ้าของ ดูเจ้าของ บ่แมนหยังดอก

#ถ้าเบิ่งเจ้าของ #ก็จะรู้ธรรมเห็นธรรม

ถ้าไม่ดูตัวเองก็ไม่รู้ธรรมเห็นธรรม
เพราะธรรมมันมีอยู่ในตัวเจ้าของนั้นล่ะ..
รูปธรรมนามธรรม จิตกับกาย กายกับจิตก็อยู่ในตัวเรานี้ล่ะ..

#ถ้าไม่ดูตัวเองมันก็ไม่เห็นหรอก.

โอวาทธรรมหลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก
สำนักสงฆ์สุขสมบูรณ์





#เบิ่งครูบาอาจารย์
#ให้เบิ่งตอนเพิ่นปฏิบัติ

อย่าเบิ่งตอนเพิ่นเฒ่าตอนเพิ่นสบาย
ให้เอาตอนที่เพิ่นปฏิบัติสละเป็นสละตายเพื่อสิได้ธรรม

#ให้เอามาพิจารณา
#ให้เป็นกำลังใจตัวเอง

ให้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติภาวนา ของอย่างอื่นบ่ต้องไปถามหามันทรัพย์ภายในเต็ม ทรัพย์ภายนอกมันก็ย่อมมี เทวดาเขาหามาให้

#ถ้าคนสิมีสิดี #ไปอยู่ใสตกใสก็ดี

#โอวาทธรรม #หลวงปู่ประเสริฐ #สิริคุตโต #วัดป่าเวฬุวันอรัญญวาสี อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี




กรรมที่เคยฆ่าเต่า
พระครูกิตติอุดมญาณ (หลวงปู่ไม อินทสิริ)
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


ปีที่หลวงปู่เข้าไปโรงพยาบาลศิริราช ปี ๒๕๔๐ ปีนั้นนั่งอย่างเดียว นอนก็ไม่ได้ ฉันได้วันละคำสองคำ มันกลืนไม่ลง ไข้ก็ขึ้นสูง นอนก็ไม่ได้ใจมันก็จะขาด ที่เป็นหนักอยู่เกือบ ๒ อาทิตย์ หน้าอกเหมือนจะระเบิดเหมือนกับไฟเผา เหงื่อไหลไม่หยุด มันๆ ไม่ใช่เหงื่อหรอกมันเป็น “ยางตาย” (ภาษาอีสาน) ผลสุดท้ายก็ว่าจะตัดสินใจตาย เอ้า ! ตายก็ตาย

นั่งภาวนาดูแต่ลมหายใจเข้า, ออก เอาพระพุทธเจ้าเข้าไปในลมหายใจตลอดเวลา “พุทโธๆ” อยู่อย่างนั้น ไม่ได้สนใจอะไรล่ะ ตายๆ มันจะตายอยู่แล้ว ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกเรื่องร่างกายสังขารเราก็เคยวางมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ครั้งนี้ยังจะมาแพ้อีกเหรอ

อื่ม เราไม่แพ้มันหรอก

ก็จับเอาพุทโธอยู่อย่างนี้ เราเตรียมตัวตายเสียดีกว่า ก็นั่งสมาธิภาวนาเตรียมตัวตาย !

พอถึงเที่ยงคืนมา เห็นเต่า (เห็นในนิมิต) มันนอนหงายดิ้นกะแดวๆ อยู่ หน้าอกมันแตกเลือดเต็มอยู่พื้น มันดิ้นๆ ใจจะขาดนะ

พอ...ไปเห็นตรงนั้นปั๊บนึกไปถึงตัวเอง


เอาสันมีดเนี้ยตีหน้าอกเต่า สมัยเป็นเด็กฆ่าเต่าไม่เป็น ตีหน้าอกมัน มีพ่อตาคนหนึ่งบอก “ตีหน้าอกมันลูก !!” เราก็ซัดเลยตีจนกว่ามันจะตาย หน้าอกมันแตก

โอ๊ย !...พอเห็นตรงนั้นปั๊บมันตุดเข้ามาตรงนี้เลย (ตรงหน้าอก)

โอ๊ยทำไมเราถึงมาเป็นอยู่ตรงนี้ พอรู้แล้วน้ำตามันก็ไหลสงสารเต่า

นิแหละที่ว่า ความไม่รู้เดียงสาที่เราเกิดขึ้นมาไม่รู้เดียงสาไปทำตามกิเลสของตนเอง


ทำไมถึงไปทำอย่างนั้น มีพ่อตาคนนั้นหนะ เขาบอกวันนี้เราไม่มีอาหาร เราต้องเผาเต่าตัวนี้กิน แกก็บอกเราก่อกองไฟขึ้นก็ใช้เรา เราเป็นเด็กเนาะ เขาบอกให้ทำไงเราก็ทำไป เขาบอกให้ฆ่าเต่าถือมีดคอยฟันหัวมันอยู่เนี้ย

ปล่อยเต่าเอาไว้ พอนานๆ นิ่งๆ มันจะโผล่หัวออกมาขามันก็ออกมา เราจะฟัน พอจะฟันลงไป หัวกับขามันก็หุบเข้าไปเลยไม่รู้จะฟันตรงไหนที่นี้ ฆ่าเต่าก็ไม่ได้นั่งจนเหนื่อย ตาลายหิวข้าวล่ะทีนี้

พ่อใหญ่ : ฆ่าตายหรือยังละลูก ?

หลวงปู่ตอนเป็นเด็ก : โอ๊ยยังไม่ตายเลย

พ่อใหญ่ : มึงทำอะไรมันอยู่ล่ะ ?

หลวงปู่ตอนเป็นเด็ก : คอยฟันหัวมันอยู่

พ่อใหญ่ : โอ๊ย..หงายมันขึ้น ให้มันนอนหงายแล้วตีหน้าอกมัน

เราก็เลยทำอย่างที่เขาบอก สันมีดบังตอนิหละตีเลย !!

หน้าอกมันแตก มันถึงได้มาปวดหน้าอกเรา พอเห็นอย่างนั้นน้ำตามันล่วงไหล

สงสาร “ทำไม๊ เราไปทำเค้าอย่างนั้น” พอนึกไปก็ตำหนิตาคนนั้นด้วย ทำไมมาใช้เราทำอย่างนี้ เอ้า ! ก็ไปด้วยกันเราเป็นผู้น้อยเขาก็ต้องใช้เรา เราเป็นเด็ก ผลสุดท้ายกรรมตกที่เรา

พอนึกไปถึงตรงนั้น เต่ามันก็มองจ้องเราอยู่ พอเห็นน้ำตาเราไหล ตามันก็พริบๆ พริบๆ ตามันก็เล็กๆเนาะ พอน้ำตาตกลง (เต่ามันร้องไห้เหมือนกัน) เราก็ร้องไห้เหมือนกัน

นั่งภาวนาอยู่นั่นหนะ ต่างคนก็ต่างสงสารกัน

พอ...หลังจากนั้นมาเห็นหัวใจตัวเอง ที่มันปวด หัวใจมันบีบ พอเห็นหัวใจมันทำงานนะ เวลามันบีบตัวมันสูบเลือด หัวใจมันสูบเลือด มันมีเส้นเลือดผ่านมาทางนี้ (ทางใต้หน้าอกด้านขวานี้) มันเป็นเส้นเลือดใหญ่ออกจากหัวใจมา ดำปึด อยู่จุดหนึ่ง พองขึ้น พองขึ้น ขนาดเท่านี้ (เปรียบเทียบกับนิ้วหัวแม่มือ) เส้นเล็กๆ จนเขียวปึด มันใกล้จะระเบิดแล้ว โอ๊ยมันปวดตรงนี้เอง

วันนั้นหนะหมอเอกซเรย์ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงถึง ๑๒ ครั้ง ไม่เจออะไร เอกซเรย์ออกมาก็ขาวจั้วๆ แผ่นเอกซเรย์หนะ เข้าเอกซเรย์อุโมงค์นะ มีแต่อาจารย์หมอ ๗ คน ยืนล้อมอยู่ ทีนี้ก็มีอาจาย์หมอคนหนึ่งเขาก็แก่แล้วละใกล้จะเกษียณแล้ว

“โอ๊ย...หลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกผมดูอยู่เนี้ย” เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา เดี๋ยวผมจะจัดยาแก้ปวดให้ไปอยู่มูลนิธิ ฉันวันสองวันก็หาย

พอเราได้ยินอย่างนั้นแล้วโอ...จะส่งเราไปตาย เรานึกว่าจะส่งเราไปตายแล้ว (หัวเราะ) ก็เลยว่า เอาล่ะ ! หมอ เป็นไข้ก็เป็นจะจัดยาก็จัดแต่ว่า

อยากจะถามวิธีการที่หมอเรียนมาเนี้ยสรีระร่างกายของคนเราเนี้ย

หัวใจมันทำงานอย่างไง ? อาตมาไม่ได้เรียนนะแต่ขอถามหน่อย หมอก็ยืนเต็มอยู่

หลวงปู่ : เวลาหัวใจมันทำงานมันจะบีบตัวอย่างนี้ใช่ไหม (พร้อมกับกำมือแล้วยกนิ้วโป่งหุบเข้าขณะที่หลวงปู่เทศน์อยู่)

หมอ : ครับ

“หนะมีแต่อาจารย์หมอนะ”

หลวงปู่ : หัวใจมันทำงานเนี้ยมันสูบเลือดมันทำงานเหมือนเครื่องสูบน้ำนี้ใช่ไหม ?

หมอ : ครับ

หลวงปู่ : มันมีเส้นเลือดใหญ่อยู่หัวใจผ่านมาใต้นมนี้ใช่ไหม ? มีไหม ?

หมอ : ครับ มีครับ !

หลวงปู่ : เออ...! ถ้ามี...ฟังให้ดี เมื่อคืนนี้...อาตมาเห็นไข้มันมันอุดอยู่ตรงนี้ (พร้อมกับชี้ลงใต้นมด้านขวา) มันเป็นก้อนผสมกับเลือดจนดำแล้ว เหมือนกับลูกกระสุนมันอุดอยู่ตรงนี้ เวลาหัวใจมันสูบเลือดเนี้ย เลือดมันจึดๆ เลือดมันไปไม่ได้ ตรงเนี้ยตอนเนี้ยมันเขียวปึดเลย ขนาดนี้เนี้ย (พร้อมยกนิ้วเปรียบเทียบ) มันใกล้จะระเบิดแล้วพอพูดอย่างนี้

หมอ : โอ๊ย..เอกซเรย์ใหม่ ! เลยเข้าเอกซเรย์ พอเข้าเอกซเรย์ พอเราเปิดเผยอย่างนี้แล้ว คุณหมอวิยะดาก็มาอยู่ใกล้ๆ มากระซิบ หลวงพ่อๆ หลวงพ่ออย่ากำหนดจิตเวลาเขาเอกซเรย์ เออใช่สิเรากำหนดจิตจ้องมันอยู่ตลอดเวลา เราก็จ้องดูตรงนี้ ตั้งแต่วันที่เราเริ่มเจ็บมา จนกระทั่งเราอยู่ที่โรงบาล เอกซเรย์อยู่ก็จ้องที่ตรงนั้น ถ้าอย่างนั้นเอกซเรย์มันไม่ผ่าน

คุณหมอวิยะดา : หลวงพ่ออย่าว่าหนูละลาบละล้วงนะ หมอวิยะดาเป็นหมออุปฐากหลวงปู่ชอบนะ หลวงปู่ชอบเอกซเรย์มันก็ไม่ผ่านเหมือนกัน หลวงปู่ชอบเลยพูดว่า โอ๊ย...!! เราลืมวางจิต เครื่องเอกซเรย์มันเลยเอกซเรย์ไม่ได้ นิล่ะหนูได้ความรู้จากหลวงปู่ชอบ

เออ...! เราก็เลยหายใจนับ ๑ นับ ๒ ก็ลืมตาขึ้นอยู่ในอุโมงก็นับตามเขาเขาบอกกั้นใจก็กั้นใจ พอทำตามเข้าปั๊บเอกซเรย์ออกมาปั๊บ โอ...มันเห็นหมดเลยร่างกายเนี้ย เส้นเลือด อาจารย์หมอวันชัยตรวจแผ่นเอกซเรย์ เราออกมานั่ง ยังไม่ได้ว่าอะไร

หมอวันชัย : หลวงพ่อๆ !! ผ่าตัดด่วนๆ !!!

หลวงปู่ : ยังไม่ได้นั่งคุยกัน มันอะไรล่ะหมอ

หมอวันชัย : นี่ๆ ดูสิเส้นเลือดมันจะระเบิดแล้ว ถ้าไม่ผ่าไม่ทันนะ ถ้ามันระเบิดนี้ตายแน่นะ

หลวงปู่ : หมอหยุดก่อนใจเย็นๆ (หัวเราะ) ใจเย็นๆ

หมอวันชัย : ใจเย็นยังไงหลวงพ่อ ผมไม่ได้เป็นคนป่วยหลวงพ่อป่วย

หลวงปู่ : เออ...ใจเย็นๆ อย่าพึ่งผ่า

หมอวันชัย : เอ้าจะทำยังไงล่ะ

หลวงปู่ : ยาดีๆ อยู่ที่ศิริราชนะมีไหม

หมอวันชัย : ยาอะไรหลวงพ่อ (หมอพูดด้วยความตกซะเพ้อ)

หลวงปู่ : เอ้าก็เป็นหมอไม่ใช่เหรอ (ท่านพูดด้วยความตลก) ไขมันมันอุดตันก็เอายาละลายไขมันอย่างดีที่สุดสิ (หัวเราะ) เอายาละลายไขมันดีที่สุด! แล้วผลเลือดมันออกมาตอนนี้ มันไปทำลายตับ ตับมันสกัดน้ำตาลไม่ได้ เริ่มเป็นน้ำตาลปีนั้นเลย นั้นละปีนั้นละเป็นน้ำตาลขึ้นสูง โรคเบาหวานมาพร้อมกัน

ก็เลยว่าเอายาลดน้ำตาลกับยาละลายไขมัน หมอบอกว่า ครับๆๆ ถ้าเอายาสองอย่างนี้มาไม่ได้ผ่า

พอได้ยามาหมอก็จัดให้ไปนอนห้องพิเศษ แล้วก็นั่งภาวนา โอ๊ย...มันเบาลงเลย ๒ ชั่วโมงเท่านั้นละเบา หน้าอกนี้เย็นลงไปเย็นลงไปมันละลายพอไขมันละลาย พอเช้ามาไปเอกซเรย์ดู เส้นเลือดเริ่มเป็นปรกติมันถึงไม่ปวด

โอ๊ย...อานิสงส์เห็นเต่า เต่าสงสารเรา ภาวนาไปเห็นเต่า เต่ามันร้องไห้มันก็คงเมตตาเราเนาะ โอ๊ย...ต่างคนก็ต่างไม่รู้ มันคงว่าอย่างนั้นละ แกก็ถูกเขาบังคับให้ทำเราเหมือนกัน เต่าก็คงจะว่าอย่างนั้นละนะ อื่มนั้นล่ะ มันก็เลยอโหสิกรรมให้กัน นี่ล่ะภาวนาไปเห็นกรรมมันถึงจะปลดกรรมได้ นี่อานิสงส์ของการภาวนา



:b8: :b8: :b8: ถอดความจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินฺทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2557
ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=59010

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่ไม อินฺทสิริ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=58801


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร