วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 08:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2020, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


การครองเรือน มันจะไปวิเศษวิโสอะไร​ มีแฟนก็ทุกข์กับแฟน​ ต่อให้มีอีกมากมายเท่าไร มันก็ไม่พ้น ต้องทุกข์กับคนนั้นอยู่ดี​ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์อยู่อย่างนั้น​ ไม่จบไม่สิ้น​ สุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว​ แต่ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส​ อยู่ในโลกใบนี้ ตัวเองยังไม่รู้จักเข็ดอีกหรือ

_หลวงปู่​ปรีดา​ (ทุย)​ ฉนฺทกโร








สงบได้ เพราะใจยอมรับ
ถ้าเราฝึกใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ยอมรับได้...ใจก็สงบ
ข้างนอกมันจะวุ่นวายอย่างไร
ใจก็เห็นว่ามันเป็นธรรมดา
ความล้มเหลวก็เป็นธรรมดา
คนพูดจาไม่น่ารักก็ธรรมดา
เจ็บป่วยก็ธรรมดา
พอเห็นเป็นธรรมดา...ใจก็ไม่ผลักไส...ไม่โวยวาย...ไม่บ่น...ไม่โอดครวญ
และนั่นแหละความสงบก็จะเกิดขึ้นได้กับใจของเรา
อันนี้เป็นความสุขที่เราสามารถจะพบได้
ไม่ใช่ที่ไหน..เราพบได้ที่ใจของเรา
เพียงแต่เรารู้จักการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล












...เมื่อก่อนนี้เราก็.."ไม่เคยสนใจศาสนา เป็นคนหัวทันสมัย" คิดว่าศาสนาเป็นเรื่องของคนล้าสมัย
.กลัวจะหลงงมงาย เพราะเห็นคนเข้าหาศาสนาเป็นคนงมงาย เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งบางศาสนาก็เป็นอย่างนั้นแต่ศาสนาพุทธ..ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
.สิ่งที่ศาสนาพุทธสอนนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้ ศาสนาพุทธสอนว่า "ความทุกข์เกิดจากความอยากต่างๆ" ถ้าอยากจะดับความทุกข์ก็.."ให้ดับความอยาก"
.พอนำไปปฏิบัติดู พอดับความอยากได้ ความทุกข์ก็จะหายไป จะรู้เลยว่านี้.."เป็นคำสอนที่แท้จริง ที่ถูกต้อง" ที่ช่วยเราได้จริงๆ ช่วยดับความทุกข์ภายในใจของเราได้
.เพราะเวลาศึกษาศาสนานี้ "ต้องดูที่ใจเราเป็นหลัก" ว่าคำสอนมีผลอย่างไรต่อจิตใจ ..ถ้าทำให้ใจทุกข์น้อยลงได้ก็ใช้ได้.. แต่ถ้าจะให้หายหมดเลยหรือไม่มีนี้ก็อยู่ที่ความสามารถของแต่ละศาสนา
.ศาสนาส่วนใหญ่จะช่วยทำให้ความทุกข์ใจเบาบางลง แต่จะให้หมดไปเลย มีเพียงแต่ศาสนาพุทธนี้เท่านั้นที่จะทำให้ความทุกข์หมดไปได้
.ก่อนตัดสินใจออกจากงาน ได้เห็นตัวอย่างแล้ว ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้หรอก "จิตหลุดจากเวทนาด้วยการบริกรรม"
.พอเจ็บก็บริกรรมไปเรื่อยๆแป๊บเดียวก็หายไปเลย เบา โล่ง สบาย ก่อนหน้านี้รู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง พอบริกรรมอย่างต่อเนื่อง มันก็หายไปหมดเลย
.แต่ยังเป็นเพียงตัวอย่าง เป็นเหมือนเชลล์ชวนชิม ได้ชิมได้ลิ้มรสแล้วรู้ว่า.."ไปถูกทางแล้ว" นี่แหละคือสิ่งที่แสวงหามาตลอดแต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนี้ ตอนนี้รู้แล้ว รู้ว่าการที่จะได้มาเป็นกอบเป็นกำนี้ ต้องมีเวลาให้กับมัน เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องเลือกทางนี้.
.......................................
.
คัดลอกจากหนังสือ
#มหาเศรษฐีที่แท้จริง
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








" เราไม่กลัวความตาย
เพราะเราสร้างกุศล

เราไม่กลัวความจน
เพราะเรามีสันโดษ

เราไม่กลัวความโกรธ
เพราะเรามีเมตตากรุณา

เราไม่กลัวความริษยา
เพราะเรามีมุทิตาจิต

เราไม่กลัวความผิด
เพราะเรามีหิริโอตตัปปะ

เราไม่กลัวราคะ
เพราะเราไม่ดำริ

เราไม่กลัวมิจฉาทิฏฐิ
เพราะเรารู้แจ้ง

เราไม่กลัวความแห้งแล้ง
เพราะเราอยู่กับพระนิพพาน "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อสาย อคฺควํโส








" พระพุทธเจ้าตรัสแล้ว
ว่า ชีวิตของคนเรานี้
น้อยหนักหนาให้พึงรู้ว่า
ลมหายใจ ลมหายใจเข้า
ไม่ออกก็ตาย ลมหายใจ
ออกไม่เข้าก็ตาย
อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น
มนุษย์เรา

เพราะฉะนั้น ความตาย
ที่รอเราอยู่นั้น เป็นสิ่ง
บ่งบอกว่า เราควรจะทำยังไง

ในเมื่อเรายังไม่ตาย
เรายังมีลมหายใจอยู่
เราก็พยายามในสิ่งที่ถูกต้อง

คำว่า"ถูกต้อง"นั้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้
๓ ประการ คือ
ศีล สมาธิ และปัญญา
นี้ประการหนึ่ง

ประการที่ ๒ ก็คือ
ทาน ศีล ภาวนา
ทั้ง ๒-๓ นี้
เป็นสิ่งที่จะทำให้เรานี้
เกิดสติปัญญา
เกิดความดี
เกิดความมีค่า.."

โอวาทธรรม
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร









#วิธีแก้ปวดขาเวลานั่งสมาธิ
#หลวงปู่ #ตอบปัญหาธรรม

โยม : ได้ยินว่าหลวงปู่นั่งภาวนากรรมฐานได้นาน นั่งสมาธิครั้งละ 8 ชั่วโมง บางครั้งนานถึง 15 วัน หลวงปู่ปวดขาไหมครับ แล้วหลวงปู่มีวิธีแก้ปวดขาไหมครับ ผมเอาชนะความปวดไม่ได้สักที แล้วจิตก็พะวงกับเรื่องปวด จนไม่เป็นอันทำสมาธิ จิตไม่รวมลงสักที

หลวงปู่ : เอ้า หลวงปู่ก็คนเนาะ เอาเนื้อเอาหนังเอากระดูกทำ หลวงปู่ก็ปวดเหมือนกันกับคุณนั่นล่ะ อดทนสิอดทน คนอดทนทุกคน ล้วนได้ดี อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน อดทนไม่ถึงที่ ไม่ได้ดีสักคน

โยม : หลวงปู่ครับ ผมอดแล้ว ทนแล้ว ทั้งอดทั้งทน แต่มันก็ยังปวดอยู่ไม่มีวิธีนั่งที่นั่งแล้วหายปวด โปรดโยมบ้างหรือครับผม

หลวงปู่ : เวลาคุณปวดขี้ ปวดเยี่ยว คุณทำยังไง เวลาคุณฟันผุ ใส่ยาแล้วก็ไม่หาย รักษาแล้วก็ไม่หาย คุณทำยังไง

โยม : ขออภัยหลวงปู่นะครับผม เวลาผมปวดขี้ ปวดเยี่ยว ผมก็ไปห้องน้ำ เวลาผมปวดฟันรักษาไม่หาย ก็ต้องถอนครับ

หลวงปู่ : เออ เมื่อคุณปวดขี้ คุณก็ไปขี้ เวลาคุณปวดเยี่ยว คุณก็ไปเยี่ยว ปวดฟันคุณก็ถอนฟัน ปวดขาอยากให้มันหาย คุณก็ต้องตัดขาออกสิ (ว่าแล้วท่านก็หัวเราะ) ....คุณเอ้ย.....ตราบใดที่คุณมีขา คุณก็ต้องปวดขา

คุณเอ้ย.....ปวดขาเวลานั่งภาวนาน่ะ มันดี ดีกว่านั่งเล่นโป๊ก เล่นไพ่ เล่นไฮโล แล้วลืมปวดลืมเมื่อยปวดขาทำดี ดีกว่าปวดขาทำชั่ว ขณะที่คุณปวดขา ปวดขามันสอนธรรมนะ สอนธรรมอนิจจัง สอนธรรมทุกขัง สอนธรรมอนัตตา ปวดขา ปวดถึงที่สุดมันก็หาย หายถึงที่สุดมันก็ปวด ที่เราไม่รู้ว่ามันปวด เพราะเราขยับนั้นไงอนิจจัง การขยับ การเปลี่ยนอิริยาบถ อาการนั้นล่ะ มันปิดทุกข์ ปวดแล้วมันหาย หายแล้วมันปวด นี่แหละ อนัตตาธรรม

ธรรมมีอยู่ทุกอิริยาบถ มีอยู่ทุกลมหายใจ แล้วแต่ใครจะรู้จักเลือกเอา รู้จักคัดเอา น้อมให้เป็นธรรมนะ เอาไว้สอนตัว สอนตน มันเจอปวดมากๆนั้นแหละมันดี ปวดมันสอนเราว่า มันทุกข์ มันเจ็บ เรามีขา ขามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ของชีวิต ของโลก ที่เรายังหลงติดอยู่ในโลก เพราะมันตามใจ มันสุข มันสบาย สุขกับโลกสบายกับโลก ก็ติดกับโลก ให้เห็นทุกข์ ให้เห็นธรรม มันจะได้หน่ายโลก เบื่อโลกทิ้งโลก รักภาวนาอย่ากลัวเจ็บ กลัวปวด เพราะเจ็บ เพราะปวดนั้นแหละ สอนธรรม สอนวิธีหนีโลกทิ้งโลก เข้าใจนะ

#หลวงปู่หา #สุภโร









#เราทำติดต่อกันอยู่หรือไม่...

มีสติพิจารณานึกคิดได้ถูกต้องไหม ไม่ใช่ว่าเอากายตัวเองมาตั้งทนโท่ไว้ เหมือนกับต่อไม้ ส่วนจิตส่วนใจมันไปอยู่ไหน

นั้นมันไม่ใช่ผู้ฟัง มันนักโกหก นักหลอกลวง!! มันคิดถึงข้างนอกออกนอกโลก...ออกนอกวัด

#มันไปอยู่กับอะไรหมดล่ะ ?

“ จิตใจของเราต้องอยู่กับตัวเราเองสิ เรานั่งอยู่สภาพไหน อยู่ลักษณะไหน สติสัมปชัญญะอยู่พร้อมไหม เมื่อ สติสัมปชัญญะอยู่พร้อมกับตัวเรา มันสงบตรงนี้ ตัวสมาธิก็เกิดอยู่ตรงนี้ เรารู้ว่ามันไม่เคลื่อนไปไหน เราพิจารณาเข้าไปสู่ร่างกาย มันก็เป็นสมาธิ มันก็เกิดปัญญา ”

ถอดจากเทปโอวาทคำสอน
#หลวงปู่สวาท #ปัญญาธโร #วัดโปร่งจันทร์ ต.คลองพูล อ.คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี












#เดินจงกรมเป็นการออกกำลังกาย

วันหนึ่งอย่างน้อยสามสิบนาที กินแล้วให้เดิน จะช่วยย่อยอาหาร หลวงปู่มั่นท่านจึงฉันจังหันแล้วเดิน เห็นไหม ไม่เหมือนฆราวาสต้องกินยาช่วยย่อย กินแล้วเดินอายุยืน กินแล้วนอนอายุสั้น เหมือนหมู !

#หลวงปู่ทุย #ฉนฺทกโร
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐
.............................................................................

อานิสงส์ของการเดินจงกรม ๕ ประการ
( อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จังกมสูตร)

๑. อทฺธานกฺขโม โหติ ทำให้เป็นผู้เดินทางไกลได้ทน
๒. ปธานกฺขโม โหติ ทำให้เป็นผู้ทำความเพียรได้ทน
๓. อปฺปพาโธ โหติ ทำให้เป็นผู้มีความไข้เจ็บน้อย
๔. อสิตํ ปีตํ ขายิตํ สายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉติ ทำให้อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ย่อยได้ดี
๕. จงฺกมาธิคโต สมาธิ จิรฎฺฐิติโก โหติ สมาธิที่บรรลุในขณะเดินจงกรมตั้งแน่วแน่อยู่ได้นาน
เราเคยได้ฟังได้ยินได้เห็น ถ้ายังไม่เคยได้ทำได้เดินก็ควรเริ่มทำเริ่มปฏิบัติดู จะได้แจ้งประจักษ์ด้วยตัวเองว่า อ้อมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
การเดินจงกรม
๑. พึงกำหนดทางจงกรมที่ตนจะพึงเดินสั้นหรือยาวเพียงไร ความยาว ๒๕-๓๐ ก้าวเป็นความเหมาะสมทั่วไป พึงดูว่าเราจะเดินจากที่นี่ไปถึงที่นั่นหรือถึงที่โน้น สำหรับทิศทางที่ท่านนิยมปฏิบัติมา มี ๓ ทิศ คือ
ตรงตามแนวตะวันออก ตะวันตก ๑
ตามแนวตะวันออกเฉียงใต้ ๑
ตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือ ๑
จากนั้นตบแต่งทางจงกรมให้เรียบร้อยก่อนเดิน
๒. ผู้จะเดินกรุณาไปยืนที่ต้นทางจงกรม และพึงยกมือทั้งสองขึ้นประนมไว้เหนือระหว่างคิ้ว ระลึกคุณพระรัตนตรัย และระลึกถึงคุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดท่านผู้เคยมีพระคุณแก่ตน จบแล้วรำพึงถึงความมุ่งหมายแห่งความเพียรที่กำลังจะทำด้วยความตั้งใจเพื่อผลนั้นๆ เสร็จแล้วปล่อยมือลง
เอามือขวาทับมือซ้ายทาบกันไว้ใต้สะดือตามแบบพุทธรำพึง เจริญพรหมวิหาร ๔ จบแล้วทอดตาลงเบื้องต่ำ ท่าสำรวม
๓. ตั้งสติกำหนดจิตและธรรมที่เคยนำมาบริกรรมกำกับใจ พุทโธ พุทโธ พุทโธ...เป็นต้น แล้วออกเดินจงกรมจากต้นทางถึงปลายทางจงกรมที่กำหนดไว้ เดินกลับไปกลับมาในท่าสำรวม มีสติอยู่กับบทธรรมหรือสิ่งที่พิจารณาโดยสม่ำเสมอ ไม่ส่งจิตไปอื่นจากงานที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น
๔. ขณะเดินจงกรม พึงกำหนดสติกับคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ พุทโธ...ให้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ประคองความเพียรด้วยสติสัมปชัญญะ มีใจแน่วแน่ต่อธรรมที่บริกรรม ให้จิตรู้อยู่กับ พุทโธ พุทโธ พุทโธ...ทุกระยะที่ก้าวเดินไปและถอยกลับมา
ข้อพึงสำรวม
การเดินไม่พึงเดินไกวแขน
ไม่เอามือขัดหลังหรือกอดอก
ไม่เดินมองโน้นมองนี่ อันเป็นท่าไม่สำรวม
.............................................................
คัดลอกมาจาก
หนังสือ “ปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร”
โดย ท่านพระอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน.












"ธรรมะสำหรับคนชั่วนั้น
ไม่มีความหมายใดๆ
เหมือนเทนํ้าใส่หลังหมา
มันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ"

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต









"ถ้าอยู่กับใครที่เราไม่ค่อยชอบ
แต่ไม่มีทางเลือก เทคนิคอย่างหนึ่ง คือ
แผ่เมตตาให้กับตัวเอง ขอให้เป็นผู้ไม่มีเวร
ชื่นชมในความดีของตัวเอง เวลาเรารักตัวเอง
ก็พร้อมที่จะรักคนอื่น ให้อภัยคนอื่น"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ









"ดวงไม่ดีเป็นยังไง
ดวงไม่ดี คือ ใจเราไม่ดี
ใจมีทุกข์ยาก วุ่นวาย เดือดร้อน
นี่แหละดวงไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี
หาอะไรก็ไม่ดี นี่เรียกว่าดวงไม่ดี
ให้ดูตรงนี้"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร








“คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม
แต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม
แต่ถ้าความประพฤติไม่ดีเสียอย่าง
ก็ไม่น่าประทับใจ ไม่น่าชื่นชมยินดี
ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต









“เราขอเป็นคนโง่
ที่อาจจะรู้อะไรไม่มากบนโลกใบนี้
แต่เรารู้ตัว”

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม








"ตราบใด ที่เรายังเปรียบเทียบไม่รู้จักจบสิ้น
ไม่ว่าได้อะไรมา เราก็ไม่มีความสุข"

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร