วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 18:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2020, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เทวดาเขาบอก...ทำไมมนุษย์อยู่อย่างประมาทแท้ นึกใคร่ครวญให้ละเอียด ร่างกายเราไม่ใช่ของเรา แต่อาศัยอยู่เพียงชั่วคราว เร่งทำความดีไว้ มีเงินเยอะ ลูกหลานมากก็แย่งกัน ตีกันเอง ฆ่ากันเอง เงินทองทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ทำไว้ให้มาก ลูกหลานก็ฆ่ากันเอง ทะเลาะกันเอง ทำอย่างไรเราจะแสวงหาทางให้พ้นทุกข์ได้ สี่-ห้าชาติ ก็พ้นทุกข์อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องกินอาหารหยาบๆ ...ทำเอา!!!

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์ห้วยลึก อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์




"เข้าไปในป่าดงมีต้นไม้หลาย แต่จะหาต้นที่จะเอาไปใช้ประโยชน์จริงไม่มี...นี้ก็เหมือนกันคนเราเห็นกันอยู่เต็มมากมายนี้ แต่จะมีกี่คนที่จะสนใจตนเอง คนที่รักตนเอง ที่สงสารตนเอง เห็นว่าตนเองมีความหลงมานมนาน ทกข์ยากลำบากเพราะภพชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดภพใดชาติใด ถึงจะเกิดเป็นอะไรก็ตามเถอะ ก็ต้องทุกข์ในชาติการเกิดของตนเอง..."

หลวงตาสมหมาย อตฺตมโน





...แต่ต้องจำไว้นะ
ว่า .."การกระทำนั้น มีผลที่จะตามมา"

.
ผลดีหรือชั่ว สุขหรือเจริญ
อยู่ที่..ตัวของผู้กระทำ.

.
อยู่ที่การกระทำ ทางกาย
ทางวาจา และทางใจ

.
ไม่มีใครสามารถหยิบยื่น
ความสุข ความเจริญ
สวรรค์ มรรคผลนิพพาน
ให้กับใครได้
.
เราต่างหาก ที่จะต้อง
เป็นผู้หยิบยื่น ให้กับตัวเราเอง.
..........................................
คัดลอก(กำลังใจ9)
ธรรมะบนเขา14/10/2545
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




สวนแสงธรรม

เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ เราสังเกตดูตั้งแต่สมัยสร้างเจดีย์ โยมทองดีเอาไปให้ ๙ องค์ แต่พอจะบรรจุเท่านั้นล่ะ ไปเปิดผอบดู เต็มผอบเลย เป็นเรื่องแปลก ถามพระว่า มีพระองค์ไหนเอาพระธาตุมาเทใส่ไหม ก็ไม่มี แต่ก็ไม่น่ามีเพราะเราล็อคไว้ วางไว้ สวดมนต์ทุกวัน เป็นเรื่องแปลกจนถึงวันนี้ กลิ่นหอมตลบอบอวล

นี่ล่ะความอัศจรรย์ของพระศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา นี่ล่ะเครื่องพิสูจน์ นี่ล่ะหลักฐานยืนยันว่ามีตัวมีตน กระดูกคนธรรมดากลายเป็นพระธาตุ เป็นพระบรมสารีริกธาตุ มีศาสนาเดียวในโลกที่เป็นไปได้ กระดูกกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ กระดูกกลายเป็นอัฐิธาตุ นี่คือเครื่องยืนยันว่าพระพุทธศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ ธรรมเป็นของบริสุทธิ์ ใครได้ครองธรรมบริสุทธิ์ ธาตุขันธ์ก็เป็นของบริสุทธิ์ไปด้วย เพราะฉะนั้น อัฐิหรือกระดูกประเภทนี้ ใครได้กราบได้ไหว้ เป็นขวัญตาขวัญใจ เป็นมหามงคล

ถ้ากระดูกพวกเรานี่ ตายแล้วไม่มีใครอยากได้ กลัวผีด้วยซ้ำไป กระดูกของพระพุทธเจ้า กระดูกของพระอรหันต์ ท่านจึงใช้คำว่า พระบรมสารีริกธาตุถ้าเป็นของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นของพระอรหันตสาวกเขาเรียกว่าอัฐิธาตุ เราก็เห็นได้จากหลักฐานการยืนยัน ก็เห็นอยู่ตลอด

องค์ปัจจุบันคือหลวงปู่มหาบัว นี่ก็หลักฐานยืนยัน จะว่าพระพุทธศาสนาไม่มีตัวมีตนได้ยังไง จะพิสูจน์ศาสนาจะพิสูจน์ยังไงอีก ถ้าไม่เชื่อก็ลองปฏิบัติเอาเองสิ จะได้รู้ได้เห็น เป็นไปตามที่เราเห็น ๆ กัน เป็นหลักฐานยืนยัน อย่างที่ได้รับจากโยมทองดีไป เก็บไว้เพื่อรอบรรจุ พอวันที่จะบรรจุไปเปิดผอบ ไม่ทราบเสด็จมาจากไหนเต็มผอบ

ไม่ว่าพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุ ถ้าวันไหนเราได้พระธาตุครูบาอาจารย์มา หรือได้อัฐิธาตุครูบาอาจารย์ก่อนที่จะเป็นพระธาตุ เอาไปเก็บไว้ในที่ไหนก็ตามแต่ วันไหนเราภาวนาดี กลิ่นจะตลบอบอวล ของพ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดเรานี่ จะมาก่อนด้วยกลิ่นชานหมาก วันไหนภาวนาดีจิตละเอียด จะหอมตลบอบอวล พระบรมสารีริกธาตุก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องแปลก

แต่พวกเรามันพวกกระดูกเหม็น เหม็นด้วยความชั่ว เหม็นด้วยกิเลส ความมีกิเลสมันก็เลยเป็นความสกปรก มันก็เลยทำให้ร่างกายสกปรกไปด้วย จิตใจก็สกปรกไปด้วย ธาตุขันธ์ก็สกปรกไปด้วย

พระอาจารย์โสภา สมโณ









“การที่พาเด็กเข้ามาที่วัด ก็เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับวัด คุ้นเคยกับพระ เพราะความคุ้นเคยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เวลาโตมาจะได้ไม่เก้อเขินในการที่จะเข้ามาในวัด

เด็กที่เติบโตมากับวัด ที่พ่อแม่พาเข้าวัดตั้งแต่ยังเล็ก พอโตขึ้นแล้วเริ่มรู้ความ เมื่อมีความสนใจในวัด สนใจในการปฏิบัติ ก็จะสามารถเข้ามาวัดได้ มาสนทนากับพระได้ ไม่เก้อเขิน ก็ด้วยพื้นฐานอันนี้

ถ้าเด็กห่างเหินวัด เมื่อโตขึ้น เวลาที่คิดจะเข้ามาที่วัด ก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร มีแต่ความเก้อเขิน เพราะห่างเหินวัดวา เพราะเราไม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ เขาปลูกฝังกันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่ของศาสนาพุทธเรา จะมาสอนกันตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็ช้าไปแล้ว มันควรจะปูพื้นฐานกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ หากว่ารอโตก่อนแล้วค่อยพาเข้าวัด ถึงเวลานั้นก็ยากที่จะยอมเข้ามาแล้ว ถ้าโตแล้ว ก็อยากจะเที่ยว อยากจะเล่น บางทีก็ไปเหลวไหล เกเรกันไป

เด็กเล็กๆที่มาบวช ก็ยังไม่ได้มุ่งเน้นคาดหวังที่จะให้ภาวนา แต่อย่างน้อยๆ ก็หวังให้พอได้หลักได้เกณฑ์ รู้จักกฎ รู้จักระเบียบ รู้จักช่วยเหลือตนเอง ได้ทำความสะอาด ได้ล้างบาตร ปัดกวาดเช็ดถูศาลา ได้พับผ้า ได้ทำอะไรด้วยตนเอง ช่วยเหลือตนเองเป็น เวลาไปอยู่บ้าน จะได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระพ่อแม่ผู้ปกครองได้ จากนั้นก็ให้หัดไหว้พระ สวดมนต์ ทำวัตร อารธนาศีล อารธนาธรรม หัดบ่อยๆ เดี๋ยวก็คุ้นเคย คล่องแคล่วไปเอง รวมทั้งค่อยๆสอน ค่อยๆอบรม ให้เป็นคนดีต่อไป”

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
สนทนาธรรม ณ วัดป่าหนองไผ่
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑




เรื่อง : นั่งภาวนาแล้วเห็นพระพุทธเจ้า
โดย : พระอาจารย์คม อภิวโร
-------------------------------

โยม: ท่านเจ้าขา โยมนั่งภาวนาแล้วเห็นพระพุทธเจ้า ปลื้มใจมากๆ เลยเจ้าค่ะ อย่างนี้โยมควรทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ ?

พระอาจารย์คม: จะให้ตอบแบบอนุบาล ประถม มัธยม หรือมหาวิทยาลัยดีล่ะโยม ?

โยม: อยากทราบทุกแบบเลยเจ้าค่ะ

พระอาจารย์คม: ถ้าให้อาตมาตอบนะ

- แบบอนุบาล คือดีมากๆ เป็นมงคลยิ่ง รักษาไว้นะ คนที่พระพุทธเจ้ามาโปรด ต้องมีบุญเก่ามา หรือมีวาสนาพอที่ท่านจะโปรดสั่งสอนได้ คนมีโชคใหญ่ หายากนะโยม

- แบบประถม คือ พระพุทธเจ้าท่านมาเมตตา แสดงว่าความดีที่บำเพ็ญมาสะเทือนถึงพระองค์ท่าน อย่าเผลอทำชั่วนะ เดี๋ยวท่านจะเสียใจ ให้รักษาความดีไว้ ทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป มีโอกาสก็ภาวนาต่อไปนะ

- แบบมัธยม ให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าท่านบ่อยๆ พยายามทรงอารมณ์ไว้ จะได้กรรมฐานข้อพุทธานุสสติ จิตทรงฌานได้นะโยม จิตปิติสุข แช่มชื่นใจ ต่อไปเดี๋ยวจิตจะมีความสงบ หล่อเลี้ยงกำลังจากความสงบนี้ไว้ แล้วออกก้าวเดินด้านปัญญาฝ่ายถอดถอนกิเลสนะ

- แบบมหาวิทยาลัย คือ ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่...รีบฆ่าท่านทิ้งเลย ! นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้า เร่งสติขึ้นมาให้ทันการเล่นตลกของจิตสิ จะได้รู้เท่าทันกิเลส

โยมลองประเมินตนเองดูนะ ว่าอยู่ระดับไหน ควรได้รับคำตอบอย่างไร

นิมิตก็เป็นอสรพิษ นิมิตดี นิมิตร้าย
นิมิตทั้งหลายล้วนเป็นเมืองขึ้นของ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา !

เราปฏิบัติมาเพื่อความว่างจากตัวตน เพื่อความดับไม่เหลือเชื้อ เพื่อความพ้นทุกข์ !

ไม่ใช่ปฏิบัติมาหล่อเลี้ยงกิเลส หลงกิเลส เป็นบ้ากับกิเลส !

คนที่ภาวนาเป็น ใช้นิมิตเป็นอุปกรณ์ฝึกจิต อาจได้ประโยชน์จากนิมิต ประโยชน์ที่ว่าคือทำจิตให้สงบ กับเทียบพิจารณากฎพระไตรลักษณ์ เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่น

ไม่ใช่เมานิมิต ถูกยาเสน่ห์ประเภทออกรู้ออกเห็น หลอกให้จิตหลงเป็นผู้วิเศษ เมาอดีตชาติ เมาภพชาติ แล้วก็เพี้ยนเป็นพ่อมดหมอผีทำพิธีต่างๆไป

นั่นมันภาวนาฆ่ากิเลสหรือส่งเสริมกิเลส

อยู่ที่ครูบาอาจารย์เหมือนกันนะ ถ้าอาจารย์รู้แจ้งแทงตลอดจริง ท่านสอนท่านฝึกให้ ท่านก็ดูจริตนิสัย สุดท้ายท่านก็ให้ตัดวางทั้งนั้น ลูกศิษย์ก็ได้ปัญญา เข้าถึงคุณธรรมขึ้นมาได้

ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่รับต่อช่วงกันมา ก็อย่าพึ่งแน่ใจ อาจมีที่บิดเบือนตกหล่นไป รู้แบบงูๆปลาๆ ก็พาให้ห่างไกลความพ้นทุกข์ไปอีก

คิดถึงเรื่องชีวิต อายุขัย มรณภัยมากๆ
เวลาหมดไป หมดไป เรากำลังทำอะไรอยู่

มัวแต่กลัวพระจะหลอก คนอื่นจะหลอก
แต่ตัวเองหลอกตัวเองไม่รู้จักกลัว !

เรื่องภาวนาต้องมีครูบาอาจารย์นะ
เดี๋ยววิปลาส เห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงจะยุ่ง

พวกมงคลตื่นข่าว ดีแต่วิ่งไปดูแห่ พบพระปลอม อาจารย์เก๊ น่าสงสาร เอาอย่างนี้ อะไรที่ทำแล้วไม่รู้จะผิดทางหรือเปล่า ให้เทียบลงพระไตรลักษณ์ สภาพธรรมดาโลก ๓ ประการ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เห็นจริงก็ดับ เห็นปลอมก็ดับ
พบจริงก็ดับ พบปลอมก็ดับ
รู้จริงก็ดับ รู้ปลอมก็ดับ

พิจารณาความดับตลอดสาย เกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น ทั้งรูปธรรม นามธรรม อย่าไปอาลัย ไปตื่นเต้น ไปพยายามรั้งไว้ เป็นคุกของจิตใจเปล่าๆ ...ออกจากคุกกันดีกว่า คุกวัฏจักร เวียนว่ายไม่รู้จบ ทุกข์หาที่สุดไม่เจอ

พิจารณาต่อมาจะพบความจริงที่ประหลาดขึ้นไปอีกว่า จิตดวงผู้รู้นี้แหละแสนหลอกลวง ฉ้อฉล มารยาที่สุด พญามารที่แท้คือจิตดวงผู้รู้นี้เอง

ฉลาดเเหลมคมเท่าไหร่ สร้างสรรค์ได้วิจิตรเพียงใด
ล้วนเป็นด่านดึงดูดให้ลุ่มหลงเพียงนั้น
ดึงดูดอยู่ในความเข้าใจผิด เห็นผิดว่าดี ว่าเลิศ ว่าอัศจรรย์ ทั้งที่ความจริงนั้นไม่มีอะไรเลย เราหลงตัวเอง ยกตัวเอง จนลืมตัวเอง

กิเลสทั้งปวงรวมกันเป็นความเมาความยึดในจิตดวงผู้รู้นั่นเอง ผู้มีปัญญาพึงแสวงหาวิชชาทำลายเหตุปัจจัยแห่งทุกข์นี้

ร่างกายตาย แต่จิตไม่ตาย
จิตดวงนี้พาไปเกิดไปตาย จิตดวงนี้พาไปเสวยผลตามกฎแห่งกรรม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ผู้ใดทำกรรมไว้ จะหลบลี้อยู่ไหนก็ต้องรับผลของกรรมนั้น เป็นสมบัติเฉพาะตัว

พิจารณาแยกนามธาตุลงสู่พระไตรลักษณ์ จะประจักษ์ว่าจิตดวงผู้รู้นี้ก็ไม่มีสาระแก่นสารอะไร เป็นธรรมชาติธรรมดาของเขาอย่างนั้น จิตดวงผู้รู้ ผู้หลง แม้จะไม่หลงอะไรข้างนอก แต่หลงอยู่ ชื่นชมอยู่ ยึดอยู่ในความรู้ของจิตจะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่ อวิชชา!

พิจารณาจนจิตดวงผู้รู้อันอัศจรรย์นั้นแตกดับทำลายลงด้วยปัญญา ความยึดมั่นถือมั่นในจิตดวงผู้รู้หมดไป ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

นี่แหละวิชาแก้บ้า หายโรคติดอดีต โรคเมาภพชาติ โรคเพ้อเจ้อ โรคมโน โรคหลงความปรุงแต่งต่างๆ โรคสรรพทุกข์ทั้งปวง และตรงทางเข้าสู่พระนิพพาน

พุทธะแท้ ไม่ใช่รูปใดนามใด
แต่จะเข้าถึงพุทธะได้ ก็ต้องอาศัยรูปนามนั่นแหละ

เดี๋ยวนี้มีแต่ผู้รู้ธรรม แต่รู้มากจนอวดดี ถือดี
โต้วาทีกันสนุก กิเลสนั่งยิ้มแป้นเป็นแถวเลย

สู้พวกโง่ๆ เซ่อๆ อย่างอาตมาไม่ได้
ใครว่าอาตมาเลว อาตมาก็ยอมรับว่ายังเลวอยู่มาก
ใครว่าอาตมาโง่ก็ยอมรับว่าโง่จริงๆ ไม่อย่างนั้นชาตินี้คงไม่มาเกิด
ใครว่าอาตมาดีก็ต้องเตือนกันว่าไม่แน่อย่าประมาทไป

แม้กิเลสจะมีเต็มหัวใจอาตมา แต่อาตมาก็มั่นใจกับตนเองได้ว่า ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ได้ทำเหตุที่ดีงาม ทำเหตุแห่งความเจริญรุ่งเรืองสว่างไสวไว้มาก

เรื่องจะตายเมื่อไหร่ก็เป็นอันหมดกังวลกัน
สบาย แสนสบาย พุทโธ พุทโธ พุทโธ

เอ้า ! ปล่อย ปล่อยให้หมด
ใครจะบ้าต่อก็ตามใจ

อดีตก็ดับ อนาคตก็ดับ มีสมาธิตั้งมั่นในปัจจุบัน
เดินปัญญารู้เท่าทันปัจจุบัน แม้ปัจจุบันก็ดับ
...จิตอยู่เหนือกาลเวลา...

สติปัญญาตามไล่บี้จี้ทำลายอวิชชาในจิตดวงผู้รู้
จิตอวิชชาทั้งดวงแตกสลาย
เหลือไว้แต่ความเป็นธรรมดา ธรรมดา

ปลอดโปร่งด้วยสมาธิ สว่างไสวด้วยปัญญา
ตอนเกิดมามีกังวล ตอนตายไร้กังวล
อยู่ก็ทำหน้าที่ไป ทำเหตุไว้ไม่หวังผล
หายบ้า หายเมา หายมึนในตัวตน
โอ้ย...มีความสุขที่สุด !

พุทโธ พุทโธ พุทโธ

#พระอาจารย์คม อภิวโร




“คนโง่ เอาใจไว้ที่ปาก
คนฉลาด เอาปากไว้ที่ใจ”

ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก




"จิตใจที่หวังดีกับคนทุกคน
ไปที่ไหน ก็ไม่มีศัตรู เพราะว่า
เราไม่มองใครเป็นศัตรู เราก็ไม่มีศัตรู

คนอื่นเขาอาจจะมองว่า เขาเป็นศัตรูเรา
แต่เราไม่ยอมรับ เขาจะมองเราอย่างไร
เขาจะทำอย่างไร เราก็ไม่ยอมมองเขาเป็นศัตรู

เขาจะทำอะไร เขาจะใส่ร้ายเราอย่างไร
เขาจะทำได้ แต่เขาไม่สามารถบังคับให้เรา
มองเขาเป็นศัตรูได้

เราก็อยู่อย่างไม่มีศัตรู มันก็ดีนะ"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





#คนเรานี่เกิดตาย ๆ #ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
#จนจำกันไม่ได้

ลืมสัญญาเดิมหมด บางคนจำกันไม่ได้ เอาลูกทำผัวบ้าง เอาพ่อทำผัวบ้าง เมามัวในการเวียนว่ายไม่จบสิ้น น่าสงสาร ในเมื่อเกิดมาแล้ว เกิดเพื่อดับกิเลสตนเองสิ ! ให้ละกามเด็ดขาดในภพนี้ ตัดให้ขาดจากการเป็นของคู่

#ปุถุชนเต็มขั้น #หนาด้วยกิเลส

#ได้แต่ศึกษา #ไม่นำมาปฏิบัติ
#แล้วจะรู้แจ้งอย่างไรเล่า !?

เราชาวพุทธ ให้เร่งเจริญอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ศาสนาอยู่ที่ขันธ์ ๕ มิใช่อยู่ที่อื่นเลย อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ ! ให้ศรัทธามั่น ในโลกุตตรธรรม จะได้รู้แจ้งธรรม พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย

#หลวงปู่บุดดา #ถาวโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร