วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 07:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2020, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


บ้านที่แท้จริง

บ้านที่ซื้อมา หรือสร้างขึ้นมา หลวงพ่อชา สุภทฺโท ท่านเรียกว่าบ้านของโลก หรือ บ้านข้างนอก ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง อาศัยอยู่ได้ชั่วคราว แล้วก็ต้องจากไป

บ้านที่สอง คือร่างกาย เราเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่ใช่อีก มันแก่ มันผุพังไปทุกวัน ห้ามก็ไม่ฟัง อยากให้มัน คงทนถาวร อยู่ยาวนาน ก็เป็นไปไม่ได้

บ้านที่สาม คือ ตัวอัตตา ที่ความคิดจิตใจสร้างขึ้น แล้วสมมติให้เล่นบท เป็นตัวนั่น ตัวนี่ มีตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์ มีฐานะทางสังคมรองรับ แต่พอถึงวันเกษียณอายุ บ้านหลังนี้ พังลงในพริบตา จะยื้อยุดอย่างไรก็ไม่ได้

บ้านที่แท้จริง คือ ความรู้สึกที่มันสงบ อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ถูกความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ปกคลุมไว้ ต้องอาศัย...การเจริญสติ ให้เกิดสมาธิ และปัญญา จึงจะมองเห็น และ เข้าไปอาศัยในบ้านหลังนั้นได้

บ้านหลังนี้ เป็นอกาลิโก อยู่ได้ตลอดกาล ไม่มีวันผุพัง
มีความสมบูรณ์พร้อมในตัว ไม่ต้องการเครื่องเรือน หรือของตกแต่งใดๆเพิ่มเติม คนที่จะเข้าไปได้ ต้องวางทุกอย่างให้หมดเสียก่อน จึงจะเข้าไปอาศัยได้

ชีวิตของเราทุกคน เหมือนการเดินทางแวะพักชั่วคราว เข้าบ้านหลังนั้น ออกหลังนี้ เรื่อยไป แต่ไม่เคยสบายใจได้นาน เพราะมันไม่สงบ เหมือนได้อยู่บ้านตนเอง บ้านที่แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน ?

หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านสอนว่า "ความสงบ" นั้นแหละ คือบ้านจริง ๆ ของเรา

หลวงพ่อชา









#คนที่มี_สัจจะ

"มักทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ
เพราะสัจจะเป็น บารมี อย่างหนึ่ง ที่
ส่งผลให้ กำลังใจ เข้มแข็งมากขึ้น... "

#หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ








การทำจิตให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้น ไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน

การฝึกจิตไม่เหมือนฝึกสัตว์ จิตนี่เป็นการฝึกยากแท้ๆ แต่อย่าไปท้อถอยง่ายๆ ถ้ามันคิดไปทั่วทิศก็กลั้นใจมันไว้ พอใจมันจะขาดมันก็คิดอะไรไม่ออก มันก็วิ่งกลับมาเอง ให้ทำไปเถอะ

จิตของเรานี้ เมื่อไม่มีใครตามรักษา มันก็เหมือนคนคนหนึ่งที่ปราศจากพ่อแม่ที่ดูแล เป็นคนอนาถา คนอนาถานั้น เป็นคนที่ขาดที่พึ่ง คนที่ขาดที่พึ่งก็เป็นทุกข์ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าขาดการอบรมบ่มนิสัย หรือทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จิตนี้ก็ลำบากมาก

ผู้ไปยึดอารมณ์จะเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์มันไม่เที่ยง

การทำความเพียรให้ทำอย่าหยุด อย่าปล่อยไปตามอารมณ์ ให้ฝืนทำไป ถึงจะคร้านก็ให้ทำ จะขยันก็ให้ทำ จะนั่งก็ทำ จะเดินก็ทำ เมื่อจะนอนก็ให้กำหนดลมหายใจว่า "ข้าพเจ้าจะไม่เอาความสุขในการนอน" สอนจิตใจอย่างนี้ พอรู้สึกตัวตื่น ก็ให้ลุกขึ้นมาทำความเพียรต่อไป
เวลาจะนอน ให้นอนตะแคงข้างขวา กำหนดอยู่ที่ลมหายใจ "พุทโธ พุทโธ" จนกว่าจะหลับ ครั้นตื่นก็เหมือนกับมี "พุทโธ" อยู่ไม่ได้ขาดตอนเลย จึงจะเป็นความสงบเกิดขึ้นมา มันเป็นสติอยู่ตลอดเวลา
.
หลวงปู่ชา สุภัทโท









...หนังสือทางปฏิบัติจริงๆ..หาอ่านยาก
หนังสือของนักปฏิบัติ
กับหนังสือของนักศึกษาไม่เหมือนกัน
อ่านหนังสือของนักศึกษาแล้วปวดหัว
"เพราะเขียนให้จำ..ไม่เขียนให้เข้าใจ"

.
ถ้าเขียนโดยนักปฏิบัติ
"เวลาอ่านจะเหมือนกับฟังธรรม"
อ่านไปแล้วจิตจะสงบไปด้วย
ถ้าพิจารณาตามก็จะเกิดความเข้าใจ
เกิดปัญญา ไม่ต้องจำ
พอเข้าใจแล้ว ก็จะอยู่ในใจไปตลอด.
...................................
จุลธรรมนำใจ 10 กัณฑ์ 369
ธรรมะบนเขา 30/7/2550
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










" การที่ได้เป็นศิษย์อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์นั้นย่อมเป็นบุญยิ่งนัก คำว่า "บุญ" นี้มิได้อยู่ที่การมีครูบาอาจารย์ดี คอยแนะนำสั่งสอนเท่านั่น จะเป็นบุญขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อศิษย์ผู้นั้นจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์โดยเคร่งครัด บุญหรือความดี จึงจะเกิดขึ้นได้เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเอง "

#หลวงปู่แบน ธนากโร







อยู่กับความจริงอย่างไร ทำอย่างไรจะอยู่กับความจริง เราต้องดูที่สิ่งที่รับรองความจริง คือ จิตใจ นี้จิตใจเรายังเป็นภาชนะรับรองความจริงที่ยังไม่สะอาด เหมือนจานสกปรกแล้วเอาอาหารดี ๆ ใส่ไว้ในจาน อาหารนั้นอาจจะทำให้เราไม่สบายก็ได้ เพราะตัวอาหารไปติดกับของสกปรก อาหารที่ดีก็กลายเป็นอาหารที่ไม่ดีไป เพราะตัวอาหารติดกับของสกปรก อาหารกลายเป็นอาหารไม่ดี ทำให้เราท้องเสีย

สิ่งที่เรารับรู้ต่าง ๆ หากว่า จิตใจเรายังไม่สะอาด เหมือนกับมีเชื้อโรคติดอยู่ในใจ สิ่งที่เราสัมผัส สิ่งที่เราเกี่ยวข้อง ทุกสิ่งทุกอย่างถึงแม้จะเป็นของไม่มีพิษภัย พอมาถึงใจเราแล้ว กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีไป โบราณท่านเปรียบเทียบกับน้ำใสสะอาด วัวกินน้ำ น้ำกลายเป็นนม นมสดเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ถ้างูกินน้ำจากที่เดียวกับวัว น้ำเข้าไปในตัวงู กลายเป็นยาพิษไป น้ำใสอยู่ในบ่อ วัวกินกลายเป็นนมสด งูกินก็กลายเป็นยาพิษ น้ำคือน้ำ แต่พอมาถึงตัวเรา มันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของเรา

ฉะนั้น ท่านจึงให้เราเรียนรู้ความเป็นจริงของชีวิตเบื้องต้น จากสิ่งที่ง่ายที่สุดที่ทุกคนต้องยอมรับว่า ใช่ เป็นอาการของโรคจริง ๆ นั่นก็คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นอนิจจัง

ปัญหาในการที่จะได้ประโยชน์จากหลักอนิจจัง ก็คือการดูแคลนว่า รู้แล้ว เป็นเรื่องง่ายมาก ใครจะไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัย แม้เด็กไม่กี่ขวบก็ต้องรู้ว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง

หลวงพ่อชยสาโรภิกขุ









การปฏิบัติรักษาศีล ๕
มีอานิสงส์ให้ได้รับความสุข
ในปัจจุบัน ครั้นตายแล้ว
ก็ได้ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์

ครั้นจุติจากสวรรค์ ก็ได้
ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มีรูป
อันงาม มีปัญญาเฉลียวฉลาด

มีทรัพย์สมบัติมาก
มีอายุยืน มีเมียมีลูกมีหลาน
ก็ว่านอนสอนง่าย ไม่มีศัตรู
เบียดเบียนได้และเป็นปัจจัย
ให้มีความสุขไป ตราบถึง
พระนิพพาน "

โอวาทธรรม
ครูบาศรีวิชัย







"..คนมั่งมีคือคนที่บริจาค
เสมอ ส่วนคนจนก็คือคน
ที่ไม่บริจาคให้ทานอะไร

พระพุทธเจ้าจึงทรง
สรรเสริญ คนมั่งมีว่า
มีดวงใจเป็นแก้วประดับ
คือรัตนะ๓ได้แก่ พุทฺธรตนํ
ธมฺมรตนํ สงฺฆรตนํ
นี้เป็นใจที่มีศรัทธา

โรคทางกายไม่สำคัญ
เท่าไร เพราะเมื่อเราตาย
แล้วถึงจะรักษาหรือ
ไม่รักษามันก็หาย ส่วนโรค
ทางใจนั้นเราตายแล้ว
มันก็ยังไม่หาย ทำให้ต้อง
เวียนตายเวียนเกิด
อีกหลายชาติหลายภพ

ร่างกายเปรียบด้วยบ้าน
ใจเปรียบด้วยคนที่อาศัย
ทรัพย์สมบัติเงินทอง
บ้านช่องไร่นาและลูกหลาน
เหล่านี้ เราต้องทิ้งไปทั้งนั้น

จึงควรรีบสะสม "บุญกุศล"
ไว้ และบริจาคสิ่งที่เป็นทาน
อันเป็นสิ่งที่เราจะนำไป
ด้วยได้นั้นเสียแต่ในขณะ
ที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้เถิด

“ความชั่ว” ตั้งใจจะ “ละ”
ไปจนตาย
“ความดี” ตั้งใจจะ “ทำ”
ไปจนตาย
เราต้องตั้งใจอย่างนี้จึงจะใช้ได้ "

โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร











" ความโกรธ เราใช้กันมา
ตั้งแต่เกิดแล้ว ความโลภ
ความอิจฉาริษยา
ความหมั่นไส้ ก็เหมือนกัน
อายุตั้ง 60 70 80 ก็ยังจะใช้มัน

พระพุทธเจ้า บอกว่า
อย่าใช้มัน ถ้าใช้มัน
ก็จะไม่หยุดทุกข์

เลิกใช้ แล้วมารักษา "ศีล"
"ภาวนา" ให้มีสติให้มีสมาธิ
จะดีกว่า "

โอวาทธรรม
หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล









พระฉันสร้างฉ้นสร้างดีที่สุด
ขึ้นอยู่กับคนที่รับไปจะดีแค่ไหน

#ท่านพ่อลี #ธมฺมธโร
คำสอนเนื่องในงานฉลองกึ่งพุทธศตวรรษ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐










..#การเห็นอริยสัจ..

..เหตุฉะนั้น แม้เป็นพระโสดาบันบุคคลก็ต้องเป็นนักศึกษา อันนี้พวกเรายังไม่ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เราก็ต้องยิ่งศึกษามาก ปฏิบัติมากขึ้น พระโสดาบันบุคคลท่านได้บรรลุขั้นต้น สักกายทิฏฐิท่านรู้สิ่งเหล่านี้อยู่บ้าง วิจิกิจฉา ท่านก็ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า สีลัพพัตตปรามาส ท่านก็ไม่ลูบคลำในศีลของตนในศีลพรตอะไร ท่านก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ที่จะศึกษาต่อขึ้นไปตามขั้นตอนจนถึงพระสกิทาคามี เมื่อระงับความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เบาบางลงไป มันก็ยังไม่หมดมันเบาบางเฉยๆ ท่านก็ยังต้องศึกษาต่ออยู่

..ถึงพระอนาคามีก็ดี ไม่กล่าวถึงความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ยังมีหลงมันยังไม่พ้น มันก็อยู่ในพรหมโลก ก็ต้องเป็นนักศึกษาอยู่นั่นเองเพราะเรายังไม่ถึงขั้นสูงสุดเป็นพระอรหันตขีณาสพ ขั้นสุดยอดที่ได้เป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดนั่นแหละจึงจะหมดงานทำไม่มีที่จะศึกษา ทำอย่างไรเราจึงจะมีสติปัญญาให้มันหลุดพ้นไปได้ หมดความสงสัย ไม่ได้ศึกษาไม่ได้เรียนต่อ ภพชาติเราจึงจะหมดไป ไม่มาเกิดอีกเหมือนพระอริยเจ้าขั้นสูงสุดที่ท่านได้บรรลุธรรมมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบรมครูสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมความจริง ท่านก็ไม่ได้ตระหนี่ธรรมะอะไรเลย ท่านก็ไม่ได้เอาไปด้วย

..พระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ไม่ได้เอาธรรมะไป ก็ยังมีอยู่เต็มโลกอย่างนี้ ประเทศไหนก็มีอยู่อย่างเดียวอย่างเดิมหมด ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น มันเป็นความจริงอยู่อย่างนี้เอง เหตุฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลาย ควรที่เราจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพินิจพิจารณา ไม่ต้องวุ่นวายอะไร ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยศึกษา ค่อยพินิจพิจารณา ค่อยฝึกสติปัญญาไปนี่แหละ เพื่อให้เห็นสัจธรรมความจริงตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้

..เหตุฉะนั้น การแสดงเรื่อง อริยสจฺจานทสฺสนํ มาแต่ต้นจนอวสานนี้ ก็ขอให้ทุกท่าน ภิกษุ สามเณร และคณะศรัทธาญาติโยมก็ดี น้อมนำไปพินิจพิจารณา โอปนยิโก น้อมเข้ามาใส่ใจ ใช้สติปัญญาไตร่ตรอง ก็จะสามารถรู้ตามกำลังประพฤติปฏิบัติของตน ผลออกมาแล้วก็จะได้ผ่อนคลายจิตใจของตนให้สบาย หายโรคไปนิดๆหน่อยๆก็ยังดี หายโรคอะไร หายโรคหลงนั่นเอง ไม่เข้าใจนั่นเอง ใครเข้าใจมากก็จะหายมาก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กลืนศีล สมาธิ ปัญญา ลงไปก็จะหายโรคอย่างสิ้นเชิง ตามพระอริยเจ้าทั้งหลาย เหตุฉะนั้น ก็ขอยุติการบรรยายไว้เพียงแค่นี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้..

..#โอวาทธรรม #หลวงปู่เปลี่ยน #ปญฺญาปทีโป..#การเห็นอริยสัจ#11..จบ..










ให้พากันเร่งนะความเพียร. อย่างอื่น. อย่าไปสนใจมาก. กำหนดที่จิต. ขอให้จิต. ว่างจากอารมณ์เท่านั้น.

หลวงปู่ลี กุสลธโร









ตายในศีล. ในธรรม. ชื่อว่าตายดี. ตายงาม.

หลวงปู่ลี กุสลธโร







พาลคิดว่ารับดีกว่าให้ คนดีคิดว่าให้ดีกว่ารับ ส่วนบัณฑิต ท่านรู้กาลเทศะ ทั้งเวลาควรให้และเวลาควรรับ

เมื่อเราให้ด้วยใจบริสุทธิ์ จิตได้รับผลบุญ เมื่อเรารับด้วยใจรู้คุณ เราให้ความเบิกบานแก่ผู้มีคุณ

#พระอาจารย์ชยสาโร







ความรัก. ความชัง. ถ้าไม่มี. มันก็ไม่ร้อนใจ. ต้องแก้ให้มันถึงฐานของมัน.

หลวงปู่ลี กุสลธโร








“ถ้าเป็นพุทธบริษัทแล้ว
จงดิ้นรนพยายาม
ให้ได้รับปริญญา ของพระพุทธเจ้า
คือ สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ
ปริญญานี้ มีไว้สำหรับทุกคน
รออยู่เบื้องหน้า
ขอให้มีพระนิพพานเป็นที่ไป”

ท่านพุทธทาสภิกขุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร