วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2020, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญา ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง เป็นตัวความรู้ในสังขารขันธ์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดให้มีขึ้น ต้องฝึกปรือ ทำให้เจริญเพิ่มพูนขึ้นไปโดยลำดับ ปัญญาจึงมีหลายขั้นหลายระดับ และมีชื่อเรียกต่างๆ ตามขั้นของความเจริญบ้าง ตามทางเกิดของปัญญานั้นบ้าง ตามลักษณะเฉพาะของปัญญาชนิดนั้นบ้าง ตัวอย่างชื่อของปัญญา เช่น สัมปชัญญะ วิปัสสนา ปริญญา ญาณ วิชชา อัญญา อภิญญา พุทธิ โพธิ สัมโพธิ ฯลฯ

ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้ แต่อาจเป็นทางเชื่อมต่อนำไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้นก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญาและการรู้จริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้น หรือ แหล่งความรู้นั้นมีความรู้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงาย คือ ไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2020, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(พุทธปรัชญา ในสุตตันตปิฎกหน้า 88)

ความรู้กับความเชื่อ

ในพระพุทธศาสนาใช้คำหลายคำที่หมายถึง “ความรู้” เช่น ปัญญา ญาณ วิชชา ในความหมายกว้างๆ คำเหล่านี้แทนกันได้ แต่ว่าแต่ละคำก็มีความหมายเฉพาะของตนเองด้วย ในเมื่อนำมาใช้เฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี

พระพุทธศาสนาแบ่งความรู้เป็นหลายระดับดังกล่าวมาแล้ว แต่ละระดับมีความแตกต่างกันในรายละเอียดหรือความประณีตลึกซึ้งของการรู้ แต่ว่า ความรู้ทุกระดับ มีลักษณะร่วมอย่างหนึ่งคือ เป็นประสบการณ์ตรงของผู้ที่รู้เอง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสทางกาย หรือ ทางประสาทสัมผัสทางใจ ดังที่ท่านใช้สำนวนว่า “เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต” คือ รู้เอง เห็นเอง เช่น ข้อความในพระสูตรหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ารู้เห็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่จำต้องเชื่อตามสมณพราหมณ์อื่นใด” (น โส ขฺวาหํ ภนฺเต เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต กสฺสญฺญสฺส สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา สทฺธาย คมิสฺสามิ (สํ. สฬา. 18/578/368)

ตามข้อความข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า ความรู้ กับ ความเชื่อนั้นต่างกัน ความรู้มีลักษณะอ้างตนเองหรืออิงอาศัยตนเองเป็นหลัก ดังที่ท่านเรียกว่า รู้เองเห็นเอง ความรู้เป็นเรื่องของประสบการณ์ตรง ไม่ต้องอ้างอิงหรืออาศัยใครในเรื่องที่รู้แล้ว

ดังข้อความในอีกพระสูตรหนึ่ง ซึ่งให้ลักษณะของผู้ที่รู้หรือลักษณะของความรู้ไว้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ติณฺณวิจิกิจฺโฉ วิคตกถํกโถ เวสารชฺชปฺปตฺโต อปรปฺปจฺจโย สตฺถุ สาสเน (ม.มู. 12/401/433) ความว่า ไม่สงสัย ไม่มีคำถาม แกล้วกล้า และไม่เชื่อใครในคำสอนของพระศาสดา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2020, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ลักษณะสำคัญของผู้รู้ คือ “อปรปฺปจฺจโย” ซึ่งมีความหมายว่า “ไม่ต้องการอาศัยผู้อื่น” หรือ ไม่ต้องเชื่อใคร ในเรื่องที่ตนรู้แล้ว

ส่วนความเชื่อหรือศรัทธานั้น เป็นเรื่องของการอ้างหรืออิงอาศัยสิ่งอื่น บุคคลอื่น ฉะนั้น ความเชื่อจึงเป็นเรื่องของการยอมรับหรืออิงอาศัยคนอื่นเป็นหลักนั่นเอง

ตามลักษณะของความรู้และศรัทธาดังกล่าวมา แสดงว่าสิ่งที่อยู่ในลักษณะเป็นความเชื่อนั้นยังไม่ใช่ความรู้ หรือ ว่าเป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้นั่นเอง
แม้สิ่งที่เราเชื่ออยู่ หากเราได้รู้เองเห็นเองเมื่อใด สิ่งนั้น ก็จะพ้นจากสภาพของความเชื่อมาเป็นความรู้ ดังตัวอย่างในพระบาลี ต่อไปนี้

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง ๔ ข้อ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ... แล้วนั้น ข้าพระองค์เชื่อตามพระผู้มีพระภาคเจ้าหามิได้ เพราะข้าพระองค์ก็ทราบข้อเหล่านั้นดี ส่วนผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง ข้อที่ ๕ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกว่า ทายกผู้เป็นทานบดีเมื่อตายไป ย่อมถึงสุคติ โลกสวรรค์ นั้น ข้าพระองค์ยังไม่ทราบ ข้าพระองค์จึงเชื่อตามพระผู้มีพระภาคเจ้าในข้อนี้” (องฺ.ปญฺจก. 22/34/42)

พระพุทธศาสนาแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อ กับ ความรู้มีกระบวนการที่ต่างกัน กล่าวคือ ความเชื่อมาจากการรับรู้โดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง หรือ โยนิโสมนสิการอันเป็นกระบวนการจัดระเบียบความคิดให้เป็นระบบ สิ่งที่รับรู้มาจึงถูกเก็บไว้ทั้งดุ้นหรือเก็บไว้อย่างไม่มีการเลือกสรร ฉะนั้น ความเชื่อจึงมีลักษณะเป็นความรู้แบบหยาบๆ หรือ เป็นความคิดที่ไม่เป็นระบบ

ตัวอย่างของการรับรู้ที่นำไปสู่ความเชื่อ หรือ ก่อให้เกิดเป็นความเชื่อแก่คนทั่วไปก็คือ การรับรู้ ๑๐ ลักษณะที่แสดงไว้ในกาลามสูตร ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแหล่งสำคัญของความเชื่อของคนทั่วไป และจากลักษณะของที่มาของความเชื่อ ๑๐ อย่างดังกล่าวแล้ว ก็สรุปได้ว่า
ความเชื่อของคนโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา ๒ อย่าง คือ วัตถุ หรือ บุคคลภายนอก และความคิดเห็นของตนเอง

ในบางพระสูตร พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า สัทธา รุจิ (ความพอใจ) อนุสสวะ (การฟังตามๆกันมา) อาการปริวิตักกะ (การใช้เหตุผล) ทิฏฐินิชฌานักขันติ (ความถูกใจ) ให้ผลเป็น ๒ อย่าง คือ

- สิ่งที่เชื่อ (ว่ามี) กลับว่างเปล่า ไม่จริงก็มี สิ่งที่ไม่เชื่อ (ว่ามี) กลับมีจริว แน่นอนก็มี
- สิ่งที่พอใจ กลับว่างเปล่า ไม่จริงก็มี สิ่งที่ไม่พอใจกลับจริงแท้ แน่นอนก็มี
- สิ่งที่ฟังตามกันมา ฯลฯ
- สิ่งที่คิดอย่างดีแล้ว ฯลฯ
- สิ่งที่ถูกใจ ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน
(จังกีสูตร - ม.ม. 13/655/601)

ข้อความในพระสูตรดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า เรื่องของความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามๆกันมา คิดเอาตามเหตุผล และความถูกใจ หรือ ความเข้ากันได้กับความเห็นของตนนั้น มีลักษณะเหมือนกัน คือ มีลักษณะเป็นการถือเอาความรู้สึก หรือ ความนึกคิดของตนเป็นใหญ่ และเรื่องราวที่ได้มาด้วยวิธีการเหล่านี้ สุดท้ายก็เก็บไว้ในลักษณะที่เรียกว่า สัทธา นั่นเอง และเรื่องของสัทธานั้นอาจผิดหรือถูกก็ได้ ทั้งนี้ เพราะยังไม่ใช่ความรู้หรือยังไม่รู้ เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดเท่านั้น

แม้ความเชื่อที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ก็ยังคงไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นเพียง “ความน่าจะเป็น” เท่านั้น และสิ่งที่เราเชื่อนั้น อาจจะจริงหรืออาจจะเท็จก็ได้ เพราะเป็นเพียงการคาดคะเนเอาตามเหตุผลว่า “น่าจะจริง” หรือ “น่าจะเท็จ” เท่านั้น มิใช่รู้ว่าจริง หรือ รู้ว่าเท็จ

จากประเด็นเรื่องความเชื่อนี้ ยังชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญในพุทธปรัชญาอีกประการหนึ่ง คือ ความเชื่อกับความจริงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
ฉะนั้น จึงไม่อาจเอาความเชื่อมาเป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงได้ เพราะสิ่งที่คนเชื่ออาจจะไม่มี หรือ ไม่จริงก็ได้ และสิ่งที่มีและจริงคนก็อาจจะไม่เชื่อก็ได้ และเมื่อความเชื่อ กับ ความคิดด้วยเหตุผลมีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน ฉะนั้น แม้การคิดด้วยเหตุผลก็ถือเอาเป็นเกณฑ์สำหรับตัดสินความจริงไม่ได้ เพราะสิ่งที่คิดอย่างดีแล้ว อาจะไม่มีและไม่จริงก็ได้ แต่สิ่งที่แม้ไม่ได้คิดอย่างดีก็อาจมีหรืออาจจริงก็ได้เช่นกัน

เนื่องจากความเชื่อกับความรู๐เป็นคนละเรื่องกัน พระพุทธศาสนา จึงถือว่า ผู้รู้จริงเป็นผู้ที่ไม่มีศรัทธาในใคร หรือ ในสิ่งใด มีหลักฐานในพระสูตรเป็นอันมากที่แสดงว่า พระอรหันต์ หรือ ผู้รู้จริงนั้น ได้ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีศรัทธา เช่น พุทธพจน์ที่ว่า

อสฺสทฺโธ อกตญฺญู จ สนฺธิจฺเฉโท จ โย นโร
หตาวกาโส วนฺตาโส ส เว อุตฺตมโปริโส

(ขุ.ธ. 25/17/28)

ภิกฺขุ อญฺญตฺร สทฺธาย อญฺญตฺร รุจิยา อญฺญตฺร อนุสฺสวา อญฺญตฺร อาการปริวิตกฺกา อญฺญตฺร ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อญฺญํ พฺยากเรยฺยํ

(สํ.สฬ.18/239/173)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2020, 03:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2020, 07:10
โพสต์: 456

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
เชื่อในสิ่งที่ทำเช่นเชื่อว่าทำดีได้ไปสวรรค์ก็อยากทำแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าดีได้เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราทันทีที่คิดถูก
อ่านบางตอนของพระไตรปิฏกแล้วเชื่อว่าทำฌานจะได้ฌานอันนี้เรียกว่าทำตามที่อยากทำอยากได้ไม่เข้าใจ
ถ้ารู้จริงต้องรอบรู้ทุกคำในพระไตรปิฏกรู้และเข้าใจก่อนว่าอะไรถูกอะไรผิดก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าฟังเข้าใจก็ดับมิจฉทิฏฐิทันทีที่ฟังเข้าใจทันทีเลือกเอาสิ่งที่อ่านไปทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อและไม่ทำตามคนอื่นทรงบอกให้ฟังให้ไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้ลืมฟังให้เข้าใจถูกก่อนทำ
ตัวตนนั้นมีมากพออ่านก็เดาสภาวะต่างๆไปตามที่อ่านแล้วก็หลงผิดคิดว่าต้องลงมือทำคิดแต่จะไปทำตามอ่าน
ลืมอะไรรู้ไหมคะลืมว่าปัญญาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ทำที่ข้อ1เมื่อใดก็ไปทำผิดตาม...คิดเห็นผิด
https://youtu.be/mRvFbg9GNMM
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2020, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarina เขียน:
cool
เชื่อในสิ่งที่ทำเช่นเชื่อว่าทำดีได้ไปสวรรค์ก็อยากทำแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าดีได้เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราทันทีที่คิดถูก
อ่านบางตอนของพระไตรปิฏกแล้วเชื่อว่าทำฌานจะได้ฌานอันนี้เรียกว่าทำตามที่อยากทำอยากได้ไม่เข้าใจ
ถ้ารู้จริงต้องรอบรู้ทุกคำในพระไตรปิฏกรู้และเข้าใจก่อนว่าอะไรถูกอะไรผิดก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าฟังเข้าใจก็ดับมิจฉทิฏฐิทันทีที่ฟังเข้าใจทันทีเลือกเอาสิ่งที่อ่านไปทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อและไม่ทำตามคนอื่นทรงบอกให้ฟังให้ไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้ลืมฟังให้เข้าใจถูกก่อนทำ
ตัวตนนั้นมีมากพออ่านก็เดาสภาวะต่างๆไปตามที่อ่านแล้วก็หลงผิดคิดว่าต้องลงมือทำคิดแต่จะไปทำตามอ่าน
ลืมอะไรรู้ไหมคะลืมว่าปัญญาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ทำที่ข้อ1เมื่อใดก็ไปทำผิดตาม...คิดเห็นผิด
https://youtu.be/mRvFbg9GNMM
onion onion onion


นี่คือการตีความผิด คิกๆๆ เมื่อตีความผิดจับแง่มุมพุทธธรรมพลาดแล้ว จะออกแนวสำนักนั้น เมื่อเขาคิดว่า
อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้


หนักเข้าเขาจะไม่ทำงานทำการอะไร แม้แต่เดินไปหน้าปากซอยซื้อโอเลี้ยง เขาก็ยังคิดว่าทำตามความอยาก เดินไปครึ่งซอยเดินไปคิดไป ท้อใจนี่เราจะไปไหน เราไม่มี มันเป็นอนัตตา เราจะไปได้ยังไง สิ้นหวังก็ลงนอนข้างทาง จนญาติต้องมาหามกลับบ้าน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2020, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนรุ่นใหม่ในตุรกีเปิดใจ ทำไมเลิกเชื่อในพระเจ้า?

หนุ่มสาวในตุรกีที่เคยปฏิบัติกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามต่อศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้า จนเลิกนับถือศาสนา

"ฉันสอนศาสนาให้เด็กนักเรียน แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้า มีอยู่จริงไหม แล้วฉันก็ไม่สนด้วย" เมอร์เว (นามสมมุติ) ครูสอนศาสนา กล่าว

เธอเล่าว่า "ฉันเคยเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามสุดโต่ง ตอนนี้ ผ้าคลุมผมนี้เป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงฉันกับศาสนา"

เยาวชนของตุรกีกำลังถอยห่างออกจากศาสนาหรือไม่?

"เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกเศร้ามาก ฉันร้องไห้หลายชั่วโมงและสวดภาวนา ฉันเริ่มพูดกับพระเจ้าว่า "ฉันสิ้นหวัง โปรดชี้ทางออกให้ฉันด้วย" แต่ขณะที่สวด ฉันก็สังเกตว่า ตัวเองมีความสงสัยว่า มีใครได้ยินคำสวดหรือเปล่า" เมอร์เว กล่าว

"วันต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้สูญสิ้นศรัทธาไปแล้ว" เธอเล่า

ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี มักพูดว่า เขาต้องการสร้าง 'ยุคเคร่งศาสนา' โดยรัฐบาลของเขาได้อัดฉีดเงินเพื่อการศึกษาด้านอิสลามมานานหลายปีแล้ว แต่กลับมีรายงานว่า เกิดผลในทางตรงข้ามแทน

"ตอนแรกฉันเลิกสวด จากนั้นฉันก็เลิกปฏิบัติกิจทางศาสนาทุกอย่าง ฉันคิดว่า ฉันควรจะเลิกสวมผ้าคลุมผมด้วย ฉันจึงไม่สวมมันตอนอยู่บ้าน ครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ชาย โดยไม่ได้สวมผ้าคลุมผม ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกจริง ๆ แต่ตอนนี้ เป็นธรรมชาติมาก นี่คือฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้" เมอร์เว เล่า

ส่วนเบเกียร์ (นามสมมุติ) นักศึกษาเทววิทยา เล่าว่า เขาเรียนโรงเรียนศาสนาตั้งแต่เล็ก จนเมื่อไม่นานนี้ เขารู้สึกคล้อยตามกลุ่มสุดโต่งต่าง ๆ อย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ อัลกออิดะห์

"ตอนนี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ตอนแรกผมอยากจะหาตรรกะในอิสลาม แต่ก็หาไม่เจอ ผมกลายมาเป็นพวกเทวัสนิยม ผมเชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อในทุกศาสนา จากนั้น ผมก็เริ่มสงสัยพระเจ้าเช่นกัน ผมไม่อาจบอกครอบครัวได้ว่า ผมไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก แม่ผมสวดวันละ 7 ครั้ง พวกเขาคงรับเรื่องนี้ไม่ได้" เบเกียร์ กล่าว

ครูสอนศาสนาอาวุโสสูงสุดของตุรกี เห็นว่า เทวัสนิยม และอเทวนิยม เป็นความคิดนอกรีต แต่หนุ่มสาวชาวตุรกีหัวเก่าก็อภิปรายเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง

"ผมเคยสนับสนุนรัฐบาลเคร่งอิสลามที่นี่ พวกเขาเคยมีความเห็นอกเห็นใจผู้คน แต่การกดขี่ทำให้เกิดการปฏิวัติ พวกเขาต้องการกดขี่เรา และเราก็เริ่มตอบโต้" เบเกียร์ กล่าว

https://www.bbc.com/thai/international- ... Ar-2aFasz8

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2020, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarina เขียน:
cool
เชื่อในสิ่งที่ทำเช่นเชื่อว่าทำดีได้ไปสวรรค์ก็อยากทำแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าดีได้เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราทันทีที่คิดถูก
อ่านบางตอนของพระไตรปิฏกแล้วเชื่อว่าทำฌานจะได้ฌานอันนี้เรียกว่าทำตามที่อยากทำอยากได้ไม่เข้าใจ
ถ้ารู้จริงต้องรอบรู้ทุกคำในพระไตรปิฏกรู้และเข้าใจก่อนว่าอะไรถูกอะไรผิดก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าฟังเข้าใจก็ดับมิจฉทิฏฐิทันทีที่ฟังเข้าใจทันทีเลือกเอาสิ่งที่อ่านไปทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อและไม่ทำตามคนอื่นทรงบอกให้ฟังให้ไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้ลืมฟังให้เข้าใจถูกก่อนทำ
ตัวตนนั้นมีมากพออ่านก็เดาสภาวะต่างๆไปตามที่อ่านแล้วก็หลงผิดคิดว่าต้องลงมือทำคิดแต่จะไปทำตามอ่าน
ลืมอะไรรู้ไหมคะลืมว่าปัญญาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ทำที่ข้อ1เมื่อใดก็ไปทำผิดตาม...คิดเห็นผิด
https://youtu.be/mRvFbg9GNMM
onion onion onion


นี่คือการตีความผิด คิกๆๆ เมื่อตีความผิดจับแง่มุมพุทธธรรมพลาดแล้ว จะออกแนวสำนักนั้น เมื่อเขาคิดว่า
อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้


หนักเข้าเขาจะไม่ทำงานทำการอะไร แม้แต่เดินไปหน้าปากซอยซื้อโอเลี้ยง เขาก็ยังคิดว่าทำตามความอยาก เดินไปครึ่งซอยเดินไปคิดไป ท้อใจนี่เราจะไปไหน เราไม่มี มันเป็นอนัตตา เราจะไปได้ยังไง สิ้นหวังก็ลงนอนข้างทาง จนญาติต้องมาหามกลับบ้าน :b32:

:b32:
ตัวตนไม่อยากกินโอเลี้ยงจะพาตัวตนเดินออกไปซื้อหรือคะ
คุณทำเพื่อสนองความอยากของโรสหรือคะ555
ที่ทำแบบนั้นคุณทำตามความอยากกินไม่ใช่เหรอ
เรียกว่าตัณหาแปลว่าทำด้วยกิเลสตัณหาของตัวตน
ปัญญาเกิดได้ตอนกำลังทำฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ
ถ้าคุณกำลังคิดพูดทำสิ่งใดก็ตามทำเพื่อสนองความอยากทั้งนั้นค่ะ
พอไม่ได้ตามความอยากก็เกิดโทสะขุ่นใจเช่นเดินไปร้านโอเลี้ยงปิดผิดหวังไหม
ก็ยังไม่ละความพยายามของตัวเองของตัวตนไปหาซื้อที่ร้านอื่นเพียรทำตามตัณหาไม่ได้คิดตามคำสอนไงคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2020, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarina เขียน:
cool
เชื่อในสิ่งที่ทำเช่นเชื่อว่าทำดีได้ไปสวรรค์ก็อยากทำแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าดีได้เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราทันทีที่คิดถูก
อ่านบางตอนของพระไตรปิฏกแล้วเชื่อว่าทำฌานจะได้ฌานอันนี้เรียกว่าทำตามที่อยากทำอยากได้ไม่เข้าใจ
ถ้ารู้จริงต้องรอบรู้ทุกคำในพระไตรปิฏกรู้และเข้าใจก่อนว่าอะไรถูกอะไรผิดก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าฟังเข้าใจก็ดับมิจฉทิฏฐิทันทีที่ฟังเข้าใจทันทีเลือกเอาสิ่งที่อ่านไปทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อและไม่ทำตามคนอื่นทรงบอกให้ฟังให้ไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้ลืมฟังให้เข้าใจถูกก่อนทำ
ตัวตนนั้นมีมากพออ่านก็เดาสภาวะต่างๆไปตามที่อ่านแล้วก็หลงผิดคิดว่าต้องลงมือทำคิดแต่จะไปทำตามอ่าน
ลืมอะไรรู้ไหมคะลืมว่าปัญญาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ทำที่ข้อ1เมื่อใดก็ไปทำผิดตาม...คิดเห็นผิด
https://youtu.be/mRvFbg9GNMM
onion onion onion


นี่คือการตีความผิด คิกๆๆ เมื่อตีความผิดจับแง่มุมพุทธธรรมพลาดแล้ว จะออกแนวสำนักนั้น เมื่อเขาคิดว่า
อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้


หนักเข้าเขาจะไม่ทำงานทำการอะไร แม้แต่เดินไปหน้าปากซอยซื้อโอเลี้ยง เขาก็ยังคิดว่าทำตามความอยาก เดินไปครึ่งซอยเดินไปคิดไป ท้อใจนี่เราจะไปไหน เราไม่มี มันเป็นอนัตตา เราจะไปได้ยังไง สิ้นหวังก็ลงนอนข้างทาง จนญาติต้องมาหามกลับบ้าน :b32:

:b32:
ตัวตนไม่อยากกินโอเลี้ยงจะพาตัวตนเดินออกไปซื้อหรือคะ
คุณทำเพื่อสนองความอยากของโรสหรือคะ555
ที่ทำแบบนั้นคุณทำตามความอยากกินไม่ใช่เหรอ
เรียกว่าตัณหาแปลว่าทำด้วยกิเลสตัณหาของตัวตน
ปัญญาเกิดได้ตอนกำลังทำฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ
ถ้าคุณกำลังคิดพูดทำสิ่งใดก็ตามทำเพื่อสนองความอยากทั้งนั้นค่ะ
พอไม่ได้ตามความอยากก็เกิดโทสะขุ่นใจเช่นเดินไปร้านโอเลี้ยงปิดผิดหวังไหม
ก็ยังไม่ละความพยายามของตัวเองของตัวตนไปหาซื้อที่ร้านอื่นเพียรทำตามตัณหาไม่ได้คิดตามคำสอนไงคะ
:b32: :b32: :b32:

เปลี่ยนเป็นคุณบวช
ถามว่าอยากฉันโอเลี้ยง
แค่เอ่ยปากขอก็ทำไม่ได้
บวชแล้วทำแบบชาวบ้านไม่ได้
ถามจริงๆเถอะบวชแล้วอยากได้อะไรเพิ่ม
กฏิใหญ่ๆศาลาใหญ่ๆเปิดไฟฟ้ากี่ดวงไม่รู้ตัวหรือคะพระพุทธเจ้าไม่ให้ใช้เงินค่ะ
เรียไรขอ5ขอ10อยากได้พระพุทธรูปใหญ่ๆเอาไปตั้งไว้ให้คนเข้าวัดไปหยอดเงินในตู้บริจาครับเงินให้ใครคะ
https://youtu.be/jOp8ZgayiU0
:b32:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2020, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarina เขียน:
cool
เชื่อในสิ่งที่ทำเช่นเชื่อว่าทำดีได้ไปสวรรค์ก็อยากทำแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าดีได้เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราทันทีที่คิดถูก
อ่านบางตอนของพระไตรปิฏกแล้วเชื่อว่าทำฌานจะได้ฌานอันนี้เรียกว่าทำตามที่อยากทำอยากได้ไม่เข้าใจ
ถ้ารู้จริงต้องรอบรู้ทุกคำในพระไตรปิฏกรู้และเข้าใจก่อนว่าอะไรถูกอะไรผิดก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่
เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าฟังเข้าใจก็ดับมิจฉทิฏฐิทันทีที่ฟังเข้าใจทันทีเลือกเอาสิ่งที่อ่านไปทำไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อและไม่ทำตามคนอื่นทรงบอกให้ฟังให้ไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้ลืมฟังให้เข้าใจถูกก่อนทำ
ตัวตนนั้นมีมากพออ่านก็เดาสภาวะต่างๆไปตามที่อ่านแล้วก็หลงผิดคิดว่าต้องลงมือทำคิดแต่จะไปทำตามอ่าน
ลืมอะไรรู้ไหมคะลืมว่าปัญญาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ทำที่ข้อ1เมื่อใดก็ไปทำผิดตาม...คิดเห็นผิด
https://youtu.be/mRvFbg9GNMM
onion onion onion


นี่คือการตีความผิด คิกๆๆ เมื่อตีความผิดจับแง่มุมพุทธธรรมพลาดแล้ว จะออกแนวสำนักนั้น เมื่อเขาคิดว่า
อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเกิดโดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราเลือกเอามาทำตามความอยากได้


หนักเข้าเขาจะไม่ทำงานทำการอะไร แม้แต่เดินไปหน้าปากซอยซื้อโอเลี้ยง เขาก็ยังคิดว่าทำตามความอยาก เดินไปครึ่งซอยเดินไปคิดไป ท้อใจนี่เราจะไปไหน เราไม่มี มันเป็นอนัตตา เราจะไปได้ยังไง สิ้นหวังก็ลงนอนข้างทาง จนญาติต้องมาหามกลับบ้าน :b32:

:b32:
ตัวตนไม่อยากกินโอเลี้ยงจะพาตัวตนเดินออกไปซื้อหรือคะ
คุณทำเพื่อสนองความอยากของโรสหรือคะ555
ที่ทำแบบนั้นคุณทำตามความอยากกินไม่ใช่เหรอ
เรียกว่าตัณหาแปลว่าทำด้วยกิเลสตัณหาของตัวตน
ปัญญาเกิดได้ตอนกำลังทำฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ
ถ้าคุณกำลังคิดพูดทำสิ่งใดก็ตามทำเพื่อสนองความอยากทั้งนั้นค่ะ
พอไม่ได้ตามความอยากก็เกิดโทสะขุ่นใจเช่นเดินไปร้านโอเลี้ยงปิดผิดหวังไหม
ก็ยังไม่ละความพยายามของตัวเองของตัวตนไปหาซื้อที่ร้านอื่นเพียรทำตามตัณหาไม่ได้คิดตามคำสอนไงคะ
:b32: :b32: :b32:


นี่คือสำนักที่สุดโต่ง คือ รู้ครึ่งๆกลางๆ

ความอยากนั้นไม่ใช่เป็นกิเลสตัณหาไปทั้งหมด เบื้องต้นต้องแยกให้ออกก่อนว่า อยากอย่างไรเป็นตัณหา ศัพท์เต็มๆว่า ตัณหาฉันทะ (เรียกสั้นว่า ตัณหา) อยากอย่างไร เป็นฉันทะ เรียกเต็มว่า ธรรมฉันทะ

ถึงได้บอกหลายครั้งว่า คิดอย่างนั้น ก็ไม่ต้องทำห่านอะไรกันแล้ว เพราะทำแล้วมันเป็นตัณหาเป็นกิเลสเป็นความอยาก จะเดินจงกรมก็ไม่ได้ เพราะอยากเดินเป็นตัณหา จะนั่งสมาธิก็ไม่ได้เพราะอยากนั่งเป็นตัณหาเป็นความอยากเป็นกิเลส คิกๆๆๆ คิดแล้วก็เลยนอนกลิ้งไปกลิ้งมา แต่หารู้ไม่ว่า นั่นมันเป็นความเกียจคร้านเป็นความประมาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เลอะเทอะ จบข่าว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2020, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คนรุ่นใหม่ในตุรกีเปิดใจ ทำไมเลิกเชื่อในพระเจ้า?

หนุ่มสาวในตุรกีที่เคยปฏิบัติกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามต่อศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้า จนเลิกนับถือศาสนา

"ฉันสอนศาสนาให้เด็กนักเรียน แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้า มีอยู่จริงไหม แล้วฉันก็ไม่สนด้วย" เมอร์เว (นามสมมุติ) ครูสอนศาสนา กล่าว

เธอเล่าว่า "ฉันเคยเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามสุดโต่ง ตอนนี้ ผ้าคลุมผมนี้เป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงฉันกับศาสนา"

เยาวชนของตุรกีกำลังถอยห่างออกจากศาสนาหรือไม่?

"เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกเศร้ามาก ฉันร้องไห้หลายชั่วโมงและสวดภาวนา ฉันเริ่มพูดกับพระเจ้าว่า "ฉันสิ้นหวัง โปรดชี้ทางออกให้ฉันด้วย" แต่ขณะที่สวด ฉันก็สังเกตว่า ตัวเองมีความสงสัยว่า มีใครได้ยินคำสวดหรือเปล่า" เมอร์เว กล่าว

"วันต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้สูญสิ้นศรัทธาไปแล้ว" เธอเล่า

ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี มักพูดว่า เขาต้องการสร้าง 'ยุคเคร่งศาสนา' โดยรัฐบาลของเขาได้อัดฉีดเงินเพื่อการศึกษาด้านอิสลามมานานหลายปีแล้ว แต่กลับมีรายงานว่า เกิดผลในทางตรงข้ามแทน

"ตอนแรกฉันเลิกสวด จากนั้นฉันก็เลิกปฏิบัติกิจทางศาสนาทุกอย่าง ฉันคิดว่า ฉันควรจะเลิกสวมผ้าคลุมผมด้วย ฉันจึงไม่สวมมันตอนอยู่บ้าน ครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ชาย โดยไม่ได้สวมผ้าคลุมผม ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกจริง ๆ แต่ตอนนี้ เป็นธรรมชาติมาก นี่คือฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้" เมอร์เว เล่า

ส่วนเบเกียร์ (นามสมมุติ) นักศึกษาเทววิทยา เล่าว่า เขาเรียนโรงเรียนศาสนาตั้งแต่เล็ก จนเมื่อไม่นานนี้ เขารู้สึกคล้อยตามกลุ่มสุดโต่งต่าง ๆ อย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ อัลกออิดะห์

"ตอนนี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ตอนแรกผมอยากจะหาตรรกะในอิสลาม แต่ก็หาไม่เจอ ผมกลายมาเป็นพวกเทวัสนิยม ผมเชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อในทุกศาสนา จากนั้น ผมก็เริ่มสงสัยพระเจ้าเช่นกัน ผมไม่อาจบอกครอบครัวได้ว่า ผมไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก แม่ผมสวดวันละ 7 ครั้ง พวกเขาคงรับเรื่องนี้ไม่ได้" เบเกียร์ กล่าว

ครูสอนศาสนาอาวุโสสูงสุดของตุรกี เห็นว่า เทวัสนิยม และอเทวนิยม เป็นความคิดนอกรีต แต่หนุ่มสาวชาวตุรกีหัวเก่าก็อภิปรายเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง

"ผมเคยสนับสนุนรัฐบาลเคร่งอิสลามที่นี่ พวกเขาเคยมีความเห็นอกเห็นใจผู้คน แต่การกดขี่ทำให้เกิดการปฏิวัติ พวกเขาต้องการกดขี่เรา และเราก็เริ่มตอบโต้" เบเกียร์ กล่าว

https://www.bbc.com/thai/international- ... Ar-2aFasz8


คริคริ

คนรุ่นใหม่ แต่ความคิดล้าหลัง พวกแอนตี้ไครส์ ปฎิเสธพระเจ้ามีมานานหลายศตวรรษแล้วค่ะ

tongue tongue tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2020, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คนรุ่นใหม่ในตุรกีเปิดใจ ทำไมเลิกเชื่อในพระเจ้า?

หนุ่มสาวในตุรกีที่เคยปฏิบัติกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามต่อศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้า จนเลิกนับถือศาสนา

"ฉันสอนศาสนาให้เด็กนักเรียน แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้า มีอยู่จริงไหม แล้วฉันก็ไม่สนด้วย" เมอร์เว (นามสมมุติ) ครูสอนศาสนา กล่าว

เธอเล่าว่า "ฉันเคยเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามสุดโต่ง ตอนนี้ ผ้าคลุมผมนี้เป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงฉันกับศาสนา"

เยาวชนของตุรกีกำลังถอยห่างออกจากศาสนาหรือไม่?

"เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกเศร้ามาก ฉันร้องไห้หลายชั่วโมงและสวดภาวนา ฉันเริ่มพูดกับพระเจ้าว่า "ฉันสิ้นหวัง โปรดชี้ทางออกให้ฉันด้วย" แต่ขณะที่สวด ฉันก็สังเกตว่า ตัวเองมีความสงสัยว่า มีใครได้ยินคำสวดหรือเปล่า" เมอร์เว กล่าว

"วันต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้สูญสิ้นศรัทธาไปแล้ว" เธอเล่า

ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี มักพูดว่า เขาต้องการสร้าง 'ยุคเคร่งศาสนา' โดยรัฐบาลของเขาได้อัดฉีดเงินเพื่อการศึกษาด้านอิสลามมานานหลายปีแล้ว แต่กลับมีรายงานว่า เกิดผลในทางตรงข้ามแทน

"ตอนแรกฉันเลิกสวด จากนั้นฉันก็เลิกปฏิบัติกิจทางศาสนาทุกอย่าง ฉันคิดว่า ฉันควรจะเลิกสวมผ้าคลุมผมด้วย ฉันจึงไม่สวมมันตอนอยู่บ้าน ครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ชาย โดยไม่ได้สวมผ้าคลุมผม ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกจริง ๆ แต่ตอนนี้ เป็นธรรมชาติมาก นี่คือฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้" เมอร์เว เล่า

ส่วนเบเกียร์ (นามสมมุติ) นักศึกษาเทววิทยา เล่าว่า เขาเรียนโรงเรียนศาสนาตั้งแต่เล็ก จนเมื่อไม่นานนี้ เขารู้สึกคล้อยตามกลุ่มสุดโต่งต่าง ๆ อย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ อัลกออิดะห์

"ตอนนี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ตอนแรกผมอยากจะหาตรรกะในอิสลาม แต่ก็หาไม่เจอ ผมกลายมาเป็นพวกเทวัสนิยม ผมเชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อในทุกศาสนา จากนั้น ผมก็เริ่มสงสัยพระเจ้าเช่นกัน ผมไม่อาจบอกครอบครัวได้ว่า ผมไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก แม่ผมสวดวันละ 7 ครั้ง พวกเขาคงรับเรื่องนี้ไม่ได้" เบเกียร์ กล่าว

ครูสอนศาสนาอาวุโสสูงสุดของตุรกี เห็นว่า เทวัสนิยม และอเทวนิยม เป็นความคิดนอกรีต แต่หนุ่มสาวชาวตุรกีหัวเก่าก็อภิปรายเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง

"ผมเคยสนับสนุนรัฐบาลเคร่งอิสลามที่นี่ พวกเขาเคยมีความเห็นอกเห็นใจผู้คน แต่การกดขี่ทำให้เกิดการปฏิวัติ พวกเขาต้องการกดขี่เรา และเราก็เริ่มตอบโต้" เบเกียร์ กล่าว

https://www.bbc.com/thai/international- ... Ar-2aFasz8


คริคริ

คนรุ่นใหม่ แต่ความคิดล้าหลัง พวกแอนตี้ไครส์ ปฎิเสธพระเจ้ามีมานานหลายศตวรรษแล้วค่ะ

tongue tongue tongue


พุทธธรรมคือทางออก แต่ต้องศึกษาให้ครบถ้วนรอบด้าน ถ้าเล่นอย่างเดียวแบบคุณโรส ก็สุดโต่ง ถอยหลังเข้าถ้ำสุกรขาตา :b32: พอเข้าไปแล้วก็ตะโกนพระพุทธเจ้าอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน ได้ยินแต่เสียงสะท้อนของตัวเอง ไหนๆๆๆๆๆ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2020, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คนรุ่นใหม่ในตุรกีเปิดใจ ทำไมเลิกเชื่อในพระเจ้า?

หนุ่มสาวในตุรกีที่เคยปฏิบัติกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามต่อศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้า จนเลิกนับถือศาสนา

"ฉันสอนศาสนาให้เด็กนักเรียน แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้า มีอยู่จริงไหม แล้วฉันก็ไม่สนด้วย" เมอร์เว (นามสมมุติ) ครูสอนศาสนา กล่าว

เธอเล่าว่า "ฉันเคยเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามสุดโต่ง ตอนนี้ ผ้าคลุมผมนี้เป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงฉันกับศาสนา"

เยาวชนของตุรกีกำลังถอยห่างออกจากศาสนาหรือไม่?

"เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกเศร้ามาก ฉันร้องไห้หลายชั่วโมงและสวดภาวนา ฉันเริ่มพูดกับพระเจ้าว่า "ฉันสิ้นหวัง โปรดชี้ทางออกให้ฉันด้วย" แต่ขณะที่สวด ฉันก็สังเกตว่า ตัวเองมีความสงสัยว่า มีใครได้ยินคำสวดหรือเปล่า" เมอร์เว กล่าว

"วันต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้สูญสิ้นศรัทธาไปแล้ว" เธอเล่า

ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี มักพูดว่า เขาต้องการสร้าง 'ยุคเคร่งศาสนา' โดยรัฐบาลของเขาได้อัดฉีดเงินเพื่อการศึกษาด้านอิสลามมานานหลายปีแล้ว แต่กลับมีรายงานว่า เกิดผลในทางตรงข้ามแทน

"ตอนแรกฉันเลิกสวด จากนั้นฉันก็เลิกปฏิบัติกิจทางศาสนาทุกอย่าง ฉันคิดว่า ฉันควรจะเลิกสวมผ้าคลุมผมด้วย ฉันจึงไม่สวมมันตอนอยู่บ้าน ครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ชาย โดยไม่ได้สวมผ้าคลุมผม ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกจริง ๆ แต่ตอนนี้ เป็นธรรมชาติมาก นี่คือฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้" เมอร์เว เล่า

ส่วนเบเกียร์ (นามสมมุติ) นักศึกษาเทววิทยา เล่าว่า เขาเรียนโรงเรียนศาสนาตั้งแต่เล็ก จนเมื่อไม่นานนี้ เขารู้สึกคล้อยตามกลุ่มสุดโต่งต่าง ๆ อย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ อัลกออิดะห์

"ตอนนี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ตอนแรกผมอยากจะหาตรรกะในอิสลาม แต่ก็หาไม่เจอ ผมกลายมาเป็นพวกเทวัสนิยม ผมเชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อในทุกศาสนา จากนั้น ผมก็เริ่มสงสัยพระเจ้าเช่นกัน ผมไม่อาจบอกครอบครัวได้ว่า ผมไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก แม่ผมสวดวันละ 7 ครั้ง พวกเขาคงรับเรื่องนี้ไม่ได้" เบเกียร์ กล่าว

ครูสอนศาสนาอาวุโสสูงสุดของตุรกี เห็นว่า เทวัสนิยม และอเทวนิยม เป็นความคิดนอกรีต แต่หนุ่มสาวชาวตุรกีหัวเก่าก็อภิปรายเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง

"ผมเคยสนับสนุนรัฐบาลเคร่งอิสลามที่นี่ พวกเขาเคยมีความเห็นอกเห็นใจผู้คน แต่การกดขี่ทำให้เกิดการปฏิวัติ พวกเขาต้องการกดขี่เรา และเราก็เริ่มตอบโต้" เบเกียร์ กล่าว

https://www.bbc.com/thai/international- ... Ar-2aFasz8


คริคริ

คนรุ่นใหม่ แต่ความคิดล้าหลัง พวกแอนตี้ไครส์ ปฎิเสธพระเจ้ามีมานานหลายศตวรรษแล้วค่ะ

tongue tongue tongue


พุทธธรรมคือทางออก แต่ต้องศึกษาให้ครบถ้วนรอบด้าน ถ้าเล่นอย่างเดียวแบบคุณโรส ก็สุดโต่ง ถอยหลังเข้าถ้ำสุกรขาตา :b32: พอเข้าไปแล้วก็ตะโกนพระพุทธเจ้าอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน ได้ยินแต่เสียงสะท้อนของตัวเอง ไหนๆๆๆๆๆ :b13:



คริคริ

ยังกะเพลง เธออยู่ไหน ฉานอยู่นี่ .....
เรียนพุทธธรรมรอบด้าน ก็ต้องศึกษา ที่ตัวเองนี่แหละ


tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2020, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คนรุ่นใหม่ในตุรกีเปิดใจ ทำไมเลิกเชื่อในพระเจ้า?

หนุ่มสาวในตุรกีที่เคยปฏิบัติกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามต่อศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้า จนเลิกนับถือศาสนา

"ฉันสอนศาสนาให้เด็กนักเรียน แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้า มีอยู่จริงไหม แล้วฉันก็ไม่สนด้วย" เมอร์เว (นามสมมุติ) ครูสอนศาสนา กล่าว

เธอเล่าว่า "ฉันเคยเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามสุดโต่ง ตอนนี้ ผ้าคลุมผมนี้เป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงฉันกับศาสนา"

เยาวชนของตุรกีกำลังถอยห่างออกจากศาสนาหรือไม่?

"เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกเศร้ามาก ฉันร้องไห้หลายชั่วโมงและสวดภาวนา ฉันเริ่มพูดกับพระเจ้าว่า "ฉันสิ้นหวัง โปรดชี้ทางออกให้ฉันด้วย" แต่ขณะที่สวด ฉันก็สังเกตว่า ตัวเองมีความสงสัยว่า มีใครได้ยินคำสวดหรือเปล่า" เมอร์เว กล่าว

"วันต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้สูญสิ้นศรัทธาไปแล้ว" เธอเล่า

ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี มักพูดว่า เขาต้องการสร้าง 'ยุคเคร่งศาสนา' โดยรัฐบาลของเขาได้อัดฉีดเงินเพื่อการศึกษาด้านอิสลามมานานหลายปีแล้ว แต่กลับมีรายงานว่า เกิดผลในทางตรงข้ามแทน

"ตอนแรกฉันเลิกสวด จากนั้นฉันก็เลิกปฏิบัติกิจทางศาสนาทุกอย่าง ฉันคิดว่า ฉันควรจะเลิกสวมผ้าคลุมผมด้วย ฉันจึงไม่สวมมันตอนอยู่บ้าน ครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ชาย โดยไม่ได้สวมผ้าคลุมผม ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกจริง ๆ แต่ตอนนี้ เป็นธรรมชาติมาก นี่คือฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้" เมอร์เว เล่า

ส่วนเบเกียร์ (นามสมมุติ) นักศึกษาเทววิทยา เล่าว่า เขาเรียนโรงเรียนศาสนาตั้งแต่เล็ก จนเมื่อไม่นานนี้ เขารู้สึกคล้อยตามกลุ่มสุดโต่งต่าง ๆ อย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ อัลกออิดะห์

"ตอนนี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ตอนแรกผมอยากจะหาตรรกะในอิสลาม แต่ก็หาไม่เจอ ผมกลายมาเป็นพวกเทวัสนิยม ผมเชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อในทุกศาสนา จากนั้น ผมก็เริ่มสงสัยพระเจ้าเช่นกัน ผมไม่อาจบอกครอบครัวได้ว่า ผมไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก แม่ผมสวดวันละ 7 ครั้ง พวกเขาคงรับเรื่องนี้ไม่ได้" เบเกียร์ กล่าว

ครูสอนศาสนาอาวุโสสูงสุดของตุรกี เห็นว่า เทวัสนิยม และอเทวนิยม เป็นความคิดนอกรีต แต่หนุ่มสาวชาวตุรกีหัวเก่าก็อภิปรายเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง

"ผมเคยสนับสนุนรัฐบาลเคร่งอิสลามที่นี่ พวกเขาเคยมีความเห็นอกเห็นใจผู้คน แต่การกดขี่ทำให้เกิดการปฏิวัติ พวกเขาต้องการกดขี่เรา และเราก็เริ่มตอบโต้" เบเกียร์ กล่าว

https://www.bbc.com/thai/international- ... Ar-2aFasz8


คริคริ

คนรุ่นใหม่ แต่ความคิดล้าหลัง พวกแอนตี้ไครส์ ปฎิเสธพระเจ้ามีมานานหลายศตวรรษแล้วค่ะ

tongue tongue tongue


พุทธธรรมคือทางออก แต่ต้องศึกษาให้ครบถ้วนรอบด้าน ถ้าเล่นอย่างเดียวแบบคุณโรส ก็สุดโต่ง ถอยหลังเข้าถ้ำสุกรขาตา :b32: พอเข้าไปแล้วก็ตะโกนพระพุทธเจ้าอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน ได้ยินแต่เสียงสะท้อนของตัวเอง ไหนๆๆๆๆๆ :b13:



คริคริ

ยังกะเพลง เธออยู่ไหน ฉานอยู่นี่ .....
เรียนพุทธธรรมรอบด้าน ก็ต้องศึกษา ที่ตัวเองนี่แหละ


tongue


เรียนรอบด้าน ก็ต้องดูทั้งคำสอนที่เป็นโลกียธรรม และโลกุตรธรรม

อ้างคำพูด:
เรียนพุทธธรรมรอบด้าน ก็ต้องศึกษา ที่ตัวเองนี่แหละ


ศึกษาที่ตัวเองก็ต้องมีครูที่ชำนาญทั้งปริยัติและปฏิบัติแนะนำ ถ้าไปเล่นแบบคุณโรส คงต้องร้องเพลงจะเกิดชาติไหนๆ ก็ไกลพุทธธรรม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2020, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คนรุ่นใหม่ในตุรกีเปิดใจ ทำไมเลิกเชื่อในพระเจ้า?

หนุ่มสาวในตุรกีที่เคยปฏิบัติกิจทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามต่อศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้า จนเลิกนับถือศาสนา

"ฉันสอนศาสนาให้เด็กนักเรียน แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้า มีอยู่จริงไหม แล้วฉันก็ไม่สนด้วย" เมอร์เว (นามสมมุติ) ครูสอนศาสนา กล่าว

เธอเล่าว่า "ฉันเคยเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามสุดโต่ง ตอนนี้ ผ้าคลุมผมนี้เป็นเพียงของสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงฉันกับศาสนา"

เยาวชนของตุรกีกำลังถอยห่างออกจากศาสนาหรือไม่?

"เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกเศร้ามาก ฉันร้องไห้หลายชั่วโมงและสวดภาวนา ฉันเริ่มพูดกับพระเจ้าว่า "ฉันสิ้นหวัง โปรดชี้ทางออกให้ฉันด้วย" แต่ขณะที่สวด ฉันก็สังเกตว่า ตัวเองมีความสงสัยว่า มีใครได้ยินคำสวดหรือเปล่า" เมอร์เว กล่าว

"วันต่อมา ฉันก็ตระหนักว่า ฉันได้สูญสิ้นศรัทธาไปแล้ว" เธอเล่า

ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ของตุรกี มักพูดว่า เขาต้องการสร้าง 'ยุคเคร่งศาสนา' โดยรัฐบาลของเขาได้อัดฉีดเงินเพื่อการศึกษาด้านอิสลามมานานหลายปีแล้ว แต่กลับมีรายงานว่า เกิดผลในทางตรงข้ามแทน

"ตอนแรกฉันเลิกสวด จากนั้นฉันก็เลิกปฏิบัติกิจทางศาสนาทุกอย่าง ฉันคิดว่า ฉันควรจะเลิกสวมผ้าคลุมผมด้วย ฉันจึงไม่สวมมันตอนอยู่บ้าน ครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ชาย โดยไม่ได้สวมผ้าคลุมผม ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกจริง ๆ แต่ตอนนี้ เป็นธรรมชาติมาก นี่คือฉันที่เป็นอยู่ตอนนี้" เมอร์เว เล่า

ส่วนเบเกียร์ (นามสมมุติ) นักศึกษาเทววิทยา เล่าว่า เขาเรียนโรงเรียนศาสนาตั้งแต่เล็ก จนเมื่อไม่นานนี้ เขารู้สึกคล้อยตามกลุ่มสุดโต่งต่าง ๆ อย่าง กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ อัลกออิดะห์

"ตอนนี้ ผมไม่เชื่อในพระเจ้า ตอนแรกผมอยากจะหาตรรกะในอิสลาม แต่ก็หาไม่เจอ ผมกลายมาเป็นพวกเทวัสนิยม ผมเชื่อในพระเจ้า และไม่เชื่อในทุกศาสนา จากนั้น ผมก็เริ่มสงสัยพระเจ้าเช่นกัน ผมไม่อาจบอกครอบครัวได้ว่า ผมไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว พ่อผมเป็นคนเคร่งศาสนามาก แม่ผมสวดวันละ 7 ครั้ง พวกเขาคงรับเรื่องนี้ไม่ได้" เบเกียร์ กล่าว

ครูสอนศาสนาอาวุโสสูงสุดของตุรกี เห็นว่า เทวัสนิยม และอเทวนิยม เป็นความคิดนอกรีต แต่หนุ่มสาวชาวตุรกีหัวเก่าก็อภิปรายเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง

"ผมเคยสนับสนุนรัฐบาลเคร่งอิสลามที่นี่ พวกเขาเคยมีความเห็นอกเห็นใจผู้คน แต่การกดขี่ทำให้เกิดการปฏิวัติ พวกเขาต้องการกดขี่เรา และเราก็เริ่มตอบโต้" เบเกียร์ กล่าว

https://www.bbc.com/thai/international- ... Ar-2aFasz8


คริคริ

คนรุ่นใหม่ แต่ความคิดล้าหลัง พวกแอนตี้ไครส์ ปฎิเสธพระเจ้ามีมานานหลายศตวรรษแล้วค่ะ

tongue tongue tongue


พุทธธรรมคือทางออก แต่ต้องศึกษาให้ครบถ้วนรอบด้าน ถ้าเล่นอย่างเดียวแบบคุณโรส ก็สุดโต่ง ถอยหลังเข้าถ้ำสุกรขาตา :b32: พอเข้าไปแล้วก็ตะโกนพระพุทธเจ้าอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน ได้ยินแต่เสียงสะท้อนของตัวเอง ไหนๆๆๆๆๆ :b13:



คริคริ

ยังกะเพลง เธออยู่ไหน ฉานอยู่นี่ .....
เรียนพุทธธรรมรอบด้าน ก็ต้องศึกษา ที่ตัวเองนี่แหละ


tongue


เรียนรอบด้าน ก็ต้องดูทั้งคำสอนที่เป็นโลกียธรรม และโลกุตรธรรม

อ้างคำพูด:
เรียนพุทธธรรมรอบด้าน ก็ต้องศึกษา ที่ตัวเองนี่แหละ


ศึกษาที่ตัวเองก็ต้องมีครูที่ชำนาญทั้งปริยัติและปฏิบัติแนะนำ ถ้าไปเล่นแบบคุณโรส คงต้องร้องเพลงจะเกิดชาติไหนๆ ก็ไกลพุทธธรรม :b32:

คริคริ
คุณยายโรส ชำนาญการเรียกยอด วิว

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2020, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

คุณยายโรส ชำนาญการเรียกยอด วิว



เมโลกสวยว่ายังงั้น จริงไหมคุณโรส ตอบหน่อยดิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร