วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 15:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2020, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"มะเร็ง...รักษาได้
อิจฉาริษยา...รักษาไม่ได้"

หลวงปู่ลี ตาณํกโร
วัดป่าหัวตลุก จ.นครสวรรค์








...อาตมาตอนไปอยู่บ้านตาดใหม่ๆ ก็ไปสวดงานศพ ชาวบ้านทางอีสานเวลาเผาศพจะไม่มีโลงไม้ปิดมิดชิด จะเป็นโลงกระดาษแปะโครงไม้ ไม่มีฝา เวลาเผาก็ ตั้งบนกองฟืน เอาไม้ ๒ ท่อนทับโลงไว้ เวลาไฟเผา ร่างกายจะดีดขึ้นมา ก็ไปพิจารณาดูคนตายอยู่เรื่อยๆ

.ถ้านึกภาพไม่ออกก็ต้องไปดูของจริง ดูของจริงแล้วก็เอามาคิดเอามาเจริญอยู่เรื่อยๆ อยู่ในใจ ว่าสักวันหนึ่งร่างกายเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ งานเผาศพของโยมแม่หลวงตา ตอนนั้นเผาตอนบ่ายที่หน้าศาลาภายในวัด ไม่ได้ก่อเมรุ เอาฟืนมากอง แล้วก็เอาโลงศพไปตั้ง พอถึงเวลา ก็จุดไฟเผา ตอนดึกพอไฟไหม้หมดแล้ว ก็เก็บเศษกระดูกขี้เถ้าไปโรย ใต้ต้นโพธิ์ในวัด จากดินก็กลับคืนสู่ดิน

.ตอนเช้าที่หน้าศาลาไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ไม่มีซากเหลืออยู่เลย เก็บเรียบร้อยหมด ตอนต้นท่านจะให้เผาวันที่เสียเลย เสียตอนเช้าท่านจะให้เผาตอนบ่าย ญาติพี่น้องขออนุญาตเก็บไว้คืนหนึ่ง จะได้บอกญาติพี่น้องที่ อยู่ไกลจะได้มาร่วมงาน ก็เลยเก็บไว้คืนหนึ่ง ไม่มีการสวด ตั้งศพไว้เฉยๆ ใครอยากจะไหว้ก็ไหว้ไป แต่ไม่มีพระสวดกุสลาฯ

.เวลาก่อนจะเผาก็นิมนต์ครูบาอาจารย์ ๑๐ รูปมาบังสุกุล ไม่ได้สวดกุสลาฯ กุสลา แปลว่า “ความฉลาด” ก็คือการพิจารณาว่าเป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่ง เป็นดินน้ําลมไฟ ที่จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

.ต้องกุสลาตอนที่ยังไม่ตาย ตายไปแล้วจะกุสลาหาอะไร ต้องกุสลากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนที่มีชีวิตอยู่นี้ต้องกุสลาเอง ไปนิมนต์พระมากุสลาทําไม พระต้องกุสลาร่างกายของท่านเอง พวกเราก็ต้องกุสลาร่างกายของพวกเรา ต้องสร้างความฉลาดให้แก่ใจ ให้รู้ทันธรรมชาติของร่างกายว่า เป็นเพียงดินน้ํา ลม ไฟ “มีอายุขัย ต้องแก่ เจ็บ ตาย”.
......................................
มหาเศรษฐีที่แท้จริง
หน้า138-139
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









หลวงพ่อชาว่ามันเหมือนการปลูกต้นไม้ เราปลูกต้นไม้แล้วเราต้องทำหน้าที่ต่างๆ เช่น รดน้ำ พรวนดิน ป้องกันศัตรูพืช วัชพืชต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่ต้นไม้นั้นจะโตเร็วโตช้า ผลที่เกิดขึ้นจะใหญ่จะเล็ก จะหวานจะเปรี้ยว จะเปรี้ยวอย่างไรก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ มันเหลือวิสัยของมนุษย์ผู้ปลูกต้นไม้ที่จะกำหนดสิ่งเหล่านี้ได้

ฉะนั้นเราต้องดูเรื่องราวต่างๆ ว่าส่วนไหนเป็นเรื่องของเรา ส่วนไหนเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ โดย #ไม่ตกเป็นเหยื่อของประสบการณ์

พระอาจารย์ชยสาโร







“หมั่นสวดมนต์ พูดแต่สิ่งที่ดี ที่เป็นมงคล
ไม่นินทาว่าร้าย ไม่พูดสิ่งที่เป็นอัปมงคล
ถ้าทำเช่นนี้ บ้านนั้นก็จะมีแต่ความเป็นมงคล”

ท่านพ่อลี ธัมมธโร






"ถ้าอะไร เราไม่ได้ทำไว้
อยากได้ มันก็ไม่ได้
ถ้าได้ทำไว้แล้ว สร้างไว้แล้ว
ไม่อยากได้ มันก็ได้
นี่แหละทานบารมี"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







“ไปเถอะ ไปถือศีลภาวนา มันเป็นเรื่องดี
คนบางคนอยู่วัดนาน เข้าวัดนาน จนยึดว่าวัด
เป็นของเขา ของวัดเป็นของเขา พระในวัด
ก็เป็นพระของเขา อยู่จนชิน ชินบาปชินกรรม”

หลวงปู่หา สุภโร








#ปกติหลวงปู่จะนั่งสมาธิทุกวัน

วันหนึ่ง หลวงปู่ก็นั่งสมาธิจนเกือบจะตีหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนเสียงระเบิดดังตึ้ม เห็นแสงวูบขึ้นไปสูงกว่าตึก สว. ห้าชั้น วูบขึ้นไปสว่างจ้า

จิตของเราก็จดจ้องไป ก็เห็นคนสองคนยืนเคียงคู่กัน ตรงไปไฟวูบขึ้นไป แล้วคนสองคนก็ขยายตัวออก ยืนเคียงไหล่กัน สูงขึ้นไปเท่ากับตึก สว ไฟก็พุ่งออกตามร่างกาย ลามไปตามเนื้อตามตัว


#หลวงปู่คิดสงสารก็เลยถามไปว่า #กรรมอะไรจึงได้มาเป็นอย่างนี้


เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า ในอดีตชาติ เขาเป็นทายกวัด ในคราวที่วัดบวรสร้างโบสถ์ใหม่ ๆ เขาไปสั่งกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ เขาตีราคากันแผ่นละ ๑๒ บาท ทางวัดจ่าย ๑๒ บาท แต่เขาเอาไปจ่ายค่ากระเบื้อง ๖ บาท อีก ๖ บาทแบ่งกันใช้สองคน


หลวงปู่จึงว่า โอ เป็นแบบนี้มันแก้กันไม่ได้หรอก ก็ต้องใช้กรรมไป เขาก็ร้องไห้ครวญครางอยู่ที่วัดบวรนี่ล่ะ


#หลวงปู่จึงมาพิจารณาเอาของสงฆ์มานี่มันบาปจริง

อย่างที่คนโบราณเขาพูด ไม่ใช่ว่าเขาพูดหลอกหลวง มันบาปจริง ๆ เป็นเปรตจริง ๆ สองร้อยกว่าปีมาแล้วยังเป็นเปรตอยู่เลย

#เพราะฉะนั้นให้พวกเราเข้าใจว่าบาปมีอยู่จริง

ไม่ใช่มีแต่บุญนะ บุญมีจริง บาปก็มีจริง สิ่งไหนที่ไม่ถูกต้องก็คือสิ่งที่ผิดศีลห้า

พวกเราอุบาสกอุบาสิกาผู้ถือศีลห้าศีลแปด ก็คือผู้ปลดเปลื้องจากการกระทำความชั่ว สิ่งไหนที่เป็นของดี เราก็ปฏิบัติ


เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ ก็ไม่เป็นบาปเป็นกรรม สิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรม ก็มาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง

#เมื่อเป็นบาปเป็นกรรมแล้วมันก็แก้กันไม่ได้

อย่างนี้ล่ะ อยู่เป็นเปรตมาเป็นร้อยปี ที่เป็นหมื่นปีพันปีก็มี

พวกเราเมื่อรู้แล้วก็ให้มีความเกรงกลัวละอายต่อบาป มีหิริโอตตัปปะ ให้เกรงกลัวต่อความชั่วทั้งปวงในจิตในใจตลอดไป

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ไม #อินทสิริ









" ...เหตุนี้หละพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงห้ามไว้ ภิกษุทั้งหลาย #อย่าพึงเสพสองฝั่ง คือ #ความรักและความชัง นี่หละ #มันเป็นทุกข์

เมื่อบุคคลห้ามทั้งสองฝั่งแล้วมันก็เดินมัชฌิมาคือท่ามกลาง เหมือนเราเดินไปกลางทาง ไม่แวะเข้าข้างนั้น ไม่แวะเข้าข้างนี้ หากแวะเข้าข้างนั้นก็เป็นทุกข์ แวะเข้าข้างนี้ก็เป็นทุกข์ เหมือนกับมีทางไปท่ามกลาง สองข้างเป็นป่า เหมือนกับเรานั่งรถไปตามถนน ทั้งสองข้างมองข้างไหนก็ตกตายทั้งนั้น ข้างซ้ายตกถนนก็ตาย ข้างขวาตกถนนก็ตาย อุปมายังงั้น

นี่ก็เหมือนกัน #ใจของเราแวะออกไปข้างรักมันก็เป็นทุกข์ แวะออกไปข้างชังมันก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องแวะออกไปไหน #ก็ต้องนิ่งอยู่แห่งเดียวภายใน

ทำดวงใจให้รู้ไว้ ให้รู้เท่าสังขารไว้ ให้รู้เท่าวิญญาณไว้ ให้รู้เท่าสมมติของเราไว้
เราไปนึกระลึกเอา ถ้าเราไม่ไปนึกระลึกเอาแล้วมันก็ไม่มี ..."

พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๗
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร

พระธรรมเทศนาแสดงที่วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี พศ ๒๕๐๘ ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์

ถอดจากเทป อวย เกตุสิงห์ เรียบเรียง
คัดจากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เมื่อ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๑
พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น









"เพราะเรามีสติ เราจึงเห็น
ข้อบกพร่องของเรา"

"ผู้ที่จะเร่งรัด
ให้ถึงมรรคถึงผลจริงๆ
สติกับจิต นี่ ไม่จากกันละ"

โอวาทธรรม
หลวงตาพระมหาบัว
ญาณสัมปันโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร