วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 03:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2020, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“อดข้าวแก้กิเลส”

...เวลาอดอาหาร ก็จะเกิดความ ทุกข์ขึ้นมาคือ ความหิว ก็ต้องภาวนาเท่านั้น พอจิตสงบ ความหิวก็จะหายไป ออกมาเดินจงกรมได้สบาย พอเดินไปได้สักระยะหนึ่งกําลังของสมาธิก็จะหมดไป ความคิดปรุงแต่งก็จะคิดถึงอาหารอีก แล้วก็ต้องกลับ ไปนั่งสมาธิใหม่ พอจิตสงบ ความหิวก็หายไปอีก พอนั่งแล้วเมื่อยก็ลุกขึ้นมาเดินจงกรมต่อ
ทําอย่างน้ี สลับกันไปท้ังวันทั้งคืน ก็เลยได้ภาวนาอย่างต่อเนื่อง

.”จิตถูกควบคุม ด้วยสติด้วยปัญญาอยู่ตลอดเวลา”

.บางทีก็ต้องพิจารณาความเป็น ปฏิกูลของอาหาร เวลาคิดถึงอาหารท่ีอยู่ในจาน ก็ต้องนึกถึงอาหารที่อยู่ในปาก อยู่ในท้อง เวลาออกมาจากร่างกาย ก็จะหยุดความคิดปรุงแต่งเรื่องอาหารได้เป็นพักๆ พอคิดถึง อาหารชนิดนั้นชนิดนี้ปั๊บ ก็ต้อง นึกถึงเวลาอยู่ในปาก อยู่ในท้อง และเวลาออกมาจากร่างกาย แล้วความอยากท่ีจะรับประทานอาหาร ก็จะหายไป.
........................................
มหาเศรษฐีที่แท้จริง
หน้า 96-97
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








"จะแต่งงานกัน ก็ให้รู้จักความรักนะ
เวลาจะแต่งงานนี้ คือ ความรัก
ความรัก ทำให้เราแต่งงาน
ไม่ใช่ความเกลียดความชัง
พาให้เรามาแต่งงาน

ให้รักษาความรักนี้ไว้ให้ดี
ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน อย่าพลิกแพลง
พาหญิงพาชายกาฝาก มาไว้ในตัวของเรา

เมียก็ได้ผัวกาฝาก ผัวก็ได้เมียกาฝาก
กัดกันอยู่ในบ้านเรือนเรา ยิ่งกว่าหมา
อย่าให้เป็นอย่างนั้นนะ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน









“เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอาส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคนมีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยวค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคยมองแต่ดี มีคุณจริง”

ท่านพุทธทาสภิกขุ










"การเพ่งโทษตนเองนั้น
เป็นการฝึกตนเองอย่างหนึ่ง
ที่จักเกิดผลจริง การเพ่งโทษผู้อื่น
เป็นวิสัยของผู้ไม่ใช่บัณฑิต

ผู้ที่เพ่งแต่โทษผู้อื่น ไม่เพ่งโทษตนเอง
ย่อมไม่เห็นโทษของตนเองย่อมไม่เห็น
ความบกพร่องที่จะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น
ย่อมไม่รู้ว่ามีโทษเพียงไร ในแง่ใด
ไม่มีโอกาสจะแก้ไขตนเอง"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ











#ธรรมะหลวงปู่มั่น

หันมาปรารภต่อไปว่า ในยุคบ้านหนองผือในวาระผู้เขียนไปอยู่ด้วยกับองค์ท่าน ได้ยินองค์ท่านยืนยันว่าองค์ท่านเป็นพระอรหันต์หรือไม่..

ตอบได้อย่างผึ่งผายว่า องค์ท่านมิได้ยืนยันว่าองค์ท่านเป็นพระอรหันต์หรือปุถุชนใด ๆ เลย ชะรอยผู้เขียนจะไม่รู้จักอิโหน่อิเหน่แล้วองค์ท่านจะไม่เล่าคำลับให้ฟังก็อาจเป็นได้ หรือเกรงว่าผู้ฟังประมาทและไม่เชื่อก็อาจเป็นโทษแก่เขาก็อาจเป็นได้ องค์ท่านจึงไม่เล่าให้ฟัง

ส่วนธรรมะขององค์ท่านแสดง บางคราวเป็นธรรมชั้นสูงมากเป็นต้นว่า

#ไม่ว่าธรรมส่วนใด
#ถ้าสำคัญตนว่าเสวย
#เป็นอันผิดทั้งนั้น

ข้อนี้ประทับใจของข้าพเจ้ามาก ในเวลาที่องค์ท่านเทศน์อย่างนี้ พระอาจารย์มหาบัวก็ฟังอยู่ที่นั้นด้วย มีพระสองสามองค์นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ไม่มีพระอาคันตุกะมาปน แต่แปลกอยู่ว่า ชีวประวัติของหลวงปู่มั่นได้พิมพ์มาหลาย ๆ ครั้ง ตรวจดูแล้วไม่เห็นธรรมข้อนี้ปนอยู่เลย ชะรอยต่างองค์ก็ต่างจำมาได้คนละบทคนละบาทอันสำคัญ

มุตโตทัยตีพิมพ์ฉบับต้น คราวถวายเพลิงของหลวงปู่มั่น ธรรมชั้นสูงในเล่มนั้นกล่าวว่า

#ถ้าไม่มีที่อยู่
#ก็ไปอยู่ที่สูญสูญนั้น

ใจความในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับภาพพจน์ข้อนี้ นี้เป็นธรรมชั้นสูงในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด เหตุผลที่จะไปอยู่ที่สูญสูญนั้น หนังสือเล่มนั้นอธิบายว่า

#ถ้าจะว่าสูญไม่มีค่า #ก็ไม่ได้

เพราะไปบวกกับเลขหนึ่ง ก็สิบ ร้อย พัน หมื่น แสนล้าน

ดังนี้ เป็นมติของผู้เขียนคืออาจารย์มหาเส็งและอาจารย์ทองคำ ในยุคนั้นพระอาจารย์มหาบัวกำลังรักวิเวก เที่ยวปฏิบัติโชกโชนอยู่ ไม่สุงสิงในการเขียนหนังสือ

ข้าพเจ้าพิจารณาอยู่แต่ไร ๆ ว่าเหตุที่สูญจะเป็นของมีค่า ก็เพราะมีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ถ้าไม่มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้ว สูญก็กลายเป็นโมฆะไปตามสภาพที่สมมุติ

ไม่ว่าแต่สูญเลย ขี้เป็ดขี้ไก่ก็ดี ถ้ามีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้ว ย่อมเป็นของมีค่าทั้งนั้น ซื้อขายเอาไปใส่ผักก็ได้ ใครลักก็เป็นอทินนาทาน

แต่พระนิพพานไม่เป็นหน้าที่จะแล่นไป หรือเดินไปอยู่ที่สูญสูญ ถ้าอย่างนั้น สูญก็เป็นสรณังคัจฉามิของพระนิพพาน

พระบรมศาสดากล่าวไว้เพียงแต่ว่า เปลวไฟอันกำลังลมเป่า เมื่อเปลวไฟดับไปแล้วไม่เป็นหน้าที่จะไปยืนยัน และสมมุติว่าไปตั้งอยู่ที่นั้นที่นี้ หรืออะไร ๆ ทั้งนั้น

#ความขัดแย้งแห่งสงครามความเห็น

ถ้าความเห็นออกนอกรีตนอกรอย เป็นอัตโนมติของผู้ยังมีกิเลสหนา ไม่เหมือนอัตโนมติของพระอริยเจ้า ที่มัดเข้าหาธรรมฝ่ายอริยะเป็นบรรทัด เป็นแว่น เป็นคระจกเงา เป็นกล้องจุลทรรศน์ เป็นเครื่องวัดเครื่องตวงอันไม่เลยเถิด

ปราศจากเดาด้นคาดคะเน พร้อมทั้งมีสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไกลจากโลกิยวิสัยไปแล้ว จะดึงลงมาเทียบกับโลโก โลกา โลเกเร โลกึง โลมึง โลกู ย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งอดีตอนาคต ปัจจุบันด้วย

ชีวประวัติของหลวงปู่มั่นก็ดี ของท่านองค์ใด ๆ ก็ดี จะแต่งจะเขียนพิสดารหรือย่อก็ตามที ถ้าแก่นเรื่องของธรรมะ ยอดเรื่องของธรรมะชั้นสูงไม่สมเหตุสมผลแล้ว ปราชญ์ผู้อ่านผู้ฟังก็ไม่ถึงใจถึงธรรมเท่าที่ควร ไม่ชวนอยากอ่านไม่ชวนอยากฟังด้วย มิหนำซ้ำถูกวิจารณ์ว่าไม่สมชื่อลือชาปรากฏว่าโด่งดังอะไรกันในทางที่ชอบแท้ของธรรมะ

เมื่อผู้เขียนมิใช่เจ้าตัวเขียนเอง ย่อมตีความหมายลงมาหาตัวของผู้เขียน เพราะเข้าใจอย่างนั้น ชัดอย่างนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องอจินตับอจินไตยเหลือวิสัยจะผูกขาด

ชีวิตของหลวงปู่มั่นในยุควัดป่าหนองผือ พรรณานิคม จังหวัดสกลนครเป็นยุคสุดท้ายของชีวิตองค์ท่าน และสุดท้ายธรรมะชั้นสูงแห่งองค์ท่านอีกด้วย

ธรรมะขององค์ท่านส่วนอื่น ๆ อเนกปริยายก็ตาม ตลอดข้อวัตรปฏิบัติอันเด็ดเดี่ยว ที่ทำ(เพื่อ)ส่วนตัวองค์ท่านก็ตาม (หรือ)เพื่อทอดสะพานให้อนุชนรุ่นหลังก็ตาม ย่อมเป็นเมืองขึ้นของคำที่องค์ท่านเทศน์ว่า

“ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญตนว่าเสวย เป็นอันผิดทั้งนั้น”

เมื่อกล่าวว่า ธรรมส่วนใด ก็เป็นอันกล่าวถึง จิตส่วนใด อยู่ในตัว ผู้รู้ส่วนใด อยู่ในตัวอีกด้วย ญาณส่วนใด อยู่ในตัวอีกด้วย ส่อแสดงให้เห็นว่าทำลายอุปาทานในตัวแล้ว

ย้อนมาปรารภสับสนปนเปกันไปอีก เพราะนึกเห็นได้ จำได้อันใด ก็เขียนกันลงไป ไม่ต่ออนุสนธิเป็นระเบียบ สับสนอลหม่าน เพราะไม่ชำนาญในการแต่งและการเขียน และก็คงไม่ได้ไปตรวจเอาคะแนนในสนามโลกใด ๆ ทั้งสิ้นเลย

#หลวงปู่หล้า #เขมปัตโต









" กลัวแต่คนอื่นจะเห็น
ตับไตไส้พุงของตัวเอง

แต่ตัวเองไม่สนใจตับไต
ไส้พุง และจิตใจของตัว
ว่ามันมีอะไรอยู่ภายในนั้น

มัวเพลินดู เพลินฝัน
เพลินคิดแต่เรื่องของคนอื่น

กลัวว่าเขาจะมาเห็น
ตับไต ไส้พุงของเรา

คิดส่งออกไปภายนอก
ไม่สนใจคิดเข้ามาภายใน

นักปฏิบัติเรา ไม่สนใจ
ดูกายดูใจของตัวเอง
จะหาความฉลาดรอบรู้
มาจากไหน.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต








" นับอสงไขย​ไม่ได้​
นับล้านอสงไขย​ไม่ถ้วน
เกิดแล้วตาย​ ตายแล้วเกิด​
มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์​
มาตั้งแต่อดีต

อนิจจัง​ ทุก​ขัง​ อนัตตา​
มัน​เป็น​เรื่องของสังขาร
รู้เท่าสังขาร​ รู้เท่าสมมุติ​
วางสังขารหมด​ วางสมมุติ​หมด​

ก็โลกวิทู รู้แจ้งโลก
รู้แจ้งโลกแล้วก็รู้แจ้งธรรม
ฉะนั้น​ ไม่ให้ประมาท​
ให้ค้นอยู่ในก้อนธรรมอันนี้ล่ะ​ "

โอวาทธรรม
หลวง​ปู่​แหวน​ สุจิ​ณ​โณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2020, 09:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2020, 07:10
โพสต์: 456

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 135 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร