วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2020, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...เป้าหมายของการปฏิบัติ
ก็คือ การปล่อยวาง เพื่อ”ใจ”จะได้หลุดพ้นจาก..ความวุ่นวายต่างๆ

.“ใจไปวุ่นวายกับเขาเอง”
เขาเป็นอย่างนี้ก็อยากจะให้เขาเป็นอย่างนั้น
เขาเป็นอย่างนั้นก็อยากจะให้เขาเป็นอย่างนี้
เพราะไม่รู้ว่า..ไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้
เขาเป็นอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ไม่อยู่ภายใต้อํานาจของเรา
ที่จะไปส่ังให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้

.ถ้าอยากจะให้”ใจ”มีความสุขตลอดเวลา
“ ก็ต้องปล่อยวางทุกส่ิงทุกอย่าง”
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
..เป็นทุกข์ทั้งนั้น.
........................................
มหาเศรษฐีที่แท้จริง หน้า 219
ธรรมะบนเขา ณ เขาชีโอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี










"ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไป
ถ้าจิตใจดีขึ้น จัดว่าเป็นกำไร
และไม่ว่าจะได้อะไรมา
ถ้าจิตใจเลวลง ถือว่าเป็นการขาดทุน"

หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน








การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด

ตราบใดที่ยังเห็นว่า...จิต
คือตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น

ตราบนั้นตัณหา หรือ สมุทัยก็จะสร้างภพ
ของจิตว่างขึ้นมา ร่ำไป

ขอย้ำว่า ขั้นนี้จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง
ไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลย
ที่จงใจ หรือ ตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
มีแต่จิต เค้าปฏิบัติเอง ไปเท่านั้น

เมื่อ...จิตทรงตัว รู้ แต่ไม่คิดอะไรนั้น
บางครั้ง จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่
ภูมิรู้ของจิต แต่จิต
ไม่สำคัญมั่นหมายว่ามันคือ อะไร

เพียงแค่รู้ เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น

ในขั้นนี้เป็นการเดินวิปัสสนา
ขั้นละเอียด ที่สุด ..
ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง

การเข้าสู่มรรคผลนั้น
" รู้ " มีตลอด แต่ไม่คิดและไม่สำคัญมั่นหมาย
ในสังขารละเอียด ที่ผุดขึ้นมานั้น

เมื่อ จิตถอยออกจากอริยะมรรคและอริยะผลที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้

"สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป"

ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่
แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตน สักอณูเดียว

นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบัน
คือ ไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา

แต่ความยึดถือ ในความเป็นเรายังมีอยู่

เพราะ...ขั้นความเห็น กับ ความยึดนั้น
มันคนละขั้นกัน.

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล










" ความตายของคนเรา
อยู่ติดกับตัวทุกคน
ตลอดเวลา
อยู่แค่ปลายจมูกของเรา

ให้หมั่นประกอบ
อาชีพสุจริต เป็นคนดี
คิดดี พูดดี ทำดี
มีความกตัญญู
ทำบุญกุศลให้สม่ำเสมอ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ










#แปร๊บเดี๋ยววันคืนล่วงไปล่วงไป

แปร๊บเดียว อายุของใครขยับเข้าไป หดเข้าไป หดเข้าไป ไปสู่ปากพญามัจจุราช หมดเข้าไป หดเข้าไป

เราไม่ควรประมาทไม่ควรนอนใจ จะทำการงานอะไรก็ตามควรนึกถึงประโยชน์ที่จะเข้าสู่จิตใจของตนเอง

สิ่งที่พาให้คิดออกนอกลู่นอกทาง เอาโทษมาให้ตัวเองบ้าง เอาโทษไปให้คนอื่นบ้าง ให้สำรวมให้ระมัดระวัง ให้งดเว้น

#วันคืนล่วงไปให้ล่วงไปด้วยดำริสร้างคุณงามความดี

ตราบเรายังมีโอกาส ให้ทำคุณงามความดีให้กับตนเอง ตักเตือนตนเอง ให้กำลังใจตนเอง บ่นว่าสั่งสอนตนเอง

ร่างกายยังสบายดีอยู่ ประมาทนิ่งนอนใจ งานด้านจิตใจควรเป็นงานที่ทำต่อเนื่อง ถึงจะเป็นงานหยาบ เราก็ควรสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทำความเพียร สับเปลี่ยนหมุนเวียนทำความดีเอาไว้บ้าง

ดูอย่างหนองอ้อซิ (ชื่อตำบลของเขตวัดถ้ำเต่า) ตายไปเท่าไหร่ ตายกันทุกวัน

#แน่ใจได้ไงว่าจะได้ไปที่ดีได้ไปที่สุคติ

คุณงามความดีเรามีมากพอเท่าไหร่ มัวแต่นิ่งนอนใจ สนุกเพลิดเพลินกันไปตามเรื่อง วัยมัชฌิมวัย วัยกลางคน เป็นวัยใกล้ความตายเข้ามาแล้ว ถ้ายังไม่มีสติระลึกรู้ ยังไม่มีความอุตสาหะความเพียร

นี่ก็ไม่นานแล้ว อย่านิ่งนอนใจกัน กิเลสมันเอื้ออำนวยให้เราทุกอย่าง ให้ทุ่มเททำความพากเพียร ฝืนขัดเกลาจิตใจตนเองเอาไว้ เร่งทำ หมั่นทำความดีงามให้กับหัวใจตนเอง..

โอวาทธรรมคำสอน
#หลวงปู่บุญมี #ธัมมรโต
วัดป่าศรัทธาถวาย(วัดถ้ำเต่า) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘









"ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด #จงรู้จักตัวเอง ด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดูเมื่อเกิดสงสัย #จงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่ายๆ #อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น

เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่ #เมื่อท่านเกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง #จงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย

อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าสนใจกับระยะทางของมัน หรือกับจุดหมายปลายทาง

#ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป
#ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป #อย่าไปยึดมั่นไว้

ในที่สุด จิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง"

.... หลวงปู่ชา สุภทฺโท









#บางคนจะทำบุญแต่ละทีก็คอยแต่จะให้มีเงินมากๆเสียก่อนเลยไม่ได้ทำสักที

เห็นคนอื่นทำก็ออนซอน* กับท่าน คิดว่าเพิ่นบุญหลายหนอ คนไม่รู้จักบุญ บุญไม่ใช่อย่างนั้น

#การละความชั่วละความผิดมันก็เป็นบุญแล้ว

การรักษาศีล การเจริญภาวนา การฟังพระธรรมเทศนา ทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมา เหล่านี้ก็ทำให้เกิดบุญขึ้นได้

#แล้วคนเราสมัยนี้เข้าใจว่การทำบุญก็คือการให้ทานเท่านั้น

เพราะส่วนมาก ได้ยินพระท่านเทศน์เรื่อง ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี แต่ไม่ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจ
.
คนส่วนมากจึงมักเข้าใจกันว่า การทำบุญคือ การนำเอาสิ่งของไปถวายพระมากๆ คนยากจนก็เลยทำไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจภาษาบาลีดังที่กล่าว
.
ความจริงเรื่องการให้ทาน ท่านแบ่งไว้ ๓ ระดับ คือ การเสียสละสิ่งของภายนอก จัดเป็นทานบารมี การสละอวัยวะ จัดเป็นทานอุปบารมี การสละชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม
.
เหล่านี้ถ้าเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหา ไม่ว่าคนรวยคนจนก็สามารถทำบุญให้ทานได้ โดยเฉพาะทานที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองคือ อภัยทาน ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ และทานชนิดนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญด้วย

ดังนั้นการสร้างคุณงามความดีมีอยู่หลายอย่าง ให้พากันเข้าใจ บางคนคิดว่าการทำบุญให้ทาน ได้ผลอานิสงส์มาก ก็ทุ่มเทใส่จนหมดเนื้อหมดตัว ไม่รู้เรื่อง ส่วนคนรู้เรื่อง มีขนาดไหนก็ใช้ไปขนาดนั้น มันอยู่ที่การกระทำ

#ถ้าทำถูกมันเป็นบุญเป็นกุศลทุกอย่างนั้นแหละ

ตัวอย่างเช่น การช่วยเขาขุดบ่อน้ำริมถนน เราผ่านไปก็ได้เห็น เขาทำอะไรก็ช่วยทำ ถามว่าได้บุญไหม ตอบว่าได้ ได้อย่างไร การช่วยเขาขุดบ่อน้ำต่อไปภายหน้าเราก็ไม่ต้องซื้อน้ำ ใครผ่านมาก็ไม่ต้องซื้อกิน เพราะเป็นน้ำสาธารณะให้ความสุขแก่มนุษย์ทั่วๆไป อย่างนี้เป็นต้น
.
อย่างเราอยู่ศาลา ก็ช่วยเขาปัดกวาด เขาถอนหญ้า เราก็ช่วยเขาทำอะไรก็ช่วย ไปอาศัยบ้านเขาอยู่ก็เหมือนกัน จะเป็น ๒ วัน๓ วัน ก็ต้องช่วยเขาทำในสิ่งที่เราทำได้ นี้เรียกว่าบุญ

#บุญมันอยู่ที่ใจของเรา

บ้านไหนมีบุญเรารู้ได้ คนในบ้านรู้จักเคารพพ่อแม่ เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ทำอะไรก็มีความสุข มีความหมาย

#คนไม่รู้จักบุญก็วุ่นวายอยู่นั่น

จะทำบุญแต่ละครั้งต้องฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ไม่รู้จักเสียเลยจริงๆ บุญไม่ลำบากอย่างนั้นนะ ง่ายๆทำไปแล้วสบาย คิดขึ้นมาตอนไหนก็สบายใจ จะอยู่บ้านไหนเมืองไหนก็สบาย ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเข้าถึงธรรมะแล้วเป็นอย่างนั้น

#หลวงปู่ชา #สุภัทโท










#เจ้ากรรมนายเวรคือใจ

" .. ดวงจิตของเรานี่เองเป็นผู้ก่อกรรมก่อเวรแล้วก่อเล่า" ไม่เบื่อสักที ก็แม่นดวงจิตของเรานี่แหละ เพราะเหตุนั้นเราจึงต้องอบรมจิตของเราให้ดี ให้ใจรู้เสีย "#ใจนี่แหละมันเป็นผู้หลงจนนับภพนับชาติไม่ได้" ภพน้อยภพใหญ่เที่ยวอยู่ในสงสารจักร์นี่

จึงให้เข้าใจเสียว่า "เจ้ากรรมนายเวรคือใจ" ตัวกรรมแม่นใจ ดวงใจอันเดียว วิญญาณอันเดียวเป็นตัวกรรม "แต่งกรรมเสียแล้วให้เวียนตายเวียนเกิดที่นี่ ไม่เลิก #เรารู้จักแล้วเราต้องควบคุมใจ" แนะนำสั่งสอนใจ ทำใจของเราให้ผ่องแผ้ว ว่าเอาย่อ ๆ นี่แหละ กว้างขวางก็ได้ยินมาพอแฮงแล้ว เอาย่อ ๆ "ควบคุมใจ" เท่านั้นแหละ ..

"อนาลโยวาท"
หลวงปู่ขาว อนาลโย









#คนเรามันรักสุขเกลียดทุกข์นี่

หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจ ปล่อยผ่านไปเสีย

ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้น ก็เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่

#โอวาทธรรม
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ











" #วันนี้เราจะเล่าเรื่องที่ไปเที่ยวนรกให้ฟัง "

วันนั้นไม่คิดไม่ฝันหรอกว่าจะไปนั่นมานี่ ก็ภาวนาไปธรรมดานี่ล่ะ พอจิตเข้าสมาธิพักสงบนิ่งอยู่หน่อยนึง พอจิตมีกำลังแล้วจิตเลยออกไปเที่ยว ปรากฏว่าไปเที่ยวเห็นนรก ทีแรกก็ไม่รู้จักหรอกว่านรกเป็นแบบไหน ไปเห็นเป็นหลุมใหญ่โตมโหฬารมาก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100 เมตร ลึกมองลงไปไม่เห็นก้นหลุม มีทั้งหมด 8 หลุม มีคนยืนอยู่บริเวณนั้นมาก หน้าเศร้าหมอง แล้วก็มียมบาล คอยต้อนรับ และตอบคำถาม พอเราเข้าไปดูก็มีความสงสัยว่า นี้คืออะไร จ่ายมบาล ก็ว่านี่คือเมืองนรก เราก็เหลียวดูว่า เอ๊ะทำไมถ้าว่าเมืองนรกคือไม่ร้อน ยมบาลเลยว่าวันนี้ปิด 1 วัน

เราถามว่าปิดทำไม เขาว่าปิดคอยต้อนรับท่าน เราก็เลยว่าอ้าวหรือ ทำไมถึงรู้ว่าเราจะมา เค้าบอกว่ารู้สิ คนที่ยืนอยู่มากๆเค้ามาทำอะไร เราถาม เค้าตอบว่านั่นแหละคือนักโทษ รอรับการลงไปในหลุมนรก เราถามว่าไหนล่ะหลุมนรก เขาว่านี่ไงเค้าชี้บอก หลุมที่ไหนมีแต่บ่อร้าง น้ำร้อนก็ไม่มี ไฟนรกก็ไม่ติดเราว่า เขาบอกมี เขาว่าพอเปิดทำการ น้ำร้อนก็มาไฟก็ติดเอง สัตว์นรกก็ต้องลงไป ตัวไหนไม่ไปผมจะเอาหอกแหลมแทง เราว่าไม่กลัวบาปกรรมหรือ กรรมชั่วเขาผลักดันไปเอง เขาว่าไม่กลัวหรอก เป็นกรรมของเขา ในหลุมนรกเรามองดูปากหลุมแต่ละหลุม ดำเมี่ยมระยิบระยับ เพราะโดนไฟไหม้ สัตว์ที่ยืนอยู่ตรงนี้ จะต้องลงไปชดใช้กรรมทุกตัว ไม่ว่าหญิงหรือชาย พระหรือเณร มีมากมายก่ายกอง สุดลูกหูลูกตา ไม่มีใครยิ้มแย้มแจ่มใสเลย จ่ายมบาลพาเดินเลาะดูจนเป็นที่พอใจหายสงสัย เส้นมานรกนี้เตียนโล่ง ทางนี้เป็นมันวาว เพราะสัตว์นรกมามากต่อมาก วันหนึ่งๆเป็นล้านๆตัว เขาบอก จากนั้นเลยถามว่า สวรรค์ล่ะ ไปทางไหน เขาชี้บอกเดินตรงไป เราเดินไปดูทางรกมาก แต่ก็มีคนไปอยู่ สมมุติมานรกวันละล้านคน ไปสวรรค์แค่ 10 คนต่อวัน ทางเดินเลยรก เขาบอก แต่เราเลยว่า วันหลังจะมาใหม่วันนี้เหนื่อยมาก ต่อจากนั้นเลยออกจากสมาธิ มาดูเวลาที่ท่องเที่ยวเมืองนรก ตั้งแต่ 3 ทุ่มไปถึงตี 3 กินเวลาไป 6 ชั่วโมงเต็มๆ ไปดูทุกซอกทุกมุม สงสัยอะไรก็ถามเขา " เขาว่าปิดนรก พาอาจารย์เที่ยว " เขาดีใจมากที่เราเห็น ลงไปไฟนรกก็ดับชั่วคราว พอสัตว์ได้หยุดหายใจ ชั่วขณะก็ยังดี
แต่สวรรค์ มีคนไปน้อย เขาคงคิดว่ามันไม่สนุกเหมือนเมืองนรก เขาจึงหลั่งไหลไปกันมาก เเทบหม้อนรกจะระเบิด ถ้าเป็นแบบนี้นานไป จ่ายมบาล ต้องเปลี่ยนหม้อนรกใหม่แน่นอน คิดดูก็สลดใจมาก

ชิตมาโร ภิกขุ
หลวงพ่อ " สมเกียรติ ชิตมาโร " วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิต
ต.ตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร