วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 07:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2020, 06:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"...ไปหล่อพระมาได้ธรรมะไหม หล่อหลวงปู่มั่น ก็เกิดจากการหล่อหลอมนี่แหละ เหมือนทองคำเป็นแท่งทองกะบ่มีคนกราบ พอมาหล่อมาหลอมผ่านความร้อนเป็นองค์พระขึ้นมา แล้วคนมากราบ กราบก็ได้บุญ คนเหมือนกันถ้าถูกหล่อหลอมผ่านร้อนผ่านหนาว คุณงามความดีที่ทำมา คนก็มากราบกราบก็ได้บุญ เอากลับไปทำเอาไปหล่อไปหลอมเจ้าของให้เป็นพระ.."

หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร










“อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้
เพราะฉะนั้น ควรปล่อยวาง
ไม่ควรเก็บไว้ให้ใจทุกข์เปล่าๆ

อนาคตก็ยังไม่มาถึง
ไม่ควรคาดเดา หรือจินตนาการ
ไปให้จิตฟุ้งซ่าน ซึ่งเมื่อจิตฟุ้งซ่านแล้ว
ก็จะเกิดความทุกข์ได้เหมือนกัน

จงอยู่ในปัจจุบัน
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
อนาคตย่อมจะดีตามมา”

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน












#พากันมาฟังความเสื่อมฉิบหายของโลกต่อไป

"โลก" คือ ความเสื่อม อันจะต้องถึงแก่ความฉิบหายในวันหนึ่งข้างหน้า เขาจึงเรียกว่าโลก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว คำว่า "โลก" ก็จะไม่มี

โลกเกิดจากวัตถุอันหนึ่ง ซึ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ อันเกิดจากฟองมหาสมุทรที่กระทบกัน แล้วกลายเป็นก้อนเล็ก ๆ ขึ้นก่อน

จะเรียกว่าอะไร ก็เรียกไม่ถูก เรียกว่า ธาตุอันหนึ่งก็แล้วกัน คือหมายถึงวัตถุธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เป็นเอง แล้วค่อยขยายกว้างใหญ่ไพศาลจรดขอบเขตแม่น้ำและมหาสมุทรทั้งสี่ โดยมีจักรวาลเป็นขอบเขต แล้วค่อยปริออกเป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ แปรสภาพเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ กัน มีอวัยวะครบบริบูรณ์ แล้วมีจิตวิญญาณซึ่งคุ้นเคยเป็นกันเอง เข้ามาครอบครอง ทำหน้าที่บังคับบัญชาธาตุนั้น ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุของโลก ซึ่งเราเรียกกันว่า "คน" นั่นเอง

#แต่ละคนหรือตัวตนที่สมมติว่าคนนี้ #ก็ต้องเสื่อมสลายไปในวันหนึ่งข้างหน้าเช่นเดียวกัน

แม้ในเดี๋ยวนี้ คนหรือที่เรียกว่ามนุษย์สัตว์โลกหรือมนุษย์โลกก็กำลังเสื่อมไปอยู่ทุก ๆ วัน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เมื่อพระองค์ทรงสำเร็จโพธิญาณใหม่ ๆ ว่า

มนุษย์ชาวโลกนี้มีอายุประมาณ 100 ปี ระยะเวลาผ่านไป 100 ปี อายุคนจะลดน้อยถอยลงมาปีหนึ่ง ปัจจุบันนี้พระพุทธองค์นิพพานไปได้ประมาณ 2,500 ปีแล้ว อายุของมนุษย์จะเสื่อมลงคงเหลือประมาณ 75 ปี

ถ้าคำนวณตามแบบนี้ อายุของมนุษย์ก็จะเสื่อมเร็วนักหนา อายุของมนุษย์จะเสื่อมลงไปอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือ 10 ปีก็มีครอบครัว เป็นผัวเมียสืบพันธุ์กัน

#แม้สัตว์เดรัจฉานอื่นๆก็เสื่อมลงโดยลำดับเช่นเดียวกับมนุษย์

ดินฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลงปรวนแปรเป็นไปต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดกลียุคฆ่าฟันกันตายเป็นหมู่ ๆ เหล่า ๆ สัตว์ตัวใหญ่ที่มีอิทธิพลก็ทำลายสัตว์ตัวน้อย ให้ล้มตายหายสูญเป็นอันมาก

มนุษย์จะกลายเป็นคนไม่มีพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติวงศ์ซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นหน้ากันและกัน ก็จับไม้ค้อนก้อนดินขึ้นมา กลายเป็นศาสตราวุธ ประหัตประหารฆ่ากันตายเป็นหมู่ ๆ เรื่องศีลธรรมไม่ต้องพูดถึงเลย

แม่น้ำลำคลอง ห้วย หนอง คลอง บึง ก็เหือดแห้งเป็นตอน ๆ ฝนไม่ตกเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ปี มีแต่เสียงฟ้าร้องครืน ๆ แต่ไม่มีฝนตก

เมื่อเป็นเช่นนั้น น้ำในทะเลอันใหญ่โตกว้างขวางและลึกจนประมาณมิได้ก็เหือดแห้งกลายเป็นทะเลทราย ปลาตัวหนึ่ง ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกมีชื่อว่า "ติมิงคละ" ก็นอนตายอยู่บนกองทราย และโดยอำนาจของแดดเผาผลาญ ทำให้ปลาตัวนั้น มีน้ำไหลออกบังเกิดเป็นไฟลุกท่วมท้น ทำให้มนุษย์โลกทั้งหลายฉิบหายเป็นจุณวิจุณ

#เขาเรียกว่าไฟบรรลัยโลก

โลกนี้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นอัชฌัตตากาศอันว่างเปล่า สัตว์ที่มีวิญญาณก็จะขึ้นไปเกิดในภพของพรหมชั้นอาภัสสระ ซึ่งไฟนั้นไหม้ไม่ถึง

ในหนังสือ ไตรโลกวิตถาร ท่านกล่าวว่า โลกนี้ทั้งหมดจะต้องฉิบหายโดยอาการ 3 อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ 3 ประการนี้เป็นเหตุ

สัตว์หนาไปด้วยราคะ โลกนี้จะต้องฉิบหายด้วยน้ำ
สัตว์หนาไปด้วยโทสะ โลกก็จะต้องฉิบหายด้วยไฟ
สัตว์หนาไปด้วยโมหะ โลกจะต้องฉิบหายด้วยลม

#โลกจะต้องฉิบหายด้วยการบรรลัยโลกกันอยู่อย่างนี้

ในระหว่างกัลป์ใหญ่ ๆ ไฟบรรลัยโลกเล็ก ๆ ที่เกิดในระหว่างกัลป์ใหญ่ ๆ นี้ มีปัญหาน่าพิจารณา น้ำราคะอันมีอยู่ในมนุษย์ชาวโลกแต่ละคนมีอยู่น้อยนิดเดียว ทำไมท่านแสดงว่าสามารถท่วมโลกได้จนเป็นน้ำบรรลัยโลก โทสะและโมหะก็เหมือนกัน อยู่ในตัวมนุษย์โลกซึ่งมองไม่เห็น ทำไมจึงแสดงฤทธิ์ใหญ่โตจนไหม้โลกและพัดเอาโลกจนฉิบหาย ขอนักปราชญ์เจ้าจงใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ เห็นจะไม่ท่วมโลกและเผาโลกให้ฉิบหายเป็นกัปป์เป็นกัลป์ดังว่านั้นก็ได้ พวกเราชาวโลกผู้มีน้ำและไฟหรือลมอยู่ในตัวนิดหน่อยนี้คงจะมองเห็นฤทธิ์เดช เรื่องของทั้ง 3 นี้ ว่ามีฤทธิ์เดชเพียงใด

ราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในสิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวงมีผัวเมียเป็นต้น มันท่วมท้นอยู่ในอกโดยความรักใคร่อันหาประมาณมิได้
โทสะ คือ ไฟกองเล็ก ๆ นี้ก็เหมือนกัน มันไหม้เผาผลาญสัตว์มนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
โมหะ ก็เช่นเดียวกัน มันพัดเอาฝุ่นละอองกิเลสภายนอกและภายในมาท่วมทับหัวอกของคนจนมืดมิด ให้เข้าใจว่า สิ่งที่ผิดเป็นถูก

ของ 3 อย่างนี้มีฤทธิ์มีเดชมหาศาลสามารถทำลายโลกให้เป็นกัปป์กัลป์ได้ แต่ละกัปป์นั้นท่านถึงไม่ได้แสดงมีอายุเวียนมาสักเท่าไร เป็นแต่แสดงว่ากัปป์เล็กในระหว่างกัปป์ใหญ่ เห็นจะเพราะน้ำราคะ ไฟโทสะ ลมโมหะ เพียงแต่พูดเปรย ๆ เพื่อให้นักปราชญ์ผู้มีปรีชาเอามาคิด เพื่อไม่ให้หลงผิด ๆ ถูก ๆ รู้จักชัดแจ้งโดยใจตัวเอง ชัดแจ้งด้วยใจของตนแล้วนำมาพิจารณาเฉพาะตน ๆ ..."

แหล่งที่มา : หนังสือ เทสรังสีอนุสรณาลัย พิมพ์แจกจ่ายเป็นธรรมวิทยาทาน และเป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ณ เมรุพิเศษวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย










#พอเดี๋ยวนี้_ก็รวยเดี๋ยวนี้

มีข้าวกินมีดินอยู่ มันก็พอมันก็รวย
จนอยู่ที่อยาก รวยอยู่ที่พอ
ไม่อยากก็ไม่ยาก ไม่ยากก็ไม่จน
ยิ่งอดยิ่งอยาก ยิ่งยากก็ยิ่งจน

คุณพอใจในทรัพย์ที่มีอยู่ คุณก็รวย คุณพอเดี๋ยวนี้ คุณก็รวยเดี๋ยวนี้ คุณพอพรุ่งนี้ คุณก็รวยพรุ่งนี้

พวกเรามาอาศัยโลก อาศัยธรรมชาติ เรามาอาศัยเขาอยู่ชั่วครั้ง ชั่วคราว แล้วก็มาตู่ว่าเป็นของเรา เป็นสมบัติของเรา

#ลืมจนลืมตาย

พอตายก็ต้องคืนเขา คืนให้โลก คืนให้ธรรมชาติ คืนเจ้าของเดิม เจ้าของที่แท้จริง

ไปดิ้นรนไปขนขวาย สาวเอาสาวเอา ก็ว่าตนมั่งตนมี ไปอวดมั่งอวดมีกับทรัพย์ของเขา มีนี่ก็จะเอานั้น มีนั้นก็จะเอาโน้น ไม่รู้จักพอ ก็เลยมีแต่อยาก ไม่รู้จักรวย

#ให้รู้จักพอ
#พอเมื่อไหร่คุณก็รวยเมื่อนั้น
#เข้าใจนะ

พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร)
หรือ หลวงปู่ไดโนเสาร์
วัดสักกะวัน(ภูกุ้มข้าว) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์












.... สมมุติ กับ วิมุตติ มันก็มานำกัน
เมื่อวางสมมติออกได้แล้ว จิตก็วิมุตติ จิตก็หลุดพ้น
ถ้ามีสมมุติอยู่ มีเขา มีเราอยู่ มีดี มีชั่ว ก็ยังอยู่ในสมมุติ
ถ้าเลยดี เลยชั่ว ไม่มีดี ไม่มีชั่ว มันก็หลุดพ้นจากสมมุติ
สมมุติกันเอาเองว่ามันดี สมมุติกันเอาเอง ว่ามันชั่ว
ถ้าดีมาก็ถูกใจ ถ้าไม่ดีมาก็เสียใจ อยู่แค่นี้แหละ
สมมุติทำให้ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ
ถ้าวิมุตติแล้วไม่โศกเศร้า โศกาอะไรเลย
วางเฉยได้ อะไรดีก็ไม่มี อะไรชั่วก็ไม่มี
ไม่มีดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ ไม่มีภาคภูมิใจอะไรเลย
เหมือนขอนไม้ที่ตายแล้ว มันไม่ทุกข์ร้อนกับอะไร ทั้งนั้น..

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร