วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2021, 05:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...ถ้าทำบุญทุกวัน
รับรองได้ว่า..ตายไปนี้
“ไม่ต้องมารอรับส่วนบุญ ของผู้อื่น”

.ผู้ที่มารอรับส่วนบุญนี้
เป็นพวกที่ทำบุญน้อย
หรือ ไม่ทำเลย

.บางพวกก็ไม่ยอมทำบุญเลย
วันเกิดก็ไม่ทำ วันพระ
วันปีใหม่ก็ไม่ทำ
วันอะไรก็ไม่ทำทั้งนั้น

.เอาเงินไปกิน ไปดื่ม
ไปเที่ยว ไปเล่นกันดีกว่า
สนุกกว่า สบายกว่า..

.”พวกนี้แหละ..เป็นพวกที่จะต้อง
มาคอยรับส่วนบุญ”.

.........................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี









ถ้าเอาคนที่ไม่ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน มาแสดงธรรมก็ขายไม่ออก คนฟังแล้วก็ไม่เกิดฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฟังแล้วไม่มีใครอยากจะออกบวช ออกปฏิบัติกัน เพราะว่าไม่รู้ว่าออกไปแล้ว บวชไปแล้ว จะได้อะไรกลับคืนมานั่นเอง ถ้าบวชไปแล้วปฏิบัติไปแล้วสูญหายนี้ใครอยากจะไปปฏิบัติกันบ้าง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง เขาบอก พอถึงนิพพานเมื่อไหร่ก็สูญเมื่อนั้นนะ หมดตัวเมื่อนั้นหายหมด หายหมดแล้วใครอยากจะไปปฏิบัติให้เหนื่อยให้ยากทำไม นี่คือพวกตาบอดคลำช้าง ตาบอด ๕ คนนี้ไปคลำช้างตัวเดียวกัน แต่มาเถียงกันปากเปียกปากฉีกว่าช้างเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พวกที่ไปจับหางก็ว่าช้างเป็นเหมือนเชือก ผู้ไปจับท้องก็ว่าเหมือนผนัง เหมือนกำแพง ผู้ที่ไปจับงาก็บอกว่าเป็นเหมือนหอก พวกที่ไปจับงวงก็ว่าเป็นเหมือนงู แล้วก็เถียงกันปากเปียกปากฉีก ว่าเป็นงู เป็นเชือก เป็นกำแพง เป็นหอก มันก็ถูกทุกคนแต่ไม่ถูกหมดเพราะมันเห็นเพียงบางส่วน เหมือนกับพวกที่บอกว่าปฏฺบัติไปแล้วสูญเพราะไปเห็นว่านิพพานัง ปรมัง สุญญัง พอบรรลุพระนิพพานแล้วสูญไปทันที หายวับไปเลย

พระพุทธเจ้าตอนนี้หายวับไปเลย พระอรหันตสาวกทั้งหลายหายวับไปเลย ไม่สามารถที่จะติดต่อหรือ พูดถึงพระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้แล้ว ท่านหายไปหมด นี่ก็พูดแบบพวกตาบอดคลำช้าง พวกตาบอดคลำช้าง ก็คือพวกที่ศึกษาจากหนังสือแต่ไม่ปฏิบัติ เหมือนกับถ้าเราไปเป็นหัวหน้าทัวร์แต่เราไม่เคยไปสถานที่ ที่จะพาคนไปหรือจะบอกคนว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไรเช่นเราไม่เคยไปเมืองจีนไม่เคยไปปักกิ่ง มีแต่อ่านหนังสือเกี่ยวกับเมืองจีนเกี่ยวกับปักกิ่ง แล้วก็มาโฆษณาบอกว่า ปักกิ่งเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันก็พูดได้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง และอาจจะพูดไม่ถูกด้วย เพราะตัวเองไม่เคยไป เพราะปักกิ่ง แต่ละเดือนแต่ละเวลามันก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่นอากาศ อากาศในกรุงปักกิ่ง บางเวลาก็มีอากาศเสียเยอะ บางเวลาก็มีน้อย ถ้าไปเจอช่วงฝนตกนี้อากาศเสียมันก็หายไป ท้องฟ้าก็โปร่งใส สะอาด แต่ไปเจอช่วงที่มันไม่มีฝนตก ก็จะเจอมลพิษ เจอควันพิษเต็มไปหมด ถ้าคนไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งตลอดเวลาจะไม่รู้ความจริงของปักกิ่งว่าเป็นอย่างไร

ฉันใดผู้ที่ไม่ได้บรรลุมรรค ผล นิพพานก็จะไม่รู้รายละเอียดต่างๆ ของมรรค ผล นิพพานว่าเป็นอย่างไรบ้าง เวลาไปแนะนำคนอื่นว่ามรรค ผล นิพพานว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็จะพูดแล้วทำให้ฟังแล้วสับสน เพราะ ๕ คนก็พูดไป ๕ อย่าง ๕ แบบกัน เหมือนตาบอดคลำช้าง เพราะเข้าใจไปในคนละเเนวกัน เพราะไปอ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วก็มาสรุปเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

ดังนั้นถ้าเราอยากจะเกิดฉันทะ วิริยะ เราต้องหาผู้ที่รู้มรรค ผล นิพพาน ที่ได้มรรค ผล นิพพาน อย่างสมัยนี้ ญาติโยมก็มักจะมุ่งไปหาพระที่อยู่ตามป่าตามเขากัน ไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระที่อยู่ในบ้านอยู่ในเมือง เพราะพระที่อยู่ในบ้านในเมืองท่านก็จะเทศน์ใบลานเอาใบลานเอาหนังสือออกมากางแล้วก็อ่านให้ฟัง ฟังแล้วก็งงไม่รู้ว่าอ่านเรื่องอะไร แต่เวลาไปฟังธรรมของพระปฏิบัติ พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่อยู่ตามป่าตามเขา ท่านไม่ต้องกางหนังสือ ท่านกางหัวใจของท่านนี้ออกมา นี่พระไตรปิฎกที่แท้จริงนี้มันต้องอยู่ในหัวใจ อยู่ในใจ พระพุทธเจ้าไปอ่านพระไตรปิฎกจากที่ไหนมา ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมดที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกนี้ออกมาจากไหน มันก็ออกมาจากใจของพระพุทธเจ้า จากใจที่ได้รับการชำระด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา จนรู้แจ้งเห็นจริงของสภาวธรรมทั้งหมด ทั้งข้างนอกและข้างใน ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอริยสัจ ๔เป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่พระไตรปิฎกที่แท้จริงอยู่ในใจของผู้ปฏิบัติ

พระไตรปิฎกหนังสือที่เราอ่านนี้ มันเป็นการจารึกคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ออกมาจากพระทัยของพระพุทธเจ้า ที่ยังออกมาไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าเคยหยิบใบไม้ขึ้นมาในกำมือ แล้วถามพระภิกษุว่าใบไม้ ที่เรามีอยู่ในกำมือนี้กับใบไม้ที่อยู่ในป่านี้อันไหนจะมากกว่ากัน พระภิกษุมองก็ว่าในมือก็แค่ไม่กี่ใบนับได้ แต่ในป่านี้มากไม่สามารถที่จะนับได้ ใบไม้ในป่าก็ต้องมีมากกว่าใบไม้ในมือ ฉันใดพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่าธรรมที่เราประกาศ สอนพวกเธอนี้ก็เป็นเหมือนกับใบไม้ในกำมือนี่เอง แต่ธรรมที่เรารู้ เราเห็นที่มีอยู่ในใจของเรานี้ มันเหมือนใบไม้ในป่า หาประมาณไม่ได้ ธรรมที่เราแสดงให้พวกเธอฟังนี้พอประมาณนี้ เช่น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ไม่ได้รวมว่าเป็นธรรมทั้งหมดที่ตถาคตรู้ ตถาคตรู้ว่าธรรมเหล่านี้

ดังนั้นผู้ที่จะเอามาธรรมที่จารึกในพระไตรปิฎกมางัดข้อกับธรรมที่อยู่ในใจของผู้ปฏิบัตินั้นก็แสดงว่า ไม่รู้เรื่องนั้นเอง เช่นหลวงตาท่านเขียนประวัติของหลวงปู่มั่นว่า หลวงปู่มั่นนี้เวลาท่านเข้าสมาธิ ท่านจะมีพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตก็ดีมาแสดงธรรมมาสนทนาธรรม อันนี้คนที่อ่านพระไตรปิฎก ก็เต้นขึ้นมาทันทีเลย ในพระไตรปิฎกบอกว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี้สูญไม่สามารถที่จะติดต่อกับใครได้แล้ว นี่เพ้อเจ้อหรือเปล่า นี้แหละเป็นอย่างนั้นคนที่อ่านพระไตรปิฎกกับคนที่อ่านใจของตนเอง จะมีความรู้ความเห็นที่ไม่เหมือนกัน แต่คนที่อ่านใจของตนนั่นแหละเป็นผู้ที่อ่านความจริง คนที่อ่านพระไตรปิฎกนี้อ่านกระดาษ คนอ่านก็เป็นหนอนไชกระดาษไม่ได้รับประโยชน์ จากการอ่านหนังสือเหล่านั้น เพราะไม่นำไปปฏิบัติหนังสือนี้มีไว้เพื่อเอาไปปฏิบัติ ไม่ใช่มีเอาไว้สงวนลิขสิทธิ์ความรู้ว่าต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เพียงอย่างเดียว ใครพูดอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่มีอยู่ในหนังสือนี้แสดงว่าผิดหมด

แล้วตัวเองเป็นอย่างไร ตัวเองก็กอดหนังสือตายไปกับกองทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย กลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกไม่รู้กี่แสนกี่ล้านรอบ ก็จะไม่มีวันที่จะได้หลุดพ้นจากการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว.

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๘

“กางใจสอนทางไปนิพพาน”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต











เวลาเรารู้สึกไม่ชอบอะไรสักอย่าง ปัญหาจริง ๆ อาจไม่ได้อยู่ที่สิ่งนั้น แต่เป็นความรู้สึกไม่ชอบของเราต่างหาก พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งนั้นไม่ได้สร้างปัญหาหรือก่อความทุกข์ให้เรามากเท่ากับความรู้สึกไม่พอใจมัน

หนุ่มสาวส่วนใหญ่ไม่ชอบสิวบนใบหน้าของตน ที่จริงสิวไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้แก่เขามากมายอะไร แค่ทำให้หน้าตาไม่หมดจดเท่านั้น แต่หลายคนถึงกับเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในสหรัฐอเมริกา พบว่าร้อยละ ๑๐ ของคนเป็นสิวบอกว่า การเป็นสิวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต วัยรุ่นเป็นอันมากมีผลการเรียนตกต่ำเพราะทำใจไม่ได้ บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย

สิวนั้นไม่ทำให้ใครตายได้หรอก แต่ความรังเกียจชิงชังสิวต่างหาก ที่สามารถผลักดันให้ผู้คนปลิดชีวิตตัวเองได้

ความอ้วนก็เช่นกัน ที่จริงหญิงสาวเป็นอันมากเพียงแค่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน (ซึ่งมักเอานางแบบหรือดาราเป็นต้นแบบ) มันไม่ถึงกับสร้างปัญหาสุขภาพแก่เธอเหล่านั้น แต่เป็นเพราะรังเกียจความอ้วน จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อลดความอ้วน หลายคนหันไปพึ่งยาอันตราย ซึ่งลงท้ายด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ หญิงชาวอเมริกันผู้หนึ่ง ต้องการลดน้ำหนักของตน เธอทดลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเธอจึงไปหาซื้อพยาธิตัวตืดมากลืนลงท้อง โทษของพยาธิตัวตืดนั้นมีมากมาย อาจทำให้ถึงตายได้ อันตรายของมันนั้นมากกว่าการมีน้ำหนักเกินเสียอีก คนธรรมดาสามัญย่อมไม่อยากทำร้ายตัวเองขนาดนั้น แต่อะไรทำให้เธอตัดสินทำเช่นนั้น หากไม่ใช่ความรู้สึกรังเกียจชิงชัง “ความอ้วน”ของเธอ ที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ทำเช่นนั้น ในฮ่องกงมีคนนับพันที่ยอมกลืนพยาธิเพื่อลดความอ้วน

เวลาประสบปัญหา บ่อยครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ผู้คนเลือกใช้นั้น กลับเลวร้ายย่ำแย่กว่าตัวปัญหาเสียอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ ความรู้สึกชิงชังรังเกียจที่มีต่อปัญหานั้น ๆ เมื่อเกลียดมาก ๆ ก็ลืมตัว จนพร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อทำให้ปัญหานั้นหมดไป โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าปัญหานั้นเสียอีก บางคนเกลียดหนูในบ้านมาก ไล่อย่างไร มันก็ไม่ยอมไป แถมทำลายข้าวของหนักขึ้น ทำให้เขารังเกียจชิงชังมันยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายก็ถึงกับใช้ไฟสุมเผารังของมัน แต่ปรากฏว่าไฟลุกลามจนไหม้บ้านเขาทั้งหลัง แม้หนูจะเป็นตัวสร้างปัญหา แต่มันไม่สามารถทำลายบ้านของเขาได้เลย การใช้ไฟไล่หนูต่างหากที่ทำให้เขาสูญเสียบ้านทั้งหลัง และทั้งหมดเกิดขึ้นได้ก็เพราะ ความรังเกียจชิงชังหนูนั่นเอง

ความรังเกียจชิงชังมักทำให้เราเผลอทำสิ่งที่เกินเลย (over-react) จนได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นก่อนที่จะจัดการกับปัญหาใด ๆ ควรหันมาสำรวจตนเองเสียก่อนว่า เรามีความรังเกียจชิงชังมากไปหรือเปล่า มองให้ดีอาจพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้สร้างความทุกข์ให้แก่เรามากเท่ากับความรู้สึกลบต่อสิ่งนั้น บ่อยครั้งเพียงแค่เราลดความรู้สึกดังกล่าวลง สิ่งนั้นก็ไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไป

เสียงดังอาจไม่ใช่ปัญหามากเท่ากับความไม่ชอบเสียงนั้น ยิ่งเราไม่ชอบมัน ก็ยิ่งรำคาญเสียงนั้นมากขึ้น แต่พอวางใจเป็นกลาง ๆ เสียงนั้นก็ไม่รบกวนเราอีกต่อไป

ในทำนองเดียวกัน คนบางคนไม่ได้ก่อความทุกข์ให้เรามากเท่ากับความรังเกียจชิงชังเขา หากเกลียดเขาน้อยลง เราก็จะทนพฤติกรรมของเขาได้มากขึ้น และอาจพบว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร

ปัญหาจึงอาจไม่ได้อยู่ที่คนอื่นหรือสิ่งอื่น แต่อยู่ที่ความรู้สึกในใจของเราต่างหาก

พระไพศาล วิสาโล









อย่าผัดวันประกันพรุ่งที่จะทําดี ..

ทุกชีวิตมีเวลาจํากัด อย่างนานไม่เกินร้อยปีก็จะต้องละร่าง ละโลกน้ีไป อย่าผัดวันประกันพรุ่งที่จะทําความดีเพราะถ้าสายเกินไปเมื่อไรก็ตนเองนั่นแหละจะต้องได้เสวยผลของการไม่กระทํากรรมดี ไม่มีผู้ใดอื่นจะรับผลของความดีความชั่วที่ตนเองทําไว้ เจ้าตัวเองเท่านั้นจักเป็นผู้รับผลของความดีความชั่วที่ตนทํา
ความดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม เป็นส่ิงที่ทําได้ทุกเวลานาที แต่จะทําสองอย่างไปพร้อมกันไม่ได้ ต้องทําทีละอย่าง จึงต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทําอย่างไหน จะทําความดีหรือจะทําความชั่ว อย่ามีใจอ่อนแอโลเล เพราะจะทําให้แพ้ต่ออํานาจของความชั่ว จะผ่อนสั้นผ่อนยาวยอมให้ความชั่วมีอํานาจเข้ามาแย่งเอาเวลาที่ควรทําความดีไปเสียซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง จะเป็นการแสวงหาทุกข์โทษใส่ตัวอย่างไม่น่าทําเลย การนึกถึงคุณงามความดีของท่านผู้มีความดีท้ังหลาย เช่น

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการทําความดีอย่างหน่ึง เป็นหนทางหนึ่งที่จะก่อให้เกิดความกตัญญูกตเวทีได้ แม้คิดให้มากเพียงพอ จนเกิดเป็นความรู้พระคุณนั้น พุทธศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนาจะได้รับการอบรมให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ นอกจากพระคุณท้ังสามอันล้ำเลิศน้ีแล้ว พระคุณของมารดาบิดาครูอาจารย์ก็เป็นสิ่งที่ควรนํามาน้อมนึกให้ซาบซึ้งถึงใจเช่นเดียวกัน บางท่านจึงสอนให้ทําการไหว้ ๕ ครั้งแทน ๓ คร้ัง คือนอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ท่านสอนให้ไหว้มารดาบิดาครูอาจารย์ และพรหม เทพ รวมเป็นไหว้ ๕ คร้ัง การแสดงสัมมาคารวะไม่ใช่ความเสียหาย เป็นความดี ผู้มีสัมมาคารวะมากเพียงไร มีความอ่อนน้อมต่อผู้ควรอ่อนน้อมมากเพียงไร ท่านว่าเมื่อละโลกน้ีไปแล้วจักเกิดในสกุลสูง

พระนิพนธ์ ธรรมะประดับใจ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า​ กรมหลวงวชิรญาณสังวร








#จะใช้กรรมหมดได้เมื่อไหร่?

ผู้ถาม : "กรรมเวรที่มีติดตัวมาในชาตินี้ จะสามารถชดใช้ให้หมดสิ้นในชาติหนึ่งหรือไม่? ถ้าไม่สร้างกรรมเวรใหม่ และมีวิธีใดจะชดใช้ ให้หมดสิ้นไปโดยเร็วในชาติหนึ่งๆ"

หลวงพ่อ : "โอ้ ญาติโยม เรื่องกรรมเรื่องเวรเนี่ย ปัญหานี้อาตมาไม่อยากให้คิดจะดีกว่า อยากให้มุ่งสร้างความดีเลย ปฏิบัติดีไปเลย กรรมเวรที่สร้างมาทุกภพทุกชาตินี้มีมากมายก่ายกอง อย่าไปคิดถึงมัน

ครูบาอาจารย์ทุกองค์เนี่ย อาตมาถามท่าน ถ้าเราว่าจะใช้ให้มันหมดเนี่ย มันเล่นงานเราทีเดียวเลยนะโยม เล่นงานให้เจ็บป่วยเลย มันรุมใส่เลย

เหมือนเราปฏิบัติ เร่งเดินจงกรม เร่งนั่งภาวนา เร่งปฏิบัติ ขันธ์มาร ในร่างกาย ก็มีการเจ็บป่วย เป็นหวัดเป็นไอ เป็นไข้รบกวน มันไม่อยากให้เราพ้นทุกข์ นี่ก็อย่างหนึ่งมันเป็นมาร

ทีนี้ถ้าเรานึกว่ากรรมเวรทั้งหลาย ทุกชาติที่ทำมาขอจะใช้ ให้มันหมดชาตินี้ มันรุมจนโยมลุกไม่ได้แน่ อย่าไปคิดเลยเรื่องอย่างนี้ รีบพากันทำความดีไปเลย กรรมที่ไม่ดีที่มันจองเวรจองผลาญกัน ที่มันผูกเวรผูกพยาบาท หยุดเลย หยุดเลย พระพุทธเจ้าจึงสอน เวรย่อมไม่ระงับด้วยการผูกเวรเอาไว้

ก็เหมือนเราไปผิดกันโกรธกันเนี่ย แล้วก็ไปเข้าหากันเลยคุยกันให้เลิกไม่มีเวรต่อกันไปเลยดีกว่า หรือใครเป็นเวรเป็นกรรมกับพ่อกับแม่ทำไม่ดีกับพ่อกับแม่ ก็รีบเข้าไปหาเลยยอมรับผิด ลูกทำผิดลูกไม่ดี ให้อโหสิกรรมกันตั้งแต่มีชีวิตอยู่ดีที่สุด

กับเพื่อนกับฝูงเหมือนกันถ้าเราทำผิดอะไรรีบเข้าไปแก้ไขเลย ให้มันสิ้นในชาตินี้อย่าให้มันผูกต่อไปข้างหน้า มันก็หมดเวรหมดกรรมไป ทีนี้กรรมเวรแต่ชาติอดีต เราทำบุญทำกุศลทำความดีอะไรรักษาศีล ภาวนา เราอุทิศส่วนกุศลให้เขาเพื่อให้เขายอมอโหสิกรรมให้เรา

จะให้มันสิ้นหมดทุกอย่างนี่ มันไม่สิ้นนะโยมนะเพราะมันเกิดมาไม่รู้กี่โกฏิกี่ล้านชาติ สร้างทั้งความดีและความชั่ว ถ้าไม่ถึงนิพพานมันไม่หมด ถ้าใครถึงชาตินี้กรรมเวรทั้งหลายมันก็หมดเรื่องกัน ไม่มีติดตาม เหมือนกับโจร ไปปล้นเขาเอาเงินมา ไปงัดร้านทองร้านสิ่งของเขา เอาของเค้าไปแล้วไปขโมยโคกระบือไป แล้วก็ไปฆ่าคนตาย โจรคนเดียวเนี่ยนะ พอตำรวจตามแล้วก็ยิงตาย ก็ไปบอกร้านทอง ก็ไปบอกคนที่เป็นเจ้าของโค คนถูกลักสิ่งของอะไรก็มาดูมันตาย โจรมันตายแล้วจะเข้าห้องขังก็ไม่ได้ ก็หมดแล้วกลายเป็นอโหสิกรรมกันไป

ท่านเปรียบเทียบผู้ที่พ้นไป จิตทั้งหลายที่นิพพานไปกรรมจึงติดตามไม่ได้ ทำไมจึงติดตามไม่ได้? ก็มันไม่มีรูปขันธ์นี่สิ เมื่อไม่มีรูปร่างกายแล้วจะเอาอะไรไปใช้กรรม ถ้ารูปร่างกายอยู่กรรมมันจึงตามได้ ในจิตของคนที่พ้นทุกข์แล้วเนี่ย รูปร่างกายนี้ยังไม่แตกดับไป มันก็ใช้อยู่ ยังใช้กรรมอยู่

เห็นไหมหลวงปู่นั้น หลวงปู่นี้ เดี๋ยวก็เจ็บโน่นเจ็บนี่เข้าโรงพยาบาล แท้ที่จริงจิตท่านหลุดแล้ว แต่ร่างกายมันเป็นของที่รองรับกรรมทั้งหลาย อาตมาจึงไปถามหลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ อาตมาก็ศึกษา หลวงปู่ เวลาหลวงปู่จะหนีเข้านิพพานกรรมมันว่ากันยังไง?

"โอ้ยมันรุมกัน มากันไม่รู้ทางใต้ทางเหนือ มาทุกรูปแบบจะมารบกวน"

ก็จะหนีแล้วนี่ ใครก็อยากใช้ เหมือนญาติโยมเป็นหนี้เขาซัก 10 คน พอขายที่บ้านในกรุงเทพได้หลายล้านให้เจ้าของนี่มีแต่คนจะมาเอา รุมเลย เค้าก็อยากมาเอาค่าหนี้ที่เราติดเค้า ก็เหมือนกับพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านจะเข้านิพพาน

ก็เคยคิดนะบางที ว่าเออกรรมอะไรที่มันมีอยู่มาใช้ให้หมดตอนนี้ซะดีกว่า ไข้เลยนะไม่ถึงสามวัน เอาเลย มาจริงๆ นะ เลยไม่พูดเลยทุกวันนี้..."

หลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป












ความถูกต้อง
( พอจ. ไพศาล วิสาโล)
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ไปฟังเทศน์ แต่สามีลืมปิดมือถือ ขณะที่พระท่านกำลังเทศน์ ปรากฏมือถือของสามีมีเสียงเรียกเข้าและเป็นเสียงดังมาก จึงโดนพระ ตำหนิและคนไปฟังเทศน์ก็หันมามองกันเป็นแถว พอเลิกจากการฟังเทศน์ บางคนก็เข้ามาต่อว่าต่อขาน หาว่าไม่มีมารยาทไม่รู้จักกฎเกณฑ์การมาฟังเทศน์ ทำให้ผู้อื่นไม่มีสมาธิและขณะนั่งรถกลับบ้านก็โดนภรรยาต่อว่าต่อขานอย่างหนัก
ด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจ จึงเข้าไปในบาร์ ขณะดื่มเบียร์ก็กังวลอยู่กับคำต่อว่าต่อขานของคนรอบข้างเมื่อตอนเช้า เลยทำให้วางขวดเบียร์ พลาดตกโต๊ะ เบียร์กระเด็นถูกเสื้อผ้าและรอบๆข้าง ขวดแตกกระจาย เขาเห็นคน 2-3 คนเดินเข้ามา จึงนึกว่าวันนี้เป็นวันซวยจริงๆ คงจะโดนต่อว่าต่อขานอีก แต่ตรงกันข้าม พวก พนง ที่เดินเข้ามาต่างถามไถ่ว่า เขาเป็นอะไรหรือเปล่า? โดนแก้วบาดไหม พนง บางคน ก็เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะ บางคนก็เอาไม้กวาดมากวาดเศษเบียร์ออกให้หมด บางคนก็เอาไม้ม็อบมาถู ส่วนตัวผู้จัดการก็ถือเบียร์มาวางให้อีกขวดพร้อมกล่าวว่า "ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ต่อไปขอให้ระวังขึ้นแล้วกัน "
ตั้งแต่นั้นมา ผู้ชายคนนี้เลิกไปวัดอีกต่อไป แต่หันมาเข้ามาบาร์แทน เพราะเขาได้รับมิตรไมตรี ความเมตตา ความเอื้ออาทรจากคนในบาร์มากกว่าคนเข้าวัด ทั้งที่คนเข้าวัด ควรมีเมตา มีน้ำจิตน้ำใจ และรู้จักการให้อภัย มากกว่าคนในบาร์ แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นคนเข้าวัด ก็ต้องระวัง อย่ายึดถือกฎเกณฑ์ความถูกต้อง จนเป็นคนแล้งน้ำใจ อย่าลืมว่ามนุษย์เราไม่มีใครที่จะไม่ผิดพลาด ยิ่งความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ควรเอามาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับต้องต่อว่าต่อขาน กลายเป็นผลักไสให้คนออกไปจากวัด แทนที่เขาจะมาเข้าวัด ฟังเทศน์ ฟังธรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจ กับทำให้ผู้อื่นหันหลังให้วัดโดยเด็ดขาด ความถูกต้อง มิใช่อยู่ที่การรักษากฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด แต่บางครั้งต้องมีการอะลุ่มอะหล่วย และเข้าใจผู้อื่นบ้าง สังคมถึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล









#ธรรมเทศนาโปรดพญานาคเจ้ามัคคี
#มาขอฟังธรรมจากหลวงพ่อวีระนนท์
#เมื่อครั้งท่านออกธุดงกรรมฐาน
ณ ลุ่มแม่น้ำโขง

“ชีวิต เกิดขึ้นมาด้วยกรรม
กรรมทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด
กรรมทำให้ไปเกิดในภพภูมิที่แตกต่างกัน

จะต่ำจะสูงอยู่ที่การทำตัวเอง
จะสูงจะต่ำอยู่ตัวทำ ไม่มีใครทำให้เราได้

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรืออยู่ในภพของการเป็นพญานาค ไม่ว่าจะอยู่ในภพของเทวดา หรืออยู่ภพอื่นก็ตาม อยู่ที่ตัวเราเอง

แต่ถ้าจะยกจิตยกภพภูมิตนเองให้สูงขึ้น ก็อยู่ที่การกระทำของตัวเราเอง และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม

พระพุทธเจ้านามว่า สมณโคดม โคตรมี ได้ตรัสไว้ว่า กรรม คือการกระทำของเรา เมื่อเราทำบุญ ทำกุศล ด้วยความตั้งใจที่ดี ใจของเราเสพติดกับความดีจนชิน

และจิตของเราที่ฝึกไว้ให้เจอแต่สิ่งที่ดี เมื่อเจอสิ่งไม่ดี จิตเราก็จะไม่รับเอาไม่สมาคมกับจิตที่สกปรกอันไม่สะอาด จิตใจก็จะออกห่างไกลไปโดยอัตโนมัติทันที

เมื่อจิตใจเรายึดถือความดีไว้ในหัวจิตหัวใจแล้ว การไปเกิดก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ถ้าความดีมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นการเสียสละอย่างบริสุทธิ์ใจ

ทำให้การงานที่ทำสะอาดทั้งข้างนอก สะอาดทั้งข้างในจิตใจ นี่คือ วิธีการพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น และเลื่อนภพภูมิของสรรพสัตว์ให้สูงขึ้นได้ทุกหมู่เหล่า”

โอวาทธรรม พระครูปทุมภาวนาจารย์ วิ.,ดร.
หลวงพ่อวีระนนท์ วีรนนฺโท
วัดป่าเจริญราช จ.ปทุมธานี










ฉบับที่ ๒๖
​​วัดป่าบ้านตาด อุดรฯ
​ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๐๒

การพิจารณาของแม่เจตนับว่าถูกต้องดี ขอให้ยึดหลักว่า “#ขันธ์กับจิตเป็นสิ่งที่เราจะพิจารณาไม่ขาดระยะ #และเป็นสิ่งสำคัญกว่าอื่นทั้งหมด”

เรื่องจิตจะบริสุทธิ์หรือละเอียดขึ้นไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับจิตทำงานการค้นคิดให้รู้ตามเป็นจริงในขันธ์ทั้งหลาย

หน้าที่ของขันธ์ที่เขาทำงานอยู่ประจำอิริยาบถ ก็คือความตั้งขึ้นแลดับไปเท่านั้น ยกสังขารขันธ์เป็นตัวอย่าง คือสังขารจะคิดขึ้นปรุงขึ้น ทางดีก็ตามทางชั่วก็ตาม คิดเรื่องอดีตก็ตามอนาคตก็ตาม จะต้องดับไปในขณะ ๆ ทุกประเภทที่คิดขึ้นปรุงขึ้น

ขอแต่เราจงจับหลักของสังขารไว้ด้วยดี ยกสติปัญญาเข้าใกล้ชิดต่อความเกิดความดับของสังขารทุกเวลา แม้เวทนา สัญญา เป็นต้น ก็โปรดพิจารณาทำนองเดียวกัน จะต้องทำหน้าที่เกิดดับเช่นเดียวกัน

อย่าทำความคาดหมายว่ากลัวลำบากหรือรำคาญ หรือละเอียดบริสุทธิ์ไปก่อนความเป็นเองของจิต สุข ทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส เป็นต้น ที่เกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นธรรมเครื่องเตือนสติปัญญา อย่าถือว่าเป็นของเอาหรือของทิ้ง ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องรู้เท่าเสมอกันหมด

อย่าแสดงความดีใจ เสียใจไปตามสิ่งที่ปรากฏขึ้นแลดับไป ผิดหลักของผู้จะยกตนให้พ้นความลำเอียงในสภาวธรรม ไม่ว่าประเภทใด ๆ ทั้งหมด

พึงทราบว่าขันธ์ทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่เป็นของขว้างทิ้ง หรือจะถือเอา แต่เป็นของจะรู้เท่าด้วยปัญญา แล้วต่างฝ่ายต่างก็อยู่ตามความเป็นจริงของตน ๆ ไม่สับสนกัน จึงจะไม่มีเรื่องยุ่งเกิดขึ้น เมื่อไม่มีเรื่องก็ไม่มีคดีเกี่ยวข้อง พอที่จะหาทนายและผู้พิพากษามาช่วยเบิกความและตัดสิน

อนึ่ง แม้จิตคือผู้รู้ เมื่อถึงขั้นรู้เฉพาะจิตไม่เกี่ยวกับอารมณ์ใด ๆ แล้ว ก็พึงพิจารณาเฉพาะจิตด้วยปัญญา เช่นเดียวกับการพิจารณาขันธ์ทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นจะทำความนอนใจในผู้รู้ ก็จะติดผู้รู้เข้าอีก ยิ่งจะเป็นผู้รู้ที่เต็มไปด้วยความหลง

ข้อสำคัญเราอย่ากลัวผู้รู้จะฉิบหายไปจากตัวเรา ในขณะที่เราจะพิจารณาหรือกลั่นกรองผู้รู้ ให้ทำความเข้าใจว่า สิ่งทั้งหมดทั้งนอกกาย นอกใจ ทั้งในกาย ในใจ ทั้งใจ สิ่งใดจะเคลื่อนไหวไปอย่างไร จะแตกจะดับก็ขอให้เราเห็นชัดด้วยปัญญาญาณ ว่าสิ่งนั้น ๆ แตกดับไป เราอย่ามีส่วนเกี่ยวข้องว่าเราจะถูกทำลายหรือแตกดับไปตามสิ่งนั้น ๆ

ธรรมชาติใดที่จะเป็นธรรมชาติที่ประเสริฐ ธรรมชาตินั้นจะปรากฏชัดขึ้นกับเราทันที และธรรมชาติอันนั้นไม่อยู่ในกรอบของความเกิดขึ้นแลแตกดับสูญไปตามใคร ๆ ด้วย

นั่นแหละเรียกว่าธรรมดวงเอก คือพุทธธรรม พุทธธรรมคือผู้รู้ที่บริสุทธิ์ (พระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลาย ท่านได้ธรรมดวงนี้ จึงเป็นผู้ประเสริฐสุดของไตรภพ โลกทั้งสามได้กราบไหว้ ก็กราบไหว้ธรรมดวงนี้เอง หาได้นอกเหนือไปจากตัวเราตัวท่านที่ไหนไม่)

ฉะนั้น จงพยายามตามที่อธิบายมานี้ สมบัติคือธรรมดวงเอก จะกลายเป็นของเราในวันหนึ่งแน่ เพราะสมัยนี้หาคนผู้จะทำตนเพื่อดวงธรรมดวงเอกนี้หายากมาก และจะหาครูอาจารย์ผู้ที่จะมาชี้ทางเพื่อธรรมดวงเอกได้โดยถูกต้องแก่นักศึกษาแลนักปฏิบัติผู้มุ่งหวังอยู่แล้วเต็มใจ ก็หายากเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ๑.ธรรมดวงเอก ๒.ผู้มุ่งหวังธรรมดวงเอก ๓.ผู้ชี้ทางเพื่อธรรมดวงเอกโดยถูกต้อง ทั้งสามซึ่งเป็นของหายากนี้ แต่ไม่ยากไปทุกราย ไม่ง่ายจนเกินไปถึงกับไม่เป็นของแปลก

ธรรมชาติทั้งสามนี้ที่ว่าหายาก ควรจะได้เป็นของสะดวกสำหรับเรา เพราะเข้าใจว่าเราเป็นคน ๆ หนึ่งที่ได้มีวาสนาบารมี มาประพฤติตนเพื่อธรรมอันเอกกับเพื่อนพุทธบริษัทเพื่อความเป็นลูกที่ดีของพระพุทธเจ้า เอวํ

อาตมาเป็นห่วงคุณทั้งสองมาก การป่วยพึงทราบว่าเขาจะมาเตือนเรื่องหนี้สิน ต่อไปเขาจะมาทวงหนี้สินกลับคืน จงรีบตั้งเนื้อตั้งตัวด้วยอริยทรัพย์
​​
#หลวงตามหาบัว
#ธรรมะในลิขิต
#ฉบับที่26








#ชีวิตประจำวันเหมือนทะเลปั่นป่วนมีคลื่นใหญ่

อย่าไปคิดว่าจะรอให้คลื่นหมดจึงจะปฏิบัติ มันไม่หมดหรอก เป็นธรรมชาติของทะเลที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้มีเรือดีๆ ชีวิตย่อมไม่ล่ม

นักปราชญ์จึงตั้งอกตั้งใจระงับสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่เกิดขึ้น แล้วป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น เพียรสร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็พยายามสนับสนุนบำรุงเลี้ยงให้เจริญงอกงาม

#ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อยวาง
#ผลเป็นเรื่องของธรรมชาติ
#ไม่ใช่เรื่องของเรา

คัดตัดตอนจากเรื่อง เส้นทาง โดยพระอาจารย์ชยสาโร











#พิจารณากายเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา

ทีนี้ลักษณะของจิตที่รู้ของสมถกรรมฐานนั้นอย่างไร รู้ในขั้นวิปัสสนากรรมฐานนั้นอย่างไร

ถ้าจิตมองเห็นกระดูก แล้วก็ยึดเอากระดูกเป็นนิมิต มองจดจ้องดูอยู่อย่างนั้นไม่มีอาการเปลี่ยนแปลง อันนี้เป็นความรู้ขั้นสมถกรรมฐาน

ถ้าหากว่าจิตสามารถที่จะปฏิวัติไปสู่ความรู้พิสดารยิ่งไปกว่านั้น สามารถกำหนดกระดูกที่รู้เห็นนั้นให้เล็กลง หรือให้ใหญ่ขึ้น หรือให้มีอันสลายตัวไป หรือให้มีอันเป็นไปในแง่ว่า เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แล้วจิตเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า แม้แต่กระดูกก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่ความรู้ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่จีรังยั่งยืน รู้แล้วก็หายไป เห็นแล้วก็หายไป ประเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาให้รู้ให้เห็นได้อีก กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

ถ้าจิตดูความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ท่านเรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต"

ในเมื่อเกิดปฏิภาคนิมิต จิตก็ใกล้ต่อความที่จะก้าวขึ้นไปสู่ภูมิวิปัสสนากรรมฐาน เพราะจิตกำหนดความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากว่าจิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่รู้เห็นนั้น
อนิจจสัญญายังไม่เกิดขึ้นภายในจิต
ก็ยังเป็นภูมิสมถะกรรมฐานอยู่นั่นเอง

แต่ถ้าจิตปฏิวัติไปสู่ความเปลี่ยนแปลงความไม่ยั่งยืน ความไม่คงที่ จิตก็ปฏิวัติตนไปสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา แต่ยังไม่ใช่วิปัสสนาที่แท้จริง เพราะจิตยังไม่ยอมรับ

เมื่อจิตยอมรับว่าสิ่งที่รู้เห็นนี้ มันมีความเปลี่ยนแปลง ยักย้ายอยู่เสมอ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

แล้วก็มีความรู้สึกซึ้งลงไปในจิต แล้วก็ยอมรับความเป็นเช่นนั้นว่าเป็นจริง จึงตัดสินด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจริงๆ แล้วก็ยอมรับสภาพความเป็นจริง ในตอนนี้จิตก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาอันนี้หมายถึงวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเอาวัตถุเป็นเครื่องหมายแห่งการรู้การเห็น

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร