วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2021, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“..แท้จริงกายใจ เป็นธรรมชาติ ที่เกิดดับอย่างมีเหตุผล

"เหตุ" คือ...ใช้กายใจในปัจจุบัน ก่อกรรมดีร้ายเอาไว้

"ผล" คือ...จะมีกายใจในอนาคต ที่หยาบหรือประณีตปรากฎขึ้น อย่างเหมาะสมกับกรรมเก่า..”

โอวาทธรรม
หลวงปู่สูนย์ จันทวัณโณ
วัดป่าอิสระธรรม ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร







“..ผู้หวังอรรถธรรม ความพ้นทุกข์จริง ๆ หลวงพ่อจึงอยากให้ตั้งใจภาวนาอยู่ที่บ้าน ฟังเทศน์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตาวัดป่าบ้านตาดเรา ทางสถานีวิทยุ แล้วตั้งใจปฏิบัติ ติดขัดอะไรเทศน์ท่านบอกในนั้นหมด

ให้เชื่อหลวงพ่อนะ ที่หลวงพ่อพูดนี้ เข้าใจไหม ให้เข้าใจหลวงพ่อนะ อยากได้อรรถได้ธรรมจริง ๆ อยู่ที่บ้านไม่มีใครรบกวน ตั้งใจเอา อยู่ที่เราคนเดียว..."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร
วัดป่าด่านวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ








#ความถูกต้อง
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ไปฟังเทศน์ แต่สามีลืมปิดมือถือ ขณะที่พระท่านกำลังเทศน์ ปรากฏมือถือของสามีมีเสียงเรียกเข้าและเป็นเสียงดังมาก จึงโดนพระ ตำหนิและคนไปฟังเทศน์ก็หันมามองกันเป็นแถว พอเลิกจากการฟังเทศน์ บางคนก็เข้ามาต่อว่าต่อขาน หาว่าไม่มีมารยาทไม่รู้จักกฎเกณฑ์การมาฟังเทศน์ ทำให้ผู้อื่นไม่มีสมาธิและขณะนั่งรถกลับบ้านก็โดนภรรยาต่อว่าต่อขานอย่างหนัก
ด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจ จึงเข้าไปในบาร์ ขณะดื่มเบียร์ก็กังวลอยู่กับคำต่อว่าต่อขานของคนรอบข้างเมื่อตอนเช้า เลยทำให้วางขวดเบียร์ พลาดตกโต๊ะ เบียร์กระเด็นถูกเสื้อผ้าและรอบๆข้าง ขวดแตกกระจาย เขาเห็นคน 2-3 คนเดินเข้ามา จึงนึกว่าวันนี้เป็นวันซวยจริงๆ คงจะโดนต่อว่าต่อขานอีก แต่ตรงกันข้าม พวกพนักงานที่เดินเข้ามาต่างถามไถ่ว่า เขาเป็นอะไรหรือเปล่า? โดนแก้วบาดไหม พนักงานบางคน ก็เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะ บางคนก็เอาไม้กวาดมากวาดเศษเบียร์ออกให้หมด บางคนก็เอาไม้ม็อบมาถู ส่วนตัวผู้จัดการก็ถือเบียร์มาวางให้อีกขวดพร้อมกล่าวว่า "ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ต่อไปขอให้ระวังขึ้นแล้วกัน "
ตั้งแต่นั้นมา ผู้ชายคนนี้เลิกไปวัดอีกต่อไป แต่หันมาเข้ามาบาร์แทน เพราะเขาได้รับมิตรไมตรี ความเมตตา ความเอื้ออาทรจากคนในบาร์มากกว่าคนเข้าวัด ทั้งที่คนเข้าวัด ควรมีเมตา มีน้ำจิตน้ำใจ และรู้จักการให้อภัย มากกว่าคนในบาร์ แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นคนเข้าวัด ก็ต้องระวัง อย่ายึดถือกฎเกณฑ์ความถูกต้อง จนเป็นคนแล้งน้ำใจ อย่าลืมว่ามนุษย์เราไม่มีใครที่จะไม่ผิดพลาด ยิ่งความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ควรเอามาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับต้องต่อว่าต่อขาน กลายเป็นผลักไสให้คนออกไปจากวัด แทนที่เขาจะมาเข้าวัด ฟังเทศน์ ฟังธรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจ กับทำให้ผู้อื่นหันหลังให้วัดโดยเด็ดขาด ความถูกต้อง มิใช่อยู่ที่การรักษากฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด แต่บางครั้งต้องมีการอะลุ่มอะหล่วย และเข้าใจผู้อื่นบ้าง สังคมถึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข

...พระไพศาล วิสาโร...








กตัญญูกตเวทีความรู้คุณที่ท่านทําแล้วแก่ตนและตอบแทนพระคุณนั้น พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นธรรมของคนดีคือคนดีมีธรรมนี้หรือธรรมนี้ทําให้คนเป็นคนดีคือคนใดมีธรรมคือความกตัญญูกตเวทีคนนั้นก็คือคนดีนั่นเอง ในด้านตรงกันข้ามคนใดไม่มีกตัญญูกตเวทีคนนั้นไม่ใช่คนดี

เชิญสํารวจตนเอง ให้ทุกคนให้เห็นใจตนอย่างชัดเจนตรงตามความจริงว่ามีความกตัญญูกตเวทีหรือไม่ แล้วก็จะได้รู้จักตนเองว่าเป็นคนดีหรือไม่ ไม่มีกตัญญูกตเวทีไม่เป็นคนดีจริงๆ อย่าสงสัยแต่จงเร่งอบรมใจตนเองให้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมให้จงได้อย่าให้ผ่านชีวิตนี้ไปสู่ชีวิตหน้าที่ยาวนาน โดยไม่ถือโอกาสสร้างชีวิตในภพชาติข้างหน้าให้สวยสดงดงามอย่างยิ่ง

กตัญญูกตเวทิตาธรรมเป็นธรรมเครื่องสร้างคนให้เป็นคนดีได้จริงๆ เพราะความรู้คุณท่านผู้มีคุณ และความตั้งใจจะตอบแทนพระคุณ คือเครื่องป้องกันที่สําคัญที่สุดที่จะกันให้พ้นจากการทําผิดคิดร้ายได้ทั้งหมด โดยมีจุดมุ่งอยู่ที่ความไม่ปรารถนาจะทําให้ผู้มีพระคุณเป็นทุกข์เดือดร้อนกายใจ ทุกคนมีผู้มีพระคุณของตน อย่างน้อยก็มารดา บิดา ครูบาอาจารย์ เพียงมีกตัญญูรู้คุณท่านเท่าที่กล่าวนี้ก็เพียงพอจะคุ้มครองตนให้พ้นจากความไม่ดีทั้งปวงได้ขอให้เป็นความกตัญญูกตเวทีจริงใจเท่านั้น อย่าให้เป็นเพียงนึกว่าตนเป็นคนกตัญญูความจริงกับความนึกเอาแตกต่างกันมาก ผลที่จะได้รับจึงแตกต่างกันมากด้วย

ผู้มีกตัญญูกตเวทีนั้นจะรู้จักบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหมดจะตอบสนองทุกคนเต็มสติปัญญาความสามารถควรแก่ผู้รับ และนี่เองที่จะเป็นเหตุให้คิดดีพูดดีทําดีเพราะเกรงว่าการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทําไม่ดี จะมีส่วนทําให้ผู้มีบุญคุณเดือดร้อน เช่น มารดาบิดาเป็นผู้มีพระคุณ ลูกกตัญญูจะประพฤติตัวเป็นคนดีจะไม่เป็นคนเลว เพราะเกรงว่ามารดาบิดาจะเสื่อมเสีย นี่ก็เท่ากับคุ้มครองตนเองได้แล้วด้วยความกตัญญูกตเวที

พระนิพนธ์: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระนิพนธ์เรื่อง: ชีวิตนี้น้อยนัก









...การปฎิบัติธรรมนี้
“ ไม่ได้ต้องการจะไปเปลี่ยนธรรมชาติ “

.ต้องการจะดับความทุกข์
ที่เกิดจาก..” ความหลงของเรา “
ไปมองว่าธรรมชาติเป็นของเราเท่านั้นเอง

.ให้เราคืนทุกอย่าง
ให้เป็นของธรรมชาติไป
คืนเงินทอง
คืนทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

.คืนสามีภรรยา คืนบุตรธิดา
คืนร่างกายของเราให้กับธรรมชาติเขาไป
“ แล้วเราจะไม่ทุกข์”.
...........................................
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








#พระจูฬปันถก

ความรู้และความสงบนั้นแม้เกิดเพียงชั่วขณะหนึ่งครู่หนึ่งก็เป็นบุญกุศลในชีวิตหรือในจิตใจของตนเป็นอันมาก เพื่อได้ประโยชน์เป็นอันมากบุญกุศลอันใดที่ได้สั่งสมไว้แล้วนั้นย่อมให้ผลตามกาลตามเวลา ไม่สูญไม่หายติดตามให้คุณแก่ผู้นั้นอยู่เสมอ ดังที่พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมะได้ทรงแสดงแก้การเจริญกรรมฐานของภิกษุรูปหนึ่งในสมัยนั้นซึ่งมีชื่อว่าจูฬปันถก ซึ่งพระรูปนี้มีปัญญาทึบมากเรียกกันว่าโง่มาก บวชอยู่ในพระพุทธศาสนากับพี่ชาย พี่ชายเป็นพระอรหันต์ แต่น้องชายเพียงท่องคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้าหนึ่งคาถาคือ๒แถวท่องอยู่๔เดือนก็ท่องไม่ได้ พี่ชายบอกว่าคงไม่มีวาสนาในการเป็นพระให้สึกไปครองเรือนช่วยปู่ย่าตายายทำไร่นาไปตามสมควร ไปแสวงหาบุญกุศลในฐานะความเป็นคฤหัสจะดีกว่า ท่านก็เสียใจใจหนึ่งยังอยากบวชอยู่ แต่ใจหนึ่งท่องอะไรไม่จำเมื่อพี่ชายแนะให้อย่างนั้นก็จำเป็นจะต้องไปสึกเช้ามืดเดินออกจากกุฏิจะไปสึกและในยามนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแผ่พระญาณว่าวันนี้ควรที่จะโปรดผู้ใด ผู้ใดควรจะรู้มรรคผลนิพพาน พระองค์ทรงทราบในความเป็นไปของพระจูฬปันถกที่จะไปสึกจึงได้ไปดักอยู่ข้างหน้าที่วัดพระเชตวันพอพระจูฬปันถกเดินผ่านมา พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่าจะไปไหนแต่เช้า พระจูฬปันถกเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เข้าไปกราบและนั่งลงทูลว่าพระพี่ชายไล่ให้ไปสึก ทำไมให้สึกไปประพฤติผิดอะไรหรือพระศาสดาทรงตรัสถาม พระจูฬปันถกก็บอกไม่ได้ว่ามีความผิดอะไรแต่ผมโง่จำอะไรไม่ได้เลยท่องคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าพระคุณของพระพุทธเจ้านั้นเบ่งบานเหมือนดอกบัวเมื่อยามเช้าเพียงท่องแค่นี้ก็ท่องไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าจูฬปันถกเธอบวชอยู่ในสำนักเราเมื่อจะไปสึกทำไมจึงไม่บอกเรา คนโง่ไม่ได้ทำความผิดนั้นไม่บาป ไม่เสียหายอะไร ความโง่ไม่ได้เป็นบาปและมิใช่ใช้ความโง่ไปทะนงตนถือตัว จูฬปันถกอย่าสึกเลยไปอยู่กับเรา ความที่พอใจในการบวชอยู่แล้วครั้นเมื่อได้พระศาสดาชวนอันนี้จึงเกิดความปิติ ในวันนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์๕๐๐รูปจะไปฉัน ณ บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ก่อนจะไปพระพุทธเจ้าได้นำผ้าขาวสะอาดมาผืนหนึ่งแล้วก็วางไว้ แล้วก็บอกจูฬปันถกว่าให้นั่งดูผ้าขาวผืนนี้จนกว่าเราจะกลับมา ไม่ต้องว่าอะไรมากเพียงเพ่งดูผ้าขาวแล้วก็ว่า รโชหรณํ รโชหรณํ ว่าเพียงเท่านี้เพ่งดู จูฬปันถกเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้วก็นั่งเพ่งดูผ้าขาวแล้วก็ว่า รโชหรณํ จนกระทั่งสาย ท่องไปท่องไปก็เอามือลูบผ้าเสียทีนึง ลูบไปหลายหนผ้าก็เศร้าหมองจนสายมากเข้าพระศาสดาทรงจะทำภัตกิจที่ทายกไปถวาย ณ ที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์นั้น เมื่อผ้านั้นเศร้าหมองลง จูฬปันถกก็พิจารณาว่า ผ้านี้เมื่อตอนเช้าที่พระศาสดาให้ไว้ยังขาวสะอาดตอนนี้เริ่มมัวหมอง ชีวิตนี้ก็คงเป็นเหมือนกันไม่มีอะไรเป็นที่เที่ยงแท้แน่นอน ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ทรงทราบวาระจิตของพระจูฬปันถก จึงทรงเนรมิตอิทธิฤทธิ์คล้ายกับพระพุทธองค์มายืนอยู่หน้าเฉพาะพระจูฬปันถกว่าจูฬปันถกผ้านั้นมิได้มัวหมองทำให้เกิดกิเลส เป็นการมัวหมองโดยธรรมชาติ ไม่มีความสำคัญอะไร สิ่งที่มัวหมองทำให้จิตเศร้าหมองนั่นซิเป็นสิ่งสำคัญ คือ ราคะ โทสะ โมหะ แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นว่าราคะเมื่อย้อมใจแล้วก็รุมจิตใจให้เกิดความเร่าร้อน ทรงแสดงให้เจริญอสุภกรรมฐานพิจารณากายซากศพของคนก็ดีของสัตว์ก็ดีตายไปแล้วเน่าเปื่อยผุพัง กายคตาสติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้เห็นเป็นปฏิกูล แล้วก็ทรงแสดงเจริญเมตตากรุณาธรรมดับเครื่องเศร้าหมองที่สองคือโทสะ โทสะเวลาเกิดขึ้นจิตย่อมเศร้าหมอง ด้วยความโมโหโกรธาคือความร้ายกาจพึงเจริญเมตตากรุณาธรรม นึกถึงว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดมาแล้วควรที่จะมีเมตตา ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน อย่าเบียดเบียนกัน อย่าทำร้ายกัน เขาก็ต้องแก่เจ็บตาย เราก็ต้องแก่เจ็บตาย การอยู่ร่วมกันด้วยการมีเมตตามีความสุขกว่าความไม่ชอบกันเหล่านี้เป็นต้น แล้วก็ทรงแสดงโมหะคือความหลงงมงาย หลงอยู่ในราคะ หลงอยู่ในโทสะติดหมุนเวียนอยู่อย่างนี้เพราะด้วยอำนาจโมหะ ทรงสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นตามสภาวะธรรมที่เป็นจริง ราคะที่ติดอยู่แท้จริงก็ติดอยู่ในกายที่สกปรกโสโครก และมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย โทสะที่เกิดขึ้นที่ไปหลงติดอยู่ก็หลงอยู่ในความเร่าร้อนของทางจิตใจ ทำให้เกิดการทำบาป พระศาสดาได้ทรงแสดงนิมิตธรรมพระองค์อยู่ที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์แต่ได้ทรงแสดงนิมิตธรรมเหมือนกับพระองค์ยืนอยู่หน้าจูฬปันถก แล้วก็ทรงแสดงให้ปล่อยวางทั้งปวง พระจูฬปันถกพิจารณาธรรมไปจิตก็พ้นจากอาสวะกิเลสเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งพร้อมด้วยอภิญญาคือความสามารถต่างๆได้แก่ฤทธิ์

หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร







"คนอื่นเขาดี ก็ดีเขา
เขาชั่ว ก็ชั่วเขา
จิตใจของเรา เป็นอย่างไร"

หลวงปู่ขาว อนาลโย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร