วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 19:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2021, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม : การใส่บาตรและการถวายอาหารแด่พระควรเป็นอาหารสด แต่ถ้าบางคนการถวายมาม่าหรือของแห้งที่จะต้องเอาไปประกอบอาหารใหม่จะบาปหรือไม่

ตอบ : ไม่บาปหรอก เพียงแต่ว่าพระท่านเก็บไว้ไม่ได้ อาหารที่เป็นอาหารนี้ ท่านเก็บไว้ได้เพียงแค่ช่วงระยะเที่ยงวันเท่านั้นเอง หลังจากเที่ยงวันแล้ว ส่วนที่เป็นอาหารนี้ ท่านต้องสละไปหมด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระสะสมของไว้ในกุฏิของตน แต่ทรงอนุญาตให้สะสมไว้ในคลังของวัดได้ เช่นถ้าญาติโยมอยากจะถวายของให้เก็บไว้นานๆ อย่าไปใส่บาตร อย่าไปประเคนกับมือ

อย่างที่อาตมารับของนี้ ส่วนใหญ่จะให้วางไว้เฉยๆ ถ้าญาติโยมวางไว้เฉยๆนี้ ถือว่าพระยังไม่ได้รับประเคน พระยังเอาไปใช้ไม่ได้ แต่เก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันหมดอายุ เวลาต้องการจะใช้ก็ให้ลูกศิษย์หยิบมาประเคนให้ จึงจะใช้ได้ แต่ถ้ารับประเคนด้วยมือเอง ของมันจะมีอายุ

ของนี้ท่านแบ่งไว้ ๓ ชนิดด้วยกัน ชนิดอาหารนี้มีอายุแค่ถึงเที่ยงวัน หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว ถึงแม้รับตอนนี้ก็หมดอายุทันทีเลย ใครถวายมาม่า ถวายปลากระป๋องมา รับปั๊บนี้ก็ต้องสละแล้ว เก็บไว้กินพรุ่งนี้ไม่ได้ เรียกว่า อาหาร ดังนั้นถ้าของเป็นอาหารอยากจะถวายพระให้เก็บไว้นานๆ เอาวางตั้งไว้เฉยๆ ตั้งไว้ตรงหน้าก็ได้ บอกขอถวาย อันนี้ก็ได้เท่ากับถวายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำให้มันถูกพระวินัย พระยังไม่ถือว่าเป็นของของตน เป็นของของส่วนกลางอยู่ ของสงฆ์ แต่เวลาต้องการจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคน เอาไปเก็บไว้ที่กุฏิไม่ได้ ต้องเก็บไว้ที่ที่เก็บของของวัด วัดจะมีที่ที่เก็บของส่วนกลางไว้ ของทั้งหมดที่ไม่ได้รับประเคนก็ให้เอาไปไว้ที่นั่น เวลาจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์เอามาประเคนให้อีกที พวกอาหารก็มีอายุเพียงครึ่งวัน เช้าถึงเพล

พวกที่เรียกว่าเภสัช คือพวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้งนี้ ท่านอนุญาตถ้ารับประเคนนี้ท่านให้เก็บไว้ได้ ๗ วันและฉันได้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงถือว่าเป็นยา สมัยก่อนเขาคงกินพวกยา พวกนี้รักษาอาการเจ็บท้องปวดท้อง มันคงจะไปเคลือบกระเพาะหรือไปทำอะไร ท่านก็เลยอนุญาตให้มีเภสัช ๕ ชนิดด้วยกัน พวกนี้เก็บไว้ได้ไม่เกิน ๗ วัน พอหลังจาก ๗ วันแล้วถ้ายังมีเหลืออยู่ก็ต้องสละให้คนอื่นไป สละให้กับพระด้วยกันไม่ได้ ต้องสละให้ฆราวาสญาติโยมไป ลูกศิษย์ลูกหาไป หรือเอาไปทำบุญทำทานไป

แล้วชนิดที่ ๓ เรียกว่า ยาจริงๆ เช่นยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาอะไรต่างๆ เหล่านี้ รับประเคนแล้วก็เก็บไว้ได้ตลอดเวลาเก็บไว้ที่กุฏิด้วย เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะได้หยิบได้ทันถ่วงที ถ้าเป็นยานี้ถวายได้ตลอดเวลา และเก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันเสื่อม นอกจากตามที่เขาเขียนไว้ที่ในสลาก เสื่อมไปตามวันที่เขาเขียนไว้ในสลากเท่านั้น

นี่คือเรื่องของการประเคนของให้กับพระ เราต้องรู้จักแยกแยะ แต่สมัยนี้ญาติโยมไม่รู้กันก็เลยรวมกันหมดเลยที่เขาใส่ในกระเเป๋งสีเหลืองนี้ เขาอยากจะถวายให้ครบทั้ง ๔ คือ ปัจจัย ๔ ยาก็ใส่เข้าไป อาหารก็ใส่เข้าไป จีวรก็ใส่เข้าไป ถึงแม้จีวรจะเอามาห่มไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าเหลืองๆ ชิ้นหนึ่งก็ถือว่าเป็นจีวรแล้ว กระเเป๋งก็คงถือว่า เป็นกุฏิมั๊ง… ไว้ครอบหัวเวลาฝนตก ทำบุญก็อยากจะถวายปัจจัย ๔ ให้ครบ เขาก็เลยใส่มา แล้วมาถึงก็บังคับให้พระรับประเคน ให้วางไว้เฉยๆ ก็กลัวว่าไม่ได้บุญอีก บางทีบางคนขนกลับไปก็มี พอบอกว่าให้วางไว้เฉยๆ ได้ถวายแล้ว ฉันไม่ได้บุญ ท่านไม่รับฉันไม่ได้บุญ ฉันไปดีกว่าไปถวายที่อื่นดีกว่า อย่างนั้นก็มีเพราะการไม่รู้ ไม่มีการสอนไม่มีการบอก แล้วพระที่มาบวชใหม่ทีหลังก็ไม่รู้เรื่อง เขาเอาอะไรมาถวายก็รับประเคนหมด แล้วเขาก็แบบถือว่าไปว่ากันใหม่ คือตอนนี้รับประเคนแบบหลอกๆไปก่อน รับประเคนให้ญาติโยมดีอกดีใจ แล้วค่อยไปแยกแยะของทีหลัง ของที่เป็นอาหารก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าอยากจะได้อะไรค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคนให้ใหม่ เขาทำกันแบบนี้

ซึ่งทางสายวัดป่าท่านไม่ทำ ท่านทำแบบไม่หลอก ทำแบบจริงๆ เลย บอกประเคนไม่ได้ก็ประเคนไม่ได้ วางไว้ต้องวางไว้ เพื่อจะได้สอนญาติโยมไปในตัว ญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดป่าจึงได้ปัญญาด้วย ได้บุญคือความสุขใจ แล้วก็ได้ปัญญาความเห็น ความรู้ที่ถูกต้องในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แทนที่จะส่งเสริมให้พระปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย เพราะด้วยความเกรงใจญาติโยม

นี่คือเรื่องของการถวายของ ที่เราต้องควรจะศึกษา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗










...ต้องฝึกสมาธิให้ได้ก่อน
"ให้จิตมันสงบก่อน"
แล้วถึงค่อยไปสอนให้มันคิดไปในทางที่ดี
ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ต่อไปได้

.นี่คือที่มาว่า
"ทำไมนักปฏิบัติ มักจะปฏิบัติกันไม่ได้ผล"

.ก็เพราะข้ามขั้นที่ ๑ ไป
จะไปขั้นที่ ๒ กันเรื่อย
จะไป “วิปัสสนึก” กันเรื่อย
แต่ไม่ยอมหยุดจิต ..
“ ไม่ยอมทำจิตให้เข้าสู่ความสงบ “

.เพราะมันรู้สึกว่ามันยาก
เลยไม่อยากจะทำมัน
ให้มันพุทโธได้แค่ ๒-๓ วินาทีก็หายไปแล้ว
ให้มันดูลมหายใจได้ ๒-๓ วินาที
ก็หายไปแล้ว
นี่มันก็เลย..” ไม่ทำดีกว่า “

.ยิ่งมีอาจารย์เก่งๆ มาสอนว่า
"ไม่ต้องนั่งสมาธิ เอาวิปัสสนาเลย"
เอาปัญญาอบรมสมาธิเลย
เอา.. ก็เลยเอาปัญญาอบรม

.อบรมไป อบรมมา
“จนบ้าไปเลยเห็นไหม ...ฟุ้งซ่านไปเลย"
.
เพราะมันไม่เป็นปัญญา คิดว่าเป็นปัญญา
..แต่ความจริง “มันเป็นความฟุ้งซ่าน “
โดยไม่รู้สึกตัว.
.....................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 21/4/2562
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี











ฆราวาสส่วนใหญ่คิดว่า การสั่งสมโภคทรัพย์ดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเตรียมรับมือกับอนาคตอันไม่แน่ไม่นอน การคิดแบบนี้ก็มีเหตุผลดีอยู่หรอก เพราะปัจจัยทางวัตถุมีความสำคัญต่อชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้มีปัญญาให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมในเรื่องนามธรรมมากพอกัน เขาย่อมพัฒนาความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและเกื้อกูลกับเพื่อนและคนในครอบครัว และที่สำคัญที่สุด เขาย่อมฝึกฝนพัฒนาคุณธรรมอย่างเช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน สติสัมปชัญญะ เมตตากรุณา และปัญญา ซึ่งจะช่วยให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดในภายหน้าอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย

นักบวชละเรื่องทรัพย์สินทั้งมวล (อย่างน้อยก็ในอุดมคติ) และอุทิศตนเพื่อพัฒนาจิตใจ มีเรื่องเล่าว่า หลังจากท่านมิลาเรปะ ธรรมาจารย์ที่ชาวทิเบตเคารพรักมรณภาพลง ท่านมีข้าวของเพียงน้อยนิด ในบรรดาของเหล่านั้น พระลูกศิษย์พบข้อความที่เขียนไว้บนกระดาษฟาง ระบุว่าท่านมิลาเรปะได้ฝังทรัพย์สมบัติที่สะสมมาตลอดชีวิตไว้ใต้ก้อนหินใกล้ๆ นี้ หากใครอยากได้ก็ให้ขุดขึ้นมา

พระลูกศิษย์ต่างรีบไปค้นหาหินก้อนนั้นแล้วเริ่มขุด ไม่นานก็พบห่อผ้าห่อหนึ่ง ต่างพากันเปิดดูด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วก็เจอเพียงอุจจาระแห้งๆ อยู่ในห่อ มีข้อความแนบไว้ว่า “หากพวกเจ้าเข้าใจคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เพียงแค่นี้ แล้วหลงเชื่อว่าอาจารย์สะสมเงินทอง พวกเจ้าก็สมควรได้อุจจาระนี่แหละเป็นมรดก”

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ









"เราอยากให้คนอื่นทำดีกับเราอย่างไร
คนอื่นก็อยากให้เราทำดีกับเขาอย่างนั้น
ขอให้พยายามคิดถึงความจริงนี้ให้บ่อยที่สุด
เท่าที่จะมีสตินึกได้ จะเป็นคุณแก่ตนเองอย่างยิ่ง
การคิดพูดทำทั้งหมดจะเป็นไปอย่างดีที่สุด
ไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ











"ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่า
ที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็น
ก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ
เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไมได้
เราจะควบคุมใจได้อย่างไร"

หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก








ฉบับที่ ๒๙
​​วัดป่าบ้านตาด อุดรฯ
​ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๐๓

#ใจเป็นสมบัติอันล้ำค่าในโลก ไม่มีสมบัติใด ๆ จะเทียมถึง สมบัติมากน้อยในโลกชื่อว่าเป็นบริวารของใจ

ฉะนั้นจงพากันอบรมใจให้ได้ความสงบเป็นลำดับ อย่าเห็นภัยอื่นนอกจากใจ ขณะเดียวกันอย่าเห็นคุณในสิ่งอื่นนอกไปจากใจเท่านั้น เป็นบ่อคุณบ่อโทษและบ่อบุญ-บาป

ใจนั้นยังมีผู้เหนืออำนาจอีกคือสติปัญญา สติปัญญานี้แลจะเป็นเครื่องบังคับใจให้คลายจากชั่วเป็นดี แต่เมื่อใจบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เป็นสติปัญญาสำเร็จขึ้นในตัวเอง ฉะนั้นท่านผู้บริสุทธิ์แล้ว สติปัญญาและความบริสุทธิ์ จึงกลายเป็นอันเดียวกันโดยธรรมชาติ ปราศจากคำว่า มรรค (เช่นมรรค ๘ ไม่ใช่ธรรมชาตินี้) เพราะธรรมชาตินี้อยู่นอกเหนือมรรคแลผล ซึ่งเป็นธรรมคู่กัน
ขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

อาการของจิตทุกอาการพึงทราบว่าเป็นไตรลักษณ์เช่นว่านี้ อย่าหลงในอาการของจิตที่แสดงออกทุกขณะ ผู้รู้ซึ่งเป็นที่ตั้งขึ้นแห่งขันธ์นั้นก็คือตัวอวิชชาแท้ อย่าหลงยึดถือ เพราะผู้รู้อันนี้เป็น อมตํ ของวัฏฏะ ไม่ใช่ อมตํ ของพระนิพพาน

โดยมากมาหลงกันที่ตรงผู้รู้ของอวิชชานี้ทั้งนั้น

ฉะนั้นเมื่อจิตเราได้ชำระเข้าถึงจุดผู้รู้อันนี้ (คือรังอวิชชา) จงทำลายอย่าให้เหลืออยู่เลย เมื่อผู้รู้นี้ถูกทำลายลงไปแล้ว จึงจะเห็นผู้รู้ที่เป็น อมตํ ของพระนิพพานประจักษ์ขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง

ฉะนั้นจงสนใจ จริงหรือเท็จจะเห็นขึ้นจากใจผู้ปฏิบัติโดยแท้ (ของจริงอยู่ใต้ของเทียม) ผู้รู้ปกปิดผู้รู้จงทราบโดยนัยนี้ เราต้องการเห็นผู้รู้จริง

จงทำลายผู้รู้ปลอมให้สิ้นไป ใจจะเป็น อมตํ ขึ้นในขณะนั้น อนึ่งความเกิดความดับของขันธ์ไม่มีสิ้นสุด จงตามเข้าไปให้ถึงฐานที่เกิดดับของขันธ์ ฐานอันนั้นเองท่านเรียกว่า อวิชชา เอาละ จงพยายามเต็มความสามารถ​

บัว

#หลวงตามหาบัว
#ธรรมะในลิขิต
#ฉบับที่29









#ให้สร้างบุญสร้างกุศลนั้นแหละไปไหนเย็นใจสบายใจ

สร้างบุญกุศลมากๆ จิตใจเบาหวิวเลย มันมาเบาอยู่ที่ใจนะ เราสร้างอะไรก็ตามความดีงามทั้งหลายมาเบาอยู่ที่ใจของเรา เบาหวิวๆ

พอลมหายใจขาดก็ดีดเลย ดีดขึ้นนะ ไม่ใช่ดีดลง คนสร้างบาปสร้างกรรมมากๆ ดีดลงเลย ถ้าคนสร้างบุญสร้างกุศลมากๆ ดีดขึ้น ให้จำเอาไว้

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน

คติธรรมจากองค์พระหลวงตา
หมวดบุญ-บาป









" ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้
ไม่มีการสูญเสียใด
ที่น่าเสียดายเท่ากับเวลา

วันเดือนปีไม่คอยใคร
ถ้าไม่รีบเร่งบำเพ็ญกุศล
รักษาศีลเจริญเมตตาภาวนา
บริจาคทานการกุศลต่างๆ
แล้วเราก็จะพลาดโอกาส
ไปเปล่าๆ

เสียเวลาเพียงหนึ่งนาที
ก็เท่ากับสูญเสีย
ส่วนหนึ่งในชีวิต

อายุที่เราได้นั้น
คือชีวิตที่สูญเสียไป
อย่าได้ประมาท "

โอวาทธรรม
หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร









"..สัตว์ทั้งหลาย รู้จักกิน
รู้จักนอน รู้จักสืบพันธุ์
รู้จักทำความดี ความชั่ว
ไปนรก สวรรค์ได้ทั้งนั้น

มนุษย์นั้น ระคนด้วย บุญ บาป
ชื่อว่า "คน" ก็ได้ชื่อว่า "มนุษย์"
ก็ได้ไม่ผิดแปลกกัน
มนุษย์โอนไปทางโลกีย์
มากกว่า "พระพุทธศาสนา"
ที่จะเอาตัวรอดจากอบายภูมิ
ทั้ง ๔ ได้

ฉะนั้น นักปราชญ์เลือกค้นเอา
ประพฤติปฏิบัติเอา
เอาความดีไปนิพพาน
เอาความชั่วไปนรกอเวจี

มนุษย์เป็นชาติที่สูงสุด
ปรารถนาสมบัติอะไร
ก็ได้ทั้งสิ้น ไม่ตกต่ำเหมือน
ชาติอื่นๆภพอื่นๆ
ภพเหล่านั้น ธาตุไม่พอ
เป็นชาติที่ขาดมรรคผลนิพพาน

มนุษย์เป็นฐานะที่จะสร้าง
บารมีให้สำเร็จได้ ไม่มีความ
สงสัยด้วยประการใดประการหนึ่ง "

โอวาทธรรม
หลวงปู่หลุย จันทสาโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร