วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2021, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…การมีสตินี้
มีคุณมีประโยชน์หลายประการด้วยกัน

.ทำให้จิตใจสงบแล้ว
สามารถควบคุมความคิดต่างๆ
ความจำต่างๆ ได้
จะทำให้ ไม่เป็นคนหลง คนลืม

.ดูครูบาอาจารย์ท่านอายุ ๘๐ ๙๐
ท่านก็ยังจำอะไรได้ต่างๆ
“ เพราะท่านมีสติ “
สตินี้..เป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกกรณี .
……………………………………
.
ธรรมะหน้ากุฏิ 24/10/63
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






“ ทรัพย์สินสมบัติ
ที่เราพากันสะสมทุกวัน
ก็อยู่ในชีวิตนี้พอได้
ใช้จ่าย ก็อยู่ในชีวิตนี้
แต่จะเอาไปใช้จ่าย
ในชีวิตหน้าไม่ได้ ส่วน
อริยทรัพย์นั้นเอาไปใช้
จ่ายปรภพเบื้องหน้าได้

เพราะฉะนั้น ท่านจึง
ให้พากันขุดทรัพย์
ขุมทรัพย์นี้มีเยอะ
นอกจากศรัทธา วิริยะ
สติ สมาธิ ปัญญาแล้ว
ก็ยังมีทานบารมี
ศีลบารมี ขันติบารมี

มีเยอะที่เราจะขุดมา
เมื่อเราขุดออกมาแล้ว
ทีนี้ก็จะเป็นทรัพย์
สมบัติของเราที่เรียกว่า
อยู่กันอย่างถาวร ”

โอวาทธรรม
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร









ชิงธงในสงครามใหญ่ ครั้งสุดท้ายของชีวิต

หนึ่ง ถือศีล ๕
สอง ฝึกในรูปแบบ
สาม การเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตัวนี้ล่ะ ตัวแตกหัก
ถ้าเราซ้อมมาดี ทำในรูปแบบ คือการซ้อมที่จะปฏิบัติ
เหมือนนักมวยเข้าค่ายซ้อม
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน คือการขึ้นชกมวยจริงๆ
ขึ้นเวทีจริงแล้ว จะแพ้จะชนะ เดี๋ยวก็รู้
หรือเหมือนทหาร ตอนที่ทำในรูปแบบเหมือนการซ้อมรบ
ตอนที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน คือการออกสนามรบ
แล้วสนามรบที่ทุกคนจะต้องเจอครั้งสุดท้าย
เป็นสนามรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย
ในชีวิตเราแต่ละคน คือวาระที่ใกล้จะตาย
วาระนั้นครูบาอาจารย์บอกว่าสงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายตอนนั้น
เป็นสงครามที่ไม่แพ้ก็ชนะ ไม่มีเสมอ
ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านสอนถึงขนาดนี้
ว่าที่เราฝึกกันแทบเป็นแทบตายก็เพื่อนาทีสุดท้ายนี่ล่ะ
ไปชิงธงกัน ว่าจะชนะหรือจะแพ้
แต่ถ้าเราบรรลุมรรคผลแล้ว ตรงนี้ไม่มีความหมาย
แต่เรายังไม่บรรลุมรรคผลนี่ ไปชิงเอานาทีสุดท้าย
ว่าจิตดวงสุดท้ายของเราจะเป็นกุศลหรือจิตอกุศล
แล้วจิตที่เป็นกุศลอกุศล..บุญบาปนั่นล่ะ
จะพาเราไปสูภพภูมิใหม่
อย่าไปนึกว่าตายแล้วสูญ มันมองไม่เห็นเอง
ฉะนั้นเรามาฝึกภาวนาเข้า บางคนก็เห็น บางคนก็รู้อยู่
มันไม่ใช่ตายแล้วสูญไป
สงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า
ต้องเจอแน่นอน
เพราะฉะนั้นเราฝึกตัวเองให้พร้อม
คนไหนที่จะพร้อม ?
คนที่มั่นใจในความดีของตนเองจะพร้อม
ถ้าเราไม่มีความมั่นใจในคุณงามความดีของตัวเอง
นาทีสุดท้ายจะไม่มีความพร้อมเลย
จะมีแต่ความกลัว ความหวั่นไหว
กลัวอะไร ?
กลัวความสูญเสียในสิ่งที่มีอยู่
กลัวว่าจะต้องไปเจอสิ่งซึ่งไม่ดี ไม่ดีอย่างเก่า
นี่ ใจมันจะกังวล
แต่ถ้าใจเรามีศีลมีธรรมสืบเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่กลัวหรอก
มันมีความมั่นใจในตัวเอง
ทำสงครามด้วยความมั่นใจ กับทำสงครามด้วยความลังเลใจ
ฝีมือไม่เท่ากันหรอก
ฉะนั้นฝากเราฝึกนะ

ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช








.

#จงกำจัดความเลวออกจากจิต

อันดับแรก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
จงกำจัดพาล คือ ความเลวของจิตของเราเอง

คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรมันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราไปสนใจในจริยาของบุคคลอื่น
เราก็เลยลืมตัวเอง

การสนใจในจริยาของบุคคลอื่นว่า
คนนั้นดี คนนี้เลว อย่างนี้พระพุทธเจ้าถือว่า
ใจเข้าไปถึง "อุปกิเลส" เข้าไปใกล้กิเลส
คือความเลว สร้างความเลวของเราให้เกิดขึ้น ให้มันมีมากยิ่งขึ้น

"จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น"
ใครเขาอยากจะไปอบายภูมิเชิญเขาไปแต่ผู้เดียว
ถ้าเราไปสนใจเขาด้วย
เราน่ะไปด้วยคือจิตใจเศร้าหมอง
ฉะนั้น อันดับแรก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท
"จงกำจัดความเลวออกจากจิต"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๑๘ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๙ หน้า ๗๙









.

#วิธีรักษาศีลห้าอย่างง่าย ๆ

บางคนอาจจะรู้สึกยาก
โดยเฉพาะในเรื่องศีล ๕
ไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก แต่เรื่องนี้หลวงพ่อแนะนำวิธีรักษาศีลไว้ว่า...

หลวงพ่อ : ถ้าไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้เต็มวัน ให้ตั้งใจรักษาสักวันละ ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง หรือ ๓ ชั่วโมงก็ได้
เอาเป็นเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ
แต่ไม่ใช่สมาทานแล้วก็หลับนะ
ขอยืนยันว่าเวลาหลับไม่ผิดศีล...นี่ไม่ได้นะ ให้ตั้งเวลาไว้เฉพาะในเวลาวันหนึ่งนะกี่ชั่วโมง แล้วเอาเท่าไรก็ตามชอบใจว่า
ในช่วงเวลานี้เราจะไม่ยอมละเมิดศีล ๕
เด็ดขาด

ถ้าทำได้อย่างนี้อย่างช้าจริงๆ ไม่เกิน ๑ ปี
จิตจะทรงตัวรักษาศีล ๕ เป็นสมุจเฉท
คือหมายความว่าแน่นอนนะ

หลวงพ่อพระราชะรหมยาน
วัดท่าซุง
จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม" ฉบับพิเศษ เล่ม ๕








.

#ความไม่เที่ยง

ความจริงอารมณ์ของ "นิพพาน"
"นิพพาน" เป็นของไม่หนัก
แต่ทว่าอารมณ์เรายังไม่ถึง มันก็หนัก
แต่ถ้าเรามีอารมณ์ยอมรับความจริงว่า
โลกนี้มันเป็น "อนิจจัง" มันไม่เที่ยง
เพราะ "ความไม่เที่ยง"
ถ้าเราเกิดมามันก็เป็นทุกข์
อย่างกางเกงที่คุณสวม คุณซื้อมาใหม่
คุณคิดว่ามันไม่ขาด เลยไม่ได้เตรียม
ผ้าปะไว้ ต่อไปมันขาดมันเปื่อยมาก
ใช่ไหม เราก็ไม่สบายใจ หนักใจ

ถ้าเราคิดว่ากางเกงที่เราซื้อมา มันมีขาด มีเปื่อย ถ้ามันเก่าสักหน่อย เราก็เตรียมตัวปะ อารมณ์หนักใจมันก็น้อยใช่ไหม

และความจริงของชาวโลกมันมีอยู่อย่างหนึ่ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจาก
ของรักของชอบใจ
"นี่มันเป็นของธรรมดา"

ถ้าจิตเรารู้อย่างนี้เสียแล้ว
ก็สร้างความเบื่อหน่ายที่เราเกิดมาแล้ว
มีแก่ มีเจ็บ มีป่วย มีตาย
"ก็เพราะร่างกายตัวเดียว"
ถ้าไม่มีกายนี้เสียอย่างเดียว
สิ่งต่างๆ มันไม่มีละ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๔๓๗ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐ หน้า ๒๙ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร