วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 04:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2021, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คนไม่มีเงิน หรือ ไม่มีเวลาจะไปวัด แต่อยากทำบุญ ก็เพียงเจริญเมตตาจิต ไม่ให้โกรธเกลียดใคร มีแต่ความรักให้แก่เขา วิธีนี้ถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มากทีเดียว..

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต





…ถ้าเรา อยากจะให้ภพชาติของเรานั้น
เป็นภพชาติที่ดีอยู่เรื่อยๆ
เกิดภพใดชาติใด
ก็ขอให้เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพบ้าง
เป็นพรหมบ้าง เป็นพระอริยเจ้าบ้าง

.“ ก็ต้องมีการรักษาศีล
เป็นเครื่องประคับประคอง “
เป็นเครื่องส่งให้จิตใจของเรา
ได้ไปเกิดตามที่เราปรารถนา.
…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
หนังสือธรรมะในศาลา
ชุดในพรรษา ปี ๒๕๕๘







"..เปรียบอุปมา
เหมือนกับความมืด
เมื่อเราจุดไฟขึ้น
ความมืดก็หายไป

ฉันใด เมื่อใจเราดีแล้ว
ความชั่วทั้งหลาย
ก็หายไปฉันนั้น "

โอวาทธรรม
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







จุดมุ่งหมายที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา คือความพ้นทุกข์ เราต้องรักษาเจตนาของเราให้ไปตลอดรอดฝั่งให้ได้ อย่าให้เจตนาของเราไขว้เขวออกไป ไม่ว่าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะมาฉุดลากให้จิตใจของเราไขว้เขวออกไป เราต้องรู้จักเตือนตัวเราเอง ให้พวกเราพากันตั้งใจ

ครูบาอาจารย์ท่านปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ก็คือจุดนี้แหละ เพราะฉะนั้น การภาวนาของเรา ถ้าเรามีความพากเพียรอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็จะไม่มีคำว่าโมฆะ ให้พากันพากเพียรลงไป ความประมาทนอนใจไม่ทำให้คนเราประเสริฐขึ้นมาได้ ความประมาทนอนใจถ้ามีอยู่ในบุคคลผู้ใดแล้ว มันล้วนแต่จะทำให้บุคคลผู้นั้นเสื่อมลง ให้ตื่นตัวขึ้นมาด้วยความกระฉับกระเฉงที่จะประกอบความพากความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ถึงจะเป็นหนทางที่จะทำให้พวกเราเจริญในธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓












โดยปกติครูบาอาจารย์ท่านมักจะเน้นลงไปในความหลีกเร้นปลีกแวะ ท่านไม่ให้ไปคลุกคลีหรือไปเกี่ยวข้องกันถ้าไม่มีเหตุจำเป็น เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติต้องเป็นผู้ยินดีในการเป็นผู้อยู่คนเดียว ถ้าไม่เป็นผู้ยินดีในการอยู่คนเดียวนั้น เวลาปฏิบัติมันก็จะเป็นไปได้โดยยาก

เราลองมองย้อนมาเปรียบเทียบกับตัวของเราเอง ว่าเราจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแบบไหน เราจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมด้วยการคลุกคลีเกี่ยวข้องเกาะเกี่ยวกับหมู่เพื่อนอยู่ตลอดอย่างนั้นหรือ ถ้าหากเป็นแบบนั้นมันก็เป็นการออกนอกลู่นอกทางจากพระศาสดาออกไป แล้วมันจะเจริญในธรรมกันได้อย่างไร เพราะการจะเป็นผู้เจริญในธรรมมันต้องก็เดินไปบนเส้นทางเดียวกันกับพระศาสดา พระศาสดาท่านนำพาเป็นผู้ยินดีพอใจในความวิเวกความสงัดความปลีกแวะออกจากหมู่คณะ ความเป็นผู้ยินดีในการอยู่คนเดียว พระศาสดาพระองค์ท่านพาดำเนินแบบนั้นตลอดมา เพราะฉะนั้นถ้าหากเรายินดีที่จะเดินตามปฏิปทาขององค์ศาสดาแล้ว เชื่อเถิดว่าจุดหมายปลายทางที่พระศาสดาท่านทรงได้ถึงแล้ว จุดหมายปลายทางอันนั้นก็จะเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเราทุกคนด้วยเช่นกัน

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔








#พรหมวิหาร4มีอะไรบ้าง คือ

1.-
เมตตา ความรัก มีความรู้สึกจากการตื่นนอน ก็ตั้งใจเสียทีเดียวว่า วันนี้เราจะรักตัวเดียว คำว่าเกลียด ไม่มีในใจของเรา เราจะมีความรักในตัวเราเองด้วย มีความรักในบุคคลอื่นด้วย มีความรักในวัตถุด้วย ความรักในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกามารมณ์ หมายถึง เมตตา ตัวรักในฐานะเป็นเพื่อน ในฐานะเป็นมิตรที่ดี เรารักตัวเราคือเราไม่ทำลายตัวเรา เรารักคนอื่นคือ เราไม่ทำลายคนอื่น เรารักสัตว์ เราไม่ทำลายสัตว์ เรารักวัตถุ เราไม่ทำลายวัตถุ ทำจิตรักเป็นอันดับแรกว่า เราจะเป็นมิตรที่ดีหรือรักคนทั้งโลก รักสัตว์ทั้งโลกเหมือนกัน รักวัตถุที่เขาใช้ ของใช้ของหวงแหนของแต่ละบุคคล ของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี เราจะรัก ไม่ทำลายไม่ยื้อแย่งของเขา ตั้งใจตามนี้นะ เช้ามืดเริ่มตอนนี้เลย และต่อมาเมื่ออารมณ์ทรงตัวดีแล้ว เราก็คิดว่าความรักก็ดี กฎ 4 ข้อก็ตาม จะประจำใจเราตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกว่าจะหลับ

2.-
อารมณ์สงสาร เราไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำร้ายร่างกายเรา ไม่ทำร้ายบุคคลอื่น ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ทำร้ายวัตถู ไม่ทำอันตรายกับเขาเพราะความสงสาร มีความปรารถนา จะเกื้อกูลให้ทุกคนมีความสุข เห็นใครมีทุกข์ อยากจะมีสุข ถ้าช่วยได้ไม่เกินวิสัย เราจะช่วย และต่อมาคือ

3.-
มุฑิตา จิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดี พลอยยินดีด้วย ตั้งใจไว้ตามนี้ อย่าไปแย่งความดีของเขา เขาทำความดีแบบไหน เราตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อมีความดีเสมอเขาหรือดีกว่าเขา แต่ว่าอย่าให้เป็นมานะทิฏฐิ ถ้าเธอทำได้ดีแค่นี้นะรึ ฉันทำได้ดีกว่า กลายเป็นมานะทิฏฐิ นี่ไม่ถูกต้อง อย่างนี้ผิด ไปอบายภูมิจิตหมอง ต้องคิดว่าความดีมีอยู่ เราต้องทำความดีอย่างเขา แต่เผอิญมันจะดีกว่า เขาได้ก็เป็นปลื้มใจของเรา ไม่เหยียดหยามเขา

4.-
อุเบกขา วางเฉย นั่นหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ จะเป็นคนก็ตาม จะเป็นสัตว์ก็ตาม เราจะไม่ซ้ำเติม เราจะช่วยเขาให้มีความสุข ถ้าเกินวิสัยที่เราจะพึงช่วยได้ ก็เฉยไว้ก่อน ไม่ซ้ำเติมเขา พร้อมที่จะช่วยเหลือ

#อารมณ์อย่างนี้ต้องมีประจำใจของทุกท่าน

ตั้งแต่ลืมตาใหม่ ๆ จนกว่าจะหลับตานอนหลับไปเลย นี่เป็นอันดับที่ 1 ที่เราจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า และก็อันดับนี้คือ พรหมวิหาร 4 การกั้นนิวรณ์ เราจะทรงตลอดไป มันก็เผลอบ้างอะไรบ้างเป็นของธรรมดาใหม่ ๆ แต่ถ้าเป็นพระอริยะจริง ๆ ไม่มีคำว่าเผลอ

พรหมวิหาร 4 นี่พระอริยเจ้าไม่เผลอ ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงขึ้นไป พรหมวิหาร 4 ยิ่งหนักต้องประจำใจเพื่อประโยชน์ในความเป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์

#หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ
#หลวงพ่อฤาษีลิงดำ #วัดท่าซุง










#อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม

พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง (พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ) ท่านได้ปรารภให้ได้ยินเนืองๆ ว่า …

ในอดีตท่านเคยขับเกวียนทับเด็กตาย โดยจงใจเจตนา ดังนั้นท่านจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น คือจะต้องถูกรถทับจนเสียชีวิตแน่ในภพชาตินี้

ท่านปรารภอยู่หลายปี และแล้ววันหนึ่งท่านก็เตรียมตัวออกเดินทางจากวัด เมื่อถูกทักท้วงว่า รุ่งขึ้นจึงจะถึงวันที่ท่านได้รับอาราธนาไปในการทำบุญที่บ้านหนึ่ง ท่านก็ตอบง่ายๆ ตรงไปตรงมาว่า

“ถึงเวลา วันนั้นแหละถูกแล้ว”

ไม่มีผู้เข้าใจความหมายของท่าน และในวันนั้นเอง เมื่อออกไปพ้นวัดเพียงไม่นาน รถที่ท่านนั่งไปก็คว่ำทับร่างของท่านมรณภาพทันที ท่านมรณภาพองค์เดียว คนอื่นทุกคนปลอดภัย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ได้มีการทำศพท่าน ปรากฏว่าอัฐิของท่านที่ยังไม่ทันเย็นสนิท ได้กลายเป็นมณีสีสวยงามต่างๆ กัน ที่รู้จักกันดีในบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายว่า นั่นคือ “พระธาตุ”

นั่นคือ เครื่องหมายแสดงความไกลกิเลสสิ้นเชิงแล้ว พระอาจารย์องค์นี้ท่านไม่เพียงแสดงให้เห็นอำนาจของกรรม ที่ผู้ใดได้ทำแล้วจักต้องได้รับผล #แม้จะปฏิบัติธรรมสูงสุดก็ยังหนีไม่พ้น ท่านยังแสดงให้เข้าใจด้วยว่า

“ทุกชีวิตผ่านภพชาติในอดีตมาแล้ว และต้องผ่านมามากมายด้วยกันทั้งนั้น”

พระนิพนธ์: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19








ตอนที่ 1 เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจทิ้งมรดก 285,000,000,000 ล้าน มาบวชแล้วไม่ยอมสึกอีกเลย

เคยบวชเณรเพราะโยมแม่ขอร้องแล้วครั้งหนึ่ง ที่วัดป่าสาลวันกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แล้วถูกส่งไปวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนกลับไปเรียนที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2532 แล้วกลับมาบวชอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน

โอวาทธรรม
พระอาจารย์สิริปัญโญ (Ajanh Siripannyo)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร