วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2021, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…อบายมุข
เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความเสื่อม

.ถ้าไปเกี่ยวข้องกับสุรายาเมา
เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน
คบคนชั่วเป็นมิตร
มีความเกียจคร้านแล้ว
จะหาความเจริญไม่ได้

.จะตกต่ำไปเรื่อยๆ
ตายไปก็ต้องไปใช้กรรมต่ออีก
“ ไม่ใช่จะหมดเพียงแค่ชีวิตนี้เท่านั้น “.
………………………………………….
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ 35 กัณฑ์ที่ ๓๓๔
๒ มิถุนายน ๒๕๕๐






คนสมัยนี้ ทาตาดำ ๆ ปานว่าถืกตี หน้าเหี่ยว กะไปตัดไปดึง ถ้าทนเจ็บได้ขนาดนั้น มานั่งภาวนานี่ หม่องสิได้บุญหลาย

คำสอน หลวงปู่ไม อินทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง จ.นครราชสีมา







#บทเรียนจากหลวงพ่อชา..!!"

".. พูดถึงวุฒิการศึกษาทางโลก หลวงพ่อชา สุภทฺโท จบแค่ชั้นป. ๑ เท่านั้น แต่ท่านมีลูกศิษย์ที่จบปริญญามากมาย ที่เป็นดอกเตอร์
ก็มิใช่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังมีชาวต่างประเทศ ความรู้สูง มาบวชกับท่านเป็นจำนวนมาก.. "

..เรื่องหนึ่งที่ผู้คนสอบถามท่านเสมอ ก็คือ
ท่านสอนฝรั่งได้อย่างไรในเมื่อท่านไม่รู้ภาษาอังกฤษเลย คำตอบของท่านก็คือ “ที่บ้านโยมมีสัตว์เลี้ยงไหม อย่างหมาแมว หรือวัวควายอย่างนี้ เวลาพูดกับมัน โยมต้องรู้ภาษาของมันด้วยหรือเปล่า..!!?”

..สำหรับหลวงพ่อชา การสอนที่สำคัญ มิใช่
การพูด แต่อยู่ที่การทำให้ดูและชวนให้ทำ ซึ่งใคร ๆ สามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยภาษาใด ๆ

“พาเขาทำเอาเลย ทำดีได้ดี ถ้าทำไม่ดีก็ได้ของไม่ดี พาเขาทำดู เมื่อทำจริง ๆ ก็เลยได้ดี เขาก็เลยเชื่อ ไม่ใช่มาอ่านหนังสือเท่านั้นนะ ทำจริง ๆ นี่แหละ สิ่งใดไม่ดีก็ละมัน อันไหนไม่ดีก็เลิกมันเสีย มันก็เป็นความดีขึ้นมา”

..การเรียนรู้จากการทำนั้นให้ผล ที่ยั่งยืนกว่า เช่นเดียวกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ ไม่ว่าประสบการณ์นั้นจะดีหรือไม่ดี ก็สามารถสอนใจเราได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะรู้จักมองหรือเก็บเกี่ยวบทเรียนหรือไม่

..หลวงพ่อสุเมโธ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันและเป็นพระฝรั่งรูปแรกที่มาอยู่กับหลวงพ่อชาเล่าว่า.. มีคราวหนึ่งหลวงพ่อชาสั่งให้ท่านขึ้นเทศน์ ๓ ชั่วโมงโดยไม่ทันได้เตรียมตัว ทั้งกำชับว่าห้ามลงก่อนหมดเวลา ช่วงแรก ๆ ท่านก็เทศน์ได้เรื่อย ๆ เพราะมีเรื่องพูด แต่เมื่อเทศน์นานเข้า ก็ไม่รู้ว่าจะเทศน์อะไร ต้องพูดวนไปเวียนมา ตอนนั้นภาษาไทยก็ไม่คล่อง ผลก็คือคนฟัง..
นั่งหลับเป็นส่วนใหญ่

..ใครที่เจอประสบการณ์แบบนี้ ย่อมรู้สึกแย่ และอาจถึงกับสูญเสียความมั่นใจในการพูด ตามมาด้วยความหงุดหงิดขัดเคืองใจ

..แต่สำหรับหลวงพ่อสุเมโธ ประสบการณ์
ครั้งนั้นมีประโยชน์มาก เพราะช่วย “แก้กิเลส” หรือลดอัตตาของท่านได้ดี “นิสัยของชาวอเมริกันเรามีอัตตาสูง ความเชื่อมั่นในตัวเอง
มีมาก เวลาขึ้นธรรมาสน์ ก็อยากจะเทศน์ให้
น่าฟัง อยากจะให้ทุกคนฟังด้วยความตั้งใจ
แต่ถ้าเห็นใครง่วงนอนหรือไม่ตั้งใจฟังก็อยากจะหยุดพูดทันที เป็นเพราะจิตใจเรายังมีความหวั่นไหวกับโลกธรรมอยู่”

..ยิ่งมีอัตตา ก็ยิ่งจำเป็นต้องถูกถอนอัตตา ในทำนองเดียวกัน ยิ่งกลัวความล้มเหลว ไม่อยากได้คำตำหนิ ก็ยิ่งจำเป็นต้องเจอความล้มเหลวและคำตำหนิ จิตใจจะได้มั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งนั้น นี้เป็นหลักการสอนข้อหนึ่งของหลวงพ่อชาก็ว่าได้

..พระฝรั่งอีกรูปหนึ่งที่ได้บทเรียนดังกล่าว
จากหลวงพ่อชาก็คือ พระอาจารย์ญาณธัมโม ชาวออสเตรเลีย วันหนึ่งท่านมีเรื่องขัดใจ กับพระรูปหนึ่งที่วัด รู้สึกหงุดหงิดตลอดทั้งวัน วันรุ่งขึ้น​ ระหว่างเดินบิณฑบาตก็ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องนั้นตลอดทาง พอกลับเข้าวัดก็เห็นหลวงพ่อชาเดินสวนมา ท่านยิ้มให้และทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่า กู๊ดมอร์นิ่ง เพียงเท่านั้น.. อารมณ์ของพระอาจารย์ญาณธัมโมก็เปลี่ยนไปทันที ความหงุดหงิดขุ่นมัวหายไปเป็นปลิดทิ้ง มีความปลื้มปีติมาแทนที่

..ตกเย็นหลวงพ่อชาสั่งให้ท่านเข้าไป ถวาย
การนวดที่กุฏิเป็นการส่วนตัว ท่านรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากเพราะโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดสองต่อสองเช่นนั้นหาได้ยากมาก เพราะท่านยังเป็นพระใหม่ ท่านถวายการนวดอย่าง ตั้งอก
ตั้งใจด้วยความปลื้มปีติ แต่จู่ ๆ โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว “หลวงพ่อชาก็ถีบเปรี้ยงเข้าที่ยอดอก ซึ่งกำลังพองโตด้วยความรู้สึกภาคภูมิของอาตมา จนล้มก้นกระแทก”

..ความตกใจและมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้นหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้ยินคำตำหนิของหลวงพ่อชาว่า “จิตใจไม่มั่นคง พอไม่ได้ดังใจ ก็ขัดเคือง หงุดหงิด เมื่อได้ตามปรารถนา ก็ฟูฟ่อง”

"เพียงเท่านั้นพระอาจารย์ญาณธัมโมถึงกับร้องไห้ ไม่ใช่เสียใจเพราะถูกด่า แต่เพราะซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน"

“หลวงพ่อเมตตามากที่ชี้กิเลสของเรา ไม่เช่นนั้นเราก็คงมืดบอดมองไม่เห็น คงเป็นคนหลงอารมณ์ไปอีกนาน”

นี้เป็นบทเรียนสอนใจให้มั่นคงจากหลวงพ่อชาที่พระอาจารย์ญาณธัมโมไม่เคยลืมเลือน

#การเรียนรู้ที่ดีนั้นต้องเกิดจากการเจอ_ของจริง
#แม้เป็นของจริงที่ไม่พึงปรารถนา_แต่มันก็สามารถสอนใจและฝึกใจเราได้มาก
#จะว่าไปแล้วคนเราเรียนรู้จากสิ่งที่ขัดใจได้มากกว่าสิ่งที่ถูกใจด้วยซ้ำ

#จากหนังสือลำธารริมลานธรรม
#เขียนโดยพระไพศาล_วิสาโล








#ธรรมดาจิตนั้นนะ_มันมีเวลาขยันและขี้เกียจ

ถ้าทำเพียรด้วยสัจจะ เราต้องทำเรื่อยทั้งที่ขี้เกียจ ทำจิตให้จิตรู้อยู่ การรู้ภายใน การฉลาดภายในจิตจะเป็นอย่างนี้ การทำทุกวัน บางทีสงบ บางทีไม่สงบ เป็นอนิจจัง

เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว จะมองไปที่ไหน..จะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา

#ธรรมะโอวาท #หลวงพ่อชา








โลกนี้มันโลกมายาต่างหาก ไม่สมควรที่เราเป็นธรรมะ จะต้องไปหลงใหลกับเค้า

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย







#แนวทางปฏิบัติเรื่องของใจ

"พวกเราเวลานี้ก็ฟังมากจนเหลือเกิน ในเมื่อฟังมากๆ ไม่รู้จักประมวล มันก็เสร็จแค่นั้นเอง เราก็ลองประมวลดูซิที่สอนๆมาทั้งหมดคืออะไรบ้าง ไล่ไปแล้วสรุปผลเนี่ยมันเข้ามาสู่อะไรกันแน่ นะ นอกจากกายกับจิตแล้วมันมีอะไร คำว่านอกจากกายและจิตนั่น กายน่ะมันมีอะไร ธรรมะทั้งหมดประมวลเข้ามาสู่กาย ถ้าจะเล่าถึงความไม่เที่ยง ก็เอาอะไรมาไม่เที่ยง จะเล่าถึงความเป็นทุกข์ เอาอะไรมาเป็นทุกข์ เราลองดูซิ เล่าถึงความเป็นอนัตตา เอาอะไรมาเป็นอนัตตา

ส่วนใจนั้นคืออะไร..เป็นผู้รับรู้ แล้วจะเกิดความรู้สึกตามเหตุที่กระทบ อันนี้เป็นเรื่องของจิต แล้วก็ใช้ปัญญาตรองเข้าไปแก้ไข ก็แก้ไขจิต เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็หมายความว่ามีกายกับจิต

ยิ่งจะมามองถึงอายตนะ ภายนอก ภายใน มันก็มีหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ เราลองดูเองก็แล้วกัน มองดูให้ดีๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะหกภายใน อายตนะภายนอกล่ะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหลายเหล่านั้นมันหมายความว่ายังไง ก็ใจเราหลงใช่ไหม แล้วหลงเรื่องอะไร ลองดูซิ มันหลงเรื่องอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเพื่อกายเหรอ ลองดูซิ ลองดูให้ดีๆ

ตาเห็นรูป ก็ลองมองดูดีๆ ต้องการ ไม่ต้องการ ต้องการเพื่ออะไร ไม่ต้องการเพราะอะไร เพราะอะไรจึงไม่ต้องการ สรุปแล้วไม่ใช่อยู่ที่กายกับใจเท่านั้นหรือ ลองไล่ดูซิ หูที่ฟังเสียงเช่นกัน เช่นกัน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกต้องสัมผัส แล้วก็ใจมีอารมณ์ เราลองคิดดูก็แล้วกัน อ่านทวนไปดีๆซิ ทวนไปทวนมา ทบทวนให้ละเอียดลออซิ ได้ความว่ายังไงกันแน่ มันสรุปเข้ามาแค่นี้ มันไม่ไปไหนเลย จะเทศน์ไปไกลแค่ไหนก็มารวมอยู่แค่นี้

สรุปให้ถึงที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่ท่านชี้ไปทั้งหมดเนี่ย ตามหลักพระไตรปิฎกลองอ่านดูมากมายเหลือเกิน สรุปแล้วทั้งหมดประมวลแล้วมันเข้ามาจุดเดียว คือทำให้ใจรู้สภาพความเป็นจริงของกาย ทั้งเราและเขา ได้แก่รูปอันนี้เท่านั้นเอง ว่าสภาพความเป็นจริงมันเป็นยังไง ให้จิตยอมรับ จะพลิกไปทางไหน แพลงไปทางไหนก็แล้วแต่ ประมวลเข้ามาแล้วเวลานี้ เราหลงเรื่องอะไร๊ มองให้ดีๆก็แล้วกัน ก็เพื่อต้องการให้ใจเข้าใจสภาพความเป็นจริงอันนั้น ไม่ทวนกระแส ให้เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงของเค้าจริงๆดูซิ เท่านั้นเองน่ะ มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ถ้าใจของเรายอมรับสภาพความเป็นจริง คือสังขารร่างกายเนี่ย เป็นสภาพไม่เที่ยง แปรปรวน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เราเข้าใจสามอย่างเนี้ยให้ชัดๆออกมาซิ ให้จิตยอมรับจริงจริ้ง! ไม่ใช่รู้เฉพาะประสาทสมอง ให้ใจยอมรับสภาพอันนี้จริงๆซิ มันจะเป็นยังไงกันความรู้สึก นี่อยากลองถามผู้ปฏิบัติดู ลองดูซิ ถ้าใจยอมรับสภาพความเป็นจริงอันนี้อย่างถูกต้องแล้ว ความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง เราจะรู้ได้ทันทีว่า โลกนี้ไม่มีอะไรน่าหลง หลงเบื้องต้นก็หลงเราซะก่อน นอกจากหลงเราก็หลงเขา หลงเพื่อจะนำมาเพื่ออะไร ก็ดูเอง ตลอดดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่ออะไร มองดู หรือจะมองในรูปกิเลส โลภ โกรธ หลง เอาแค่นั้นก็แล้วกัน โลภเพราะอะไร สิ่งที่ต้องการอยากได้ทั้งปวงนั้นเพื่ออะไร ก็ไม่ใช่เพื่อกายนี่หรือ โกรธ ทำไมถึงโกรธ ลองคิดให้ดีๆซิ นี่ก็เป็นเรื่องของจิต โกรธ กลัวเขาจะไม่นิยมเรา เขาดูถูกเรา กลัวคนอื่นหาว่าเราไม่ดี กลัวจะไม่มีเพื่อนฝูง กลัวคนจะไม่รัก ไม่นับถือ กลัวเขาจะนำไปนินทาต่อไป อะไรต่างๆทั้งหมดนี้ มันเพื่ออะไรอีก ลองอ่านดูดีๆ มันหนีไปไม่พ้น หลง คืออะไรหลง ก็มีหลงรักกับหลงชัง ก็แค่นั้นเอง หลงรักกับหลงชัง หลงรักเอามาเพื่ออะไร ชังทำไม ลองดูซิ ถ้าไม่เผื่อเรื่องแค่นี้ เนี่ยต้นตอมันไปจากนี่ทั้งหมด ต้นตอ

เพราะเรายึดว่าเราเป็นเรา อันเนี้ยขึ้นมาก่อน มันก็โยงใยเข้าไปหาอย่างอื่น ลามปามไปหาอย่างอื่น สรุปแล้วตัวยืนพื้นจริงๆก็คือตัวเรานี่เอง คือกายของเรานี่ ที่เราหึงเราหวง เราดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อกายของเรา อันนี้ลองคิดดูดีๆเถอะ แล้วก็เรื่องกายเรื่องจิตเนี่ยสองอย่างมันพัวพันกันอยู่

โดยสรุปผลแล้วคืออะไร เพื่อหาวิธีให้ใจยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้ มองดูดีนะๆ สิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เรากำลังหลงอยู่เหล่านี้ เราเป็นต้นตอ ตัวต้นตอที่เราดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อเขา ป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่มาขัดขวางต่อสิ่งทั้งปวงที่เราจะนำมาเพื่อเขา อะไรสุดแล้วแต่ มันโยงใยกันจากตัวนี้ ถ้าเรามาเข้าใจตัวนี้ไม่ใช่เรา เพียงแค่ธาตุประชุมกันอยู่ เขาจะต้องสลายไปวันหนึ่งแน่นอน ตัวของเราจริงๆคือใจ..จะต้องไปต่อภพ ให้มันชัด!ออกมาซิ ให้มันชัดออกมาจริงๆ ลองมองให้มันชัดๆซิ ถ้าเราสามารถรู้กายของเรานี้อย่างถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของเขาแล้ว อะไรมันเป็นสิ่งที่น่าหลงในโลกนี้ ถ้ามันยอมรับอย่างเดียวแล้ว มีแต่สิ่งที่น่าเศร้าสลด มองแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง เป็นสิ่งที่ไม่น่าหลง เราจะเห็นได้ชัดด้วยตัวของเราเอง อันนี้

อะไรมันหลงล่ะ ก็ใจนั่นแหละ หลงรักหลงชังก็คือใจนั่นแหละ มันเกิดขึ้น แล้วก็ใจตัวนั้นแหละ..มันมายึดว่ากายนี้อีกซะล่ะ เป็นของเขา เขาก็ต้องการสิ่งเหล่านั้นมาปรนเปรอนี้ ป้องกันสิ่งที่ขัดขวาง จึงได้มีความโกรธขึ้นมา เขามาทำลายสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาดูถูกเรา กลัวจะไม่มีลาภสักการะ กลัวคนเขาจะว่าเราไม่ดี กลัวจะไม่มีชื่อเสียง กลัวจะไม่มีลาภสักการะ ไอ้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นโลกธรรมแปดนั้น ไอ้ตัวที่มันเล่นละครที่กระโดดโลดเต้น ก่อให้เกิดทุกข์วุ่นวายอยู่นั้นคือจิต เนื่องจากมันหลงกายของตัวเองเป็นเบื้องต้น จึงไปหลงกายผู้อื่น จึงไปหลงสิ่งต่างๆที่จะเอามาบำรุงปรนเปรออะไรส่วนร่างกาย ซึ่งเขายึดว่าเป็นเขาอยู่นี่ อันเนี้ยมันหนีไปไหนไม่พ้น

พระไตรปิฎกทั้งกือ อ่านไปเถ๊อะ..สรุปแล้วมันประมวลลงมานี่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้สอนให้พิจารณาเข้าใจสภาพของง่ายๆ แค่สามอย่าง สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะไปเอาอะไรมากมาย เอาตัวเนี้ยเป็นหลักยืนพื้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ยัดเยียดเอาความจริงเข้ามาให้จิตรับซะ"

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย








หาความสมหวังไม่ได้ โลกอันนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งที่สมหวังได้อย่างแน่นอน คือ พุทโธ เครื่องระลึกรู้ความตาย และยับยั้งตน ไม่ให้หลงลืมจนเกินไป...

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน








#อ้อคนเรามาหลงอยู่ตรงหนังนี่เอง

หลวงปู่แหวนเพ่งพิจารณาหาอุบายกำราบจิตใหม่โดยการเพ่งเอาร่างกายของหญิงงาม นั้นยกขึ้นมาแล้วพิจารณากายคตาสติ แยกอาการ ๓๒ นั้นทีละส่วน โดยอนุโลม ปฏิโลมเทียบเข้าหากายของตน

พิจารณาละเอียดให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อวัยวะแต่ละส่วนของหญิงนั้นก็มีเหมือนกันทุกอย่าง จะผิดแผกแตกต่างกันก็ด้วยลักษณะแห่งเพศเท่านั้น

หลวงปู่ทรงสมาธิแล้วพิจารณาอยู่เช่นนั้นกลับไปกลับมา ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญาพิจารณา กายคตาสติ ไปจนถึงหนัง

ถ้าถลกหนังที่ห่อหุ้มเนื้อออกจนหมด ความจริงก็ปรากฏทันที นั่นคือเนื้อกายซึ่งปราศจากผิวหนังห่อหุ้มอยู่ย่อมีสภาพที่ ไม่น่าดู หรือ ดูไม่ได้เอาเสียเลย เพราะเหลือแต่เนื้อแดง ๆ เยิ้มด้วยน้ำเหลือง มีเส้นเลือดผุดพราวไปทั่ว

"ตัวรู้" ก็บอกว่าหากหญิงงามไม่มีหนังหุ้ม เหลือแต่เนื้อแดง ๆ ใครเล่าจะพิศวาสได้ลงคอ

อ้อ... คนเรามา "หลง" อยู่ตรง "หนัง" นี่เอง

ปัญญาเพ่งพินิจต่อไปอีกจนเห็นความเน่าเปื่อยแล้วก็สลายกาย เป็นกองเนื้อเน่า ๆ และกองกระดูกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรตั้งอยู่ทรงสภาพเดิมไว้ได้อีก ไม่มีส่วนไหนจะคงอยู่ได้เลย

ปัญญาเพ่งต่อไปถึง มูตร (ปัสสาวะ) และ กรีษ (อุจจาระ) ของหญิงงาม ปัญญาก็ตั้งคำถามอีกว่า ที่หญิงงาม น่ารัก น่าพิศวาสนั้น มูตรกับกรีษงามด้วยหรือเปล่า กินได้ไหม เอามาตระกองกอดได้ไหม "จิต" ตอบว่า "ไม่ได้"

ปัญญาก็ตั้งคำถามอีกว่า เมื่อกินไม่ได้ เอามาตระกองกอดไม่ได้ แล้วอันไหนล่ะที่ว่างาม อันไหนที่ว่าดี

จิตโดนปัญญาซักฟอกอย่างหนักเช่นนั้นก็ตอบไม่ได้ หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ จิตมันก็อ่อนลงเพราะจนด้วยเหตุผลของปัญญา ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ยอมสารภาพผิดแต่โดยดี

จิตซึ่งเคยโลดแล่นแส่ส่ายออกไปตามวิสัยความอยากของมันก็พลันถึงความสงบ ไม่กำเริบร้อนเร่าอีก

หลวงปู่แหวนยังไม่วางใจจิตนัก ท่านจึงทดสอบโดยส่งจิตไปหาหญิงงามบ้านนาสอง ริมฝั่งแม่น้ำงึมหลายครั้ง แต่จิตก็ไม่ยอมโลดแล่นไปอีก จิตคงทรงอยู่ในความสงบเพราะได้เห็นความเป็นจริงของธรรมแล้ว

การอดอาหาร และทำความเพียรอย่างยิ่งยวด เพื่อเอาชนะกิเลสมารของหลวงปู่แหวนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ จิตของท่านรู้แจ้งเห็นจริงในภัยของมาตุคาม อย่างทะลุปรุโปร่งและสิ้นพยศตั้งแต่นั้น...ตลอดไป

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่







#กิเลสหลอกเราถึงเพียงนี้เชียวหรอ

หนังของคน ของหญิงของชายหรือของสัตว์ตัวใดก็ตาม เมื่อถลกหนังออกมาดูแล้วหนังน่าดูไหม สวยงามตามที่กิเลสเสกสรรปั้นยอนั้นจริง ๆ ไหมหรือไม่จริง

ถ้าไม่จริงก็ได้ทราบกันชัด ๆ ว่ากิเลสหลอกเราถึงขนาดนี้เชียวเหรอ มันก็ต้องเห็นโทษกัน

ความจริงมันหาความสวยงามที่ไหน ข้างในก็เยิ้มไปด้วยเลือดด้วยเนื้อ เต็มไปด้วยของปฏิกูล ข้างนอกก็มีแต่ขี้เหงื่อขี้ไคลชะล้างกันทั้งข้างบนข้างล่าง มีแต่ขี้เต็มตัว แล้วยังมาเสกสรรปั้นยอเอาว่าเป็นดีเป็นของดี

ก็เห็นแต่สุนัขเท่านั้นเห็นอาจมว่าเป็นอาหารว่าเอร็ดอร่อย มนุษย์เราไม่ใช่สุนัข เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติเราไม่ใช่สุนัข เหตุใดจึงจะต้องไปเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของสวยของงามเป็นของที่น่ารักใคร่ชอบใจซึ่งเป็นเหมือนอาจม แล้วดูดดื่มด้วยอารมณ์รักชอบ ด้วยความว่าเป็นของสวยของงาม ทั้งๆ ที่มันจอมปลอมแล้วเสกสรรปั้นยอ

หลงมันไปทำไมกิเลส ธรรมเป็นเครื่องแก้มีอยู่นำมาชะมาล้างกันให้ถึงความจริง

แตะต้องกันได้อย่างไรเมื่อถลกหนังออกมาแล้ว เอ้า ดูเนื้อในคนในสัตว์เป็นอย่างไร แดงโร่ไปหมดทั้งตัว แล้วดูเข้าไปกำหนดพิจารณาเข้าไป ลึกเท่าไรยิ่งเห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวน่าอิดหนาระอาใจเต็มไปหมดทั้งร่าง ข้างบนข้างล่างด้านขวางสถานกลาง

#หลวงตาพระมหาบัว #ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓








#ธรรมเป็นของกลางไม่เลือกเพศเลือกฐานะในสมมุติ

เราจะมัวคิดว่า #เราเป็นหญิงเราเป็นฆราวาส เราไม่สามารถจะทำ #พระนิพพาน ให้แจ้งได้

นั้นเป็น #ความสำคัญผิดของเราซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสประเภทหนึ่ง หลอกเราเหมือนกัน

#ธรรมเป็นของจริงและเป็นสมบัติกลางเสมอ

ไม่ว่า #ผู้หญิงผู้ชายไม่ว่านักบวชฆราวาสสติปัญญามีได้ด้วยกันแก้กิเลสได้ด้วยกัน

เมื่อพอใจแก้กิเลสได้ด้วยวิธีใด หญิงใด ชายใด ฆราวาสใด พระองค์ใดก็ตาม สามารถแก้ได้ด้วยกัน และพ้นไปได้ด้วยกัน

ไม่ต้องไปสร้างปัญหากวนใจให้เสียเวล่ำเวลา

เรามีอำนาจวาสนามาจากไหน นั่น !! อย่าไปคิด

เรากำลังสร้างบุญวาสนาอยู่นี่ มากหรือน้อย ก็เห็นอยู่กับ #จิต นี่เองแหละ
..

เมื่อสติปัญญาสมบูรณ์พร้อมเมื่อใด ก็ผ่านไปได้ด้วยกัน ไม่มีปัญหาว่าจะต้องเป็นนักบวช

#นี่คือความจริงสัจธรรมไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ

บรรดามนุษย์แล้ว ไม่เลือกเพศหญิงเพศชาย ขอให้บำเพ็ญไปเถิด

เพราะ #ธรรมเป็นของกลางๆ ฟังได้เข้าใจได้ทั้งหญิงและชาย ทั้งนักบวชและฆราวาส ปฏิบัติได้ แก้กิเลสได้

#กิเลสจะไม่นิยมว่าเป็นหญิงเป็นชายคนเรามีกิเลสด้วยกัน

#แม้แต่พระที่เป็นนักบวชก็มีกิเลส จะว่ายังไง !!

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน








"เมื่อใจของเราสงบแล้ว ความสุขความสบายก็เกิดที่นั่น ไม่ได้เกิดที่อื่น ไม่ได้สุขสบายเพราะวัตถุข้าวของทั้งหลายต่างๆ ใจเราสบายเท่านั้นแหละ ความสุข เมื่อใจเราสบายแล้ว ทำอะไรก็สบาย ทำมาหากิน ค้าขาย การอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็สุขก็สบาย ธรรมนั้นก็นำความสุขความสบายให้"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร







"ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก
เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นทางแยก
จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย
เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น
พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี
แล้วจงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ





"บุญนี้ ต้องทำบ่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย
ทำจนเป็นนิสัย บุญจากการทำสมาธินี้เป็นยอดบุญ
พยายามทนทำไปเถอะ พอถึงที่สุดแล้ว มันจะมีพลัง
บัลดาลให้เราพบแต่สิ่งที่ดีงาม แล้วมันก็จะเป็น
กำลังใจให้เราแก้ปัญหาชีวิต ผ่านพ้นวิกฤติไปได้"

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ






"ให้ปรับปรุงตัวเอง ทำตัวเองให้ดีก่อน
เมื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีแล้ว เท่ากับปรับปรุงคนอื่น
พร้อมกันไปด้วย เพราะการสอนที่ดี คือ การทำให้ดู
เป็นตัวอย่าง นั่นเอง"

หลวงปู่จันทร์ กุสโล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร