วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 21:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2021, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้กว้าง ๆ ไม่จำเป็นต้องไปโฟกัส
หรือซูมเข้าไป ที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง

แค่รู้ กว้าง ๆ สบาย ๆ
แค่รู้ แค่รู้สึกไปนะ

วิบากกรรม
เป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆ ชำระออก
เราสะสมมาเนิ่นนาน
อยู่ ๆ จะหลุดทุกสิ่งทุกอย่าง
ดูมันจะง่ายไปถูกไหม ?

ก็แค่รู้ แค่รู้สึก
ค่อย ๆ เพียรปฏิบัติไป
ค่อย ๆ ชำระตนเองไป

สิ่งที่จะช่วยได้มาก ก็คือ
ฝึกตามที่ลงสอนเป็นประจำ เช้า-ค่ำ
อันนี้สำคัญยิ่งในการชำระตนเองนั่นเองนะ
ก็ค่อย ๆ ชำระตนเองไป

ยุคนี้ เป็นยุคที่คนจะมีเรื่องวิบากมาก
ความอัดแน่นข้างใน ต้องเข้าใจนะ

ในสมัยพุทธกาล
ตอนที่พระองค์ตรัสรู้ขึ้นมา
คนที่มีบุญบารมีเต็มเลย
จะเจอก่อนเลย
จะออกันมาช่วงแรก

ช่วงที่พระองค์ประกาศศาสนาแรกๆ
สังเกตว่า คนบรรลุธรรมกันมาก
เพราะว่าท่านที่มีบารมีธรรมเต็มแล้ว
.. ก็จะมารอ

พอหลังจากนั้น
ก็จะค่อย ๆ คลายตัวละ
สังเกต 20 พรรษาหลังนี่
ก็จะเริ่มหลากหลาย
ระดับรองลงไปแล้ว

พระธรรมวินัย
.. ก็จึงเกิดมาก

เพราะว่า
พวกที่อินทรีย์อ่อน จะเริ่มเข้ามามาก
นั่นในสมัยที่พระพุทธเจ้าดำรงอยู่นะ
แล้วนี่เราผ่านมา 2000 กว่าปีแล้วนะ
จะถอยระดับลงมาขนาดไหน ?

เพราะฉะนั้น
เป็นยุคที่คนมีวิบาก
ที่ต้องชำระมาก
เป็นเรื่องธรรมดา

แต่เราได้รับโอกาส
ได้เป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา
ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ชำระตนเองเช่นกัน

เพราะฉะนั้น ให้เพียรชำระตนเอง
ให้มีขันติ มีความอดทน อดกลั้น
ก้าวเดินในวิถีที่ถูกต้อง

ถ้าเราไม่ชำระตอนนี้
เราจะไปชำระกันเมื่อไหร่ ?

ถ้าพ้นจากรอบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ?
เราจะได้มีโอกาสอีก

และความหนักที่ดึงไปสู่ความมืดมิด
เจ็บปวดทุกข์ทรมาน กว่าชีวิตบนมนุษย์โลก
อย่างแสนสาหัส

เรื่องที่เราประสบตอนมีชีวิตอยู่นี้
กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยนะ

เพราะฉะนั้น
#โอกาส อยู่ต่อหน้าเรา
ถ้าเราไม่ชำระกันตอนนี้
จะชำระกันตอนไหน ?

ก็พิจารณากันให้ดีนะ
ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม
ชำระตนเอง คือ วิถี
เป็นสัจธรรมเดียวกัน
ของทุกดวงจิตในวัฏสงสารอยู่แล้ว

เราทำอะไรไว้
เราก็ต้องค่อย ๆ ชำระออกนั่นเอง
.
ธรรมบรรยาย โดย
#พระมหาวรพรต กิต​ฺ​ติ​วโร​
พระวิปัสสนาจารย์







…ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
แล้วไม่เกิดศรัทธา ก็แสดงว่า..
“ จิตใจยังมีความมืดบอดมาก “

.แม้แสงสว่างแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า
ก็ไม่สามารถ..” ส่องทะลุผ่านเข้าไปสู่ใจ “
เพื่อให้เห็นถึงความจริงที่
พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้ ทรงเห็น

.ก็ต้องถือว่า.. “ เป็นบุคคลที่มีกรรมมาก “
เคยสะสมกิเลสตัณหา
โมหะอวิชชา มามาก

.จนไม่สามารถรับธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจ้าได้ .
…………………………………………..
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๑๐, กัณฑ์ที่ ๑๕๕
วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖







หลวงพ่อชาสอนว่าขยันก็ปฏิบัติ ขี้เกียจก็ปฏิบัติ ถ้าใครไปอยู่ที่วัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรม สิ่งแวดล้อมช่วยให้เราชนะใจตัวเองได้ สามารถปฏิบัติทั้งๆ ที่รู้สึกขี้เกียจบ้าง แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว สิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการชนะใจตนเลย ตรงกันข้ามมีแต่สิ่งกระตุ้นกิเลสตลอดเวลา

เงื่อนไขหรือคุณธรรมสำคัญที่จะรับประกันว่าการปฏิบัติของเราจะสม่ำเสมอต่อเนื่องได้ก็คือฉันทะ ฉันทะ คือ ความอยากหรือความปรารถนาฝ่ายกุศล แต่ฉันทะจะเกิดขึ้นได้ด้วยการพิจารณาเห็นโทษของการไม่ภาวนา (ความทุกข์และกิเลสที่ไม่มีวันจบสิ้น) และคุณประโยชน์ของการภาวนาบ่อยๆ (ความเจริญด้วยสติ สมาธิ และปัญญา) จะเกิดด้วยการพิจารณามรณสติบ่อยๆ และจะเกิดด้วยการไม่หักโหม ไม่ทนต่อทุกขเวทนามากเกินไป เพราะถ้าสู้กับเวทนามาก ไม่นานจะเบื่อ ไม่อยากภาวนา ให้อดทนบ้าง แต่ก็ให้รู้จักประมาณ (ผู้ชอบทนเวทนานานๆ ถ้าเกิดเบื่อหน่ายหรืออคติต่อการภาวนา คงเป็นว่าเกินพอดีเสียแล้ว)

โดยสรุปแล้วผู้ที่จะก้าวหน้าในธรรมจนถึงขั้นปฏิบัติชอบ ต้องฝึกให้ชอบปฏิบัติเสียก่อน

พระอาจารย์ชยสาโร






#อานิสงส์รักษาอุโบสถศีล

การให้ทานอันใดๆ ก็ให้กันมามากแล้ว ย่อมมีผลานิสงส์มากเหมือนกัน แต่ยังสู้ผู้เข้ามาบวชเป็นตาผ้าขาว เป็นแม่ชีแล้วรักษาศีลอุโบสถไม่ได้ มีอานิสงส์มากกว่าให้ทานนั้นเสียอีก

ถ้าใครอยากได้บุญมาก ๆ เพื่อได้ไปสวรรค์ ไปพระนิพพาน หรือเพื่อการพ้นทุกข์แล้วละก็ ควรบวชเป็นตาผ้าขาว เป็นแม่ชี รักษาศีลอุโบสถเสียในวันนี้ ”

คำสอน:หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล







#อาศัยซากศพเกาะข้ามแม่น้ำ

ถ้าหากไม่มีซากศพ เราจะข้ามไปโดยกำลังของตัว ก็กลัวจะข้ามไม่ได้ ก็อาศัยเกาะซากศพเน่าไปอย่างนั้นแหละ

พอไปถึงฝั่งเมื่อใด จะทิ้งเมื่อนั้น เพราะซากศพเป็นของปฏิกูล อาศัยซากศพสร้างคุณงามความดีเท่านั้น มิใช่เราจะมาหลงธาตุหลงขันธ์

การเกิดอีก จะเป็นกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ถ้าหากเป็นธาตุเป็นขันธ์ จะต้องนำทุกข์มาให้

รู้ธาตุขันธ์ของตน
ก็ไม่หลงธาตุขันธ์ของบุคคลอื่น

ให้ใจหลุดพ้นในชาตินี้
จะไม่ยอมเกิดอีกตายอีก

ทุ่มเทความพากเพียรลงไป หนักหนาเข้า เอาใจฝักใฝ่ ทำสม่ำเสมอ พินิจพิจารณาไม่หยุดไม่ถอย จะมีวันเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และ อรหันต์ไปได้

#พระอาจารย์สิงห์ทอง #ธัมมวโร
วัดป่าแก้วบ้านชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร









#หัดมองให้เห็นสภาพร่างกายที่ตายแล้ว

หัดมองให้เห็นร่างกายของตนเอง ที่ตายแล้วขึ้นอืดอยู่ในโลง เริ่มปริแตก มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกจากขุมขน เส้นผมเปียกแฉะด้วยเลือดด้วยหนอง ลิ้นที่เคยอยู่ในปากเรียบร้อยก็หลุดออกมาจุก นัยน์ตาถลนเหลือกลาน

รูปร่างหน้าตาของตนเองขณะนั้น อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นจำได้เลย แม้ตัวเองก็จำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้ใครอื่นไม่รังเกียจสะดุ้งกลัว แม้ตัวเองก็ยากจะห้ามความรู้สึกนั้น

ผิวพรรณที่อุตสาหพยายามถนอมรักษาให้งดงามเจริญตาเจริญใจ ใส่หยูกใส่ยา เครื่องอบเครื่องลูบไล้ เครื่องประทินอันมีกลิ่นมีคุณค่าราคาแพงทั้งหลาย มีลักษณะตรงกันข้ามกับความปรารถนาอย่างสิ้นเชิง เมื่อความตายมาถึง

ทรัพย์สมบัติสักนิด เมื่อตายไปก็นำไปไม่ได้


เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษาทะนุบำรุงร่างกายของเขาไว้ได้

แม้สมบัติพัสถานที่แสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญา ความสามารถแม้ด้วยเล่ห์กล เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงตัวของเรา ก็ติดร่างไปไม่ได้เลย

แม้ร่างกายของเราก็ต้องทิ้งไว้ในโลก

เป็นจริงดั่งพุทธศาสนสุภาษิตว่าทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้ ให้ความสุขความสมบูรณ์ ความสะดวกสบาย ความปกป้องคุ้มกันร่างของคนตายไม่ได้ ต้องปล่อยให้ร่างนั้นผุพัง เน่าเปื่อยคืนสู่สภาพเดิม เป็นดิน น้ำ ไฟ ลมประจำโลกต่อไป

ต้องตามพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า
“สัตว์ทั้งปวงจะทิ้งร่างไว้ในโลก”

#สมเด็จพระญาณสังวรฯ






#ธรรมดาจิตนั้นนะ_มันมีเวลาขยันและขี้เกียจ

ถ้าทำเพียรด้วยสัจจะ เราต้องทำเรื่อยทั้งที่ขี้เกียจ ทำจิตให้จิตรู้อยู่ การรู้ภายใน การฉลาดภายในจิตจะเป็นอย่างนี้ การทำทุกวัน บางทีสงบ บางทีไม่สงบ เป็นอนิจจัง

เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว จะมองไปที่ไหน..จะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา

#ธรรมะโอวาท #หลวงพ่อชา







"ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก
เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นทางแยก
จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย
เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น
พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี
แล้วจงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร