วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2021, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#หลวงปู่มั่นอธิบายความแตกต่างระหว่างจิตและอาการของจิต

“พูดถึงอาการทั้งหลาย เหล่านี้ ท่านอาจารย์มั่นท่านบอกว่า เป็นอาการ เราไม่รู้อาการทั้งหลายก็นึกว่าเป็นความจริงทั้งหมด นึกว่าจิตเราทั้งหมด แต่มันเป็นอาการทั้งนั้นน่ะ

พอท่านบอกว่าเป็นอาการ เราสว่างเลยทีเดียว อย่างความดีใจอย่างนี้มันก็มีอยู่ในใจ แต่ว่ามันเป็นอาการ มันคนละอย่างคนละชั้นกันอยู่กับตัวจิต

ถ้าความเป็นจริง รู้แล้วมันก็เลิก มันก็วาง เป็นสมมุติ แล้วมันก็เป็นวิมุตติ มันเป็นอยู่อย่างนี้

คนบางคนก็เอามารวมทั้งหมดเป็นตัวจิตเสีย ความเป็นจริงมันเป็น อาการกับผู้รู้ ติดต่อกันอยู่ ถ้าเรารู้จักอันนี้แล้ว ก็เรียกว่ามันไม่มีอะไรมาก”

อุปลมณี
#หลวงพ่อชา #สุภัทโท
ฟังโอวาทธรรมหลวงปู่มั่นคืนที่สอง



#การอยู่ป่า

ถ้าจิตคิดเป็นเรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องวุ่นวายต่างๆ ก็เท่ากับอยู่ป่าธรรมดา เหมือนกระรอก กระแต ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร

#อยู่ในบ้าน

ถ้าคิดอรรถคิดธรรม ก็ยังดีกว่า มันสำคัญอยู่ที่ใจ ที่คิดถูกหรือผิด

#การพิจารณา

เมื่อพิจารณาร่างกาย ก็เอาให้แหลกลงไปโดยลำดับ ดูตั้งแต่ข้างบนลงไปข้างล่าง ข้างล่างขึ้นมาข้างบน ดูภายใน ดูภายนอก ดูให้ตลอดทั่วถึง มันมีอะไรบ้างอยู่ภายในนี้

#ที่ท่านว่ากรรมฐานห้าคืออะไร?

คือ “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ” ไปถึงนั่นท่านหยุดเสีย เพราะว่า “ตโจ” คือ หนัง หุ้มห่อไปหมดแล้วในร่างกาย คนเราไม่มีหนัง ดูกันไม่ได้เลย

ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าบุคคล เมื่อถลกหนังออกแล้วดูไม่ได้เลย ว่าเป็นหญิง เป็นชายที่ไหน ดูไม่ได้ นี่! มันครอบแล้ว ท่านจึงไม่ได้บอกต่อไป

#เมื่อขยายออกไปท่านก็ว่าไปถึงอาการ๓๒

เอ้า ให้ดูไป อาการไหนก็ดูเถิดเป็นสัจธรรมทั้งนั้น เพื่อจะรื้อถอนกิเลสออกจากใจ ให้พิจารณาจนมีความชำนิชำนาญ แล้วดูอันไหน มันก็เป็นความจริงไปหมด ไม่ตื่นเต้น ไม่ตกใจ ไม่หวั่นไหว จิตใจก็ปราศจากอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เป็นลำดับๆ จะว่ายังไงอีกล่ะ!

#เมื่อมันปล่อยวางภาระออกมาด้วยการพินิจพิจารณาแล้ว #ทำไมจิตจะไม่เบา

จิตจะฟุ้งซ่านไปไหน ฟุ้งซ่านก็ฟุ้งซ่านด้วยความหลง เมื่อรู้แล้วจะฟุ้งซ่านไปทำไม หาความฟุ้งซ่านไม่มี มีแต่ความสงบตัวเข้าไปเรื่อยๆ ทำไมจิตจะไม่เย็นไม่สบาย เย็นสบายอยู่ภายในจิตใจเท่านั้น

ถ้าจิตสงบตัวได้ ไม่วุ่นวายส่ายแส่ คนเราต้องมีความสุข เท่าที่โลกมีความทุกข์ร้อนตลอดมา ไม่มีวันพักผ่อนหย่อนใจได้บ้าง ก็เพราะจิตไม่ได้สงบตัวจากความคิดปรุงต่างๆ บ้างเลยนั่นเอง

#หลวงตามหาบัว #ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นโอสถ








"...ได้ชมวิวสวยงาม
คนเราจะมีความสุขได้นานสักเท่าไร?
ไม่กี่นาที ไม่กี่วินาที ก็ชักร้อนบ้าง
ชักเย็นบ้าง ชักเมื่อยล้าบ้าง
หรือหิวข้าว หรือกระหายนำ้
หรืออยากเข้าห้องนำ้
หรือแค่รู้สึกพอสมควรแล้ว (เบื่อ)
อยากดูรายการต่อไป

ความสุขที่เราได้จากโลกรอบตัว
ก็อย่างนั้นแหละ
#มันมีความพร่องอยู่เป็นนิจ

พร่องเพราะเป็นของ “แค่นั้น”
มันกระตุ้นอารมณ์ชั่วคราวเท่านั้น
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ในขณะเดียวกันร่างกายของเราที่ถูกกระตุ้น
ก็ไว้ใจไม่ได้ มันดูแลยากเหลือเกิน
พร้อมจะเป็นทุกข์ตลอดเวลา
ไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเรา

และที่สำคัญที่สุด
จิตใจผู้เสวยสุขยังมีกิเลสอยู่
จิตมีกิเลสได้อะไรเท่าไรก็ไม่พอ
เพราะพอไม่เป็น

ส่วนจิตที่รับการฝึกอบรมดีแล้ว
ไม่ต้องไปเที่ยวที่ไหน
มองไปทางไหน
ด้วยจิตที่งามและมีปัญญา
ก็มีความสุขทั้งนั้น..."

พระอาจารย์ชยสาโร
ข้อธรรม คำสอน โดยพระอาจารย์ชยสาโร
/ Dhamma by Ajahn Jayasaro







"จิตนี้บางคราวก็ชอบหยุด บางคราวก็ชอบพิจารณา เมื่อจะทำสมาธิในขณะที่จิตหยุดง่าย ก็ให้หยุดอยู่ด้วยใช้อานาปานสติ

แต่ในขณะที่จิตจะเที่ยว ก็ให้เที่ยวไปพิจารณาอยู่ในร่างกายอันนี้ เป็นการใช้ปัญญาพิจารณา ด้วยอารมณ์ที่ชอบใจก็ยินดี เมื่อเป็นอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็ยินร้าย ความยินดียินร้ายนั้นก็กลับมาเป็นตัวกิเลสอีก

เมื่อได้กำหนดให้รู้ความวนในจิตใจของตนที่เป็นตัววัฏฏะ จนเป็นตัวสติและเป็นตัวปัญญาขึ้น ก็เป็นผู้รู้ขึ้น เมื่อเป็นตัวผู้รู้ขึ้นดังนี้จิตก็จะเกิดความสงบ เป็นความสงบด้วยปัญญา คือ ตัวรู้"

พระคติธรรม
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






..คนรวยในโลกนี้ไม่มี มีแต่คนจน คั้นรวยแมนไผ๋รวย แมนพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้า รวยอยู่บอนใด๋ รวยจิตรวยใจ เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้ามาสอนให้พวกเฮาเห็นตนของตน เดี๋ยวนี้เฮาบ่เห็นตนของตน มายึดเอาร่างกาย ในร่างกายกะมีธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกันอยู่นี่ มันบ่แมนสัตว์บ่แมนบุคคลร่างกายนี่ ตนของตนจริงๆมันเป็นนามธรรม คือดวงจิตดวงใจบ่มีรูปบ่มีร่าง แตกกะบ่เป็น ตายกะบ่เป็น เจ็บไข้ได้ป่วยกะบ่เป็น
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้มาปฏิบัติหาวิธีใช้สติ ใช้ปัญญา เฮ็ดจั่งใด๋สิทิ้งร่างกายนี้ได้ ถ้าทิ้งร่างกายนี้ได้ก็จบแล้ว ความสุขอันแท้จริงอยู่ใต้คางของเฮา คืออยู่ในหัวใจ อันนี้ไปหาความสุขอยู่ข้างนอกพุ้น หาจั่งใด๋มันกะบ่พ้อความสุขแท้อยู่ในหัวใจ ฉะนั้นให้พากันทำความเข้าใจ..

โอวาทธรรม
หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
วัดป่าสีห์พนม
อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 97 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร