วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 08:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2021, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…ผู้ที่ไปสู่สุคติ คือ..” ผู้มีศีลมีธรรม “

.ผู้ที่จะไปเกิดในสุคติ ต้องเป็นผู้มีศีลมีธรรมดังนั้นเวลาปฏิบัติไปแล้ว
เกิดมีความรู้สึกว่ามันยาก
ก็ขอให้ฝืนทำไป

.เพราะกำลังปลูกฝังนิสัยใหม่
นิสัยของพระโพธิสัตว์
นิสัยของพระอริยเจ้า

.ไม่ใช่นิสัยของปุถุชน
ที่มีแต่ความโลภโมโทสัน
เราเป็นปุถุชนเพราะ
เรามีความโลภ ความโกรธ มีความหลง .
……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๓, กัณฑ์ที่ ๒๓๒
วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๙






"ร่างกายเป็นรังของโรค ต้องป่วยเจ็บอยู่เสมอ
เป็นธรรมดา เป็นเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
อย่าเศร้าหมองตามการป่วยเจ็บนั้น ทำใจให้
ปลอดโปร่ง และให้นึกเสมอว่าการเจ็บ การตาย
ไม่แน่นอน จะมาถึงเมื่อใดก็ได้ อย่าประมาท อย่ารั้งรอ
ต่อการทำความดี ในขณะที่ยังมีโอกาสทำความดี
จะได้ไม่ต้องเสียใจ แม้ความตายจะมาถึงในวินาที
ใดก็ตาม"

ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต







"จำเอาไว้นะ ไม่ว่าจะเป็นวันอะไร
วัน เดือน ปี ก็เป็นกาลเวลา
ไม่มีผลต่อความเป็นอยู่
ความเจริญรุ่งเรืองของเรา
แต่การกระทำของเราต่างหาก
ที่จะมีผลต่อตัวเราเอง"

หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต






“คนที่ทำแต่บุญ แต่ไม่ได้ทำหลักของใจไว้
ก็เปรียบเหมือนกับคนที่มีที่ดิน แต่ไม่มีโฉนด
จะซื้อจะขาย เป็นเงินเป็นทองก็ได้ดอก แต่มัน
อาจจะถูกเขาฉ้อโกงได้ เพราะไม่มีเสาหลักปักเขตไว้

คนที่มี ศีล มีทาน แต่ไม่มีภาวนา(คือหลักของใจ)
ก็เท่ากับถือศาสนา เพียงครึ่งเดียว เหมือนคน
ที่อาบน้ำแค่บั้นเอว ไม่ได้รดลงมาแต่ศีรษะ ก็ย่อมจะ
ไม่ได้รับความเย็นทั่วตัว เพราะไม่เย็นถึงจิตถึงใจ

คนที่ใจบุญ คือ ใจเบิกบาน
คนใจบาป คือใจเป็นทุกข์เดือดร้อน”

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





"ถ้าวันนี้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวพรุ่งนี้"

ท่านพุทธทาสภิกขุ






ทุกข์นี่ล่ะ ..เป็นอาจารย์สอนเราได้ดีที่สุด

หลวงปู่ดำ สีลคุโณ






#เห็นไหมว่าร่างกายมีจุดไหนบ้างที่เป็นที่พึ่ง #มันไม่มีเลย

ในเมื่อมันไม่มีอย่างนี้ ทำไมเราจึงพอใจมันอีก ก็ลองใช้ปัญญาพิจารณาดู พิจารณาถอยหน้าถอยหลัง ถอยหลังถอยหน้า ถ้าจิตมันจะฟุ้ง ก็ทิ้งการพิจารณาเสีย ทิ้งอารมณ์พิจารณาหันเข้าไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานใหม่ จะภาวนาว่าอย่างไรไปด้วยก็ได้ให้จิตมันทรงตัว ถ้าจิตมีความสบายก็หันกลับมาพิจารณาใหม่ นี่เขาทำกันแบบนี้มันจึงจะมีผล

พอทำจนมีผลจนกระทั่งนั่งคิดไปพิจารณาไปสลับกันไปสลับกันมา กับการทรงสมาธิ จนกระทั่งจิตทรงตัว นึกถึงร่างกายของเราเมื่อไหร่ก็เห็นว่ามันสกปรก เห็นว่ามันไม่เที่ยง เห็นว่ามันจะสลายตัวคือพังหรือตาย เมื่อเห็นร่างกายของคนและสัตว์และวัตถุธาตุทั้งหมดนึกว่าเละไม่มีอะไรเหลือ

คนทุกคนมีสภาพเหมือนซากศพเดินได้ สัตว์ก็เหมือนกัน วัตถุธาตุทั้งหลายก็เต็มไปด้วยความสกปรก ในที่สุดก็สลายตัวหมด ให้จิตมันเกิดนิพพิทาญาณคือความเบื่อหน่ายจริง ๆ

ถ้ามันยังไม่เบื่อจริงก็ย้ำมันอยู่ตรงนี้แหละ ย้ำมันอยู่ตรงหาความเบื่อให้ได้ หาความสกปรกให้ได้ หาความสลายตัวของมันให้ได้ให้มันทรงตัว ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด อยู่แค่นี้จนกว่าเราจะนอนหลับ

เมื่อหลับยังฝันว่าเบื่อหน่ายในร่างกาย เดินไปที่ไหนนั่งอยู่ที่ไหนเห็นคนเห็นสัตว์แล้วมีอาการสะอิดสะเอียน นึกถึงร่างกายของเราเมื่อไหร่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที มันเต็มไปด้วยความสกปรก มันเป็นตัวต้นเหตุทำให้เราเกิดความทุกข์ เราไม่ต้องการในมัน เมื่อนิพพิทาญาณคือความเบื่อหน่ายปรากฏชัด นี่ย้ำมันอยู่ตัวเดียวพอ ไม่ต้องไปทำอะไรมาก ตัดไปถึงพระอรหันต์เลยเพราะเรื่องพระโสดาบันพูดกันมาแล้ว

ต่อไปเมื่อความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นก็ใช้ #สังขารุเปกขาญาณ ความเบื่อหน่าย ก็คือ #นิพพิทาญาณ #สังขารุเปกขาญาณ คือ การวางเฉยในขันธ์ ๕ หรือร่างกาย

ร่างกายเราก็ดี ร่างกายชาวบ้านก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายทั้งหมดก็ดี เรามีอารมณ์เฉย ที่เฉยเพราะว่ามันไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร เห็นร่างกายชาวบ้านก็ไม่มีจิตพิสมัย ไม่รักแล้วก็ไม่เกลียด เราไม่รักไม่ปรารถนาเรื่องการครองคู่ แต่เราก็ไม่เกลียดถือว่าร่างกายมันเป็นวัตถุธาตุอย่างหนึ่งที่จิตจะพึงเข้าอาศัยชั่วคราว นี่เป็น #สังขารุเปกขาญาณ จุดหนึ่ง ทั้งร่างกายของเราก็ดี ร่างกายชาวบ้านก็ดี ร่างกายสัตว์ก็ดี จิตใจเราไม่มีการผูกพัน แต่ว่าไม่ใช่สะอิดสะเอียนจนกระทั่งไม่คบหาสมาคม

ถ้าเราเดินไปกับคนเราก็นึกว่าเวลานี้ศพดิบต่อศพดิบเดินร่วมกันถ้าเรานั่งรวมกันอยู่กับมนุษย์หรือสัตว์ เราก็คิดว่านี่ศพดิบกับศพดิบกำลังนั่งรวมกันอยู่ เราก็สกปรกเขาก็สกปรก แต่คำว่าเราคือร่างกาย นี่มันเป็นเรือนร่างที่อาศัยของเราเท่านั้น เราคือจิต

พระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
หนังสือธรรมะเพื่อพระนิพพาน หน้าที่ ๕๘-๖๐








ถึงมันจะไม่ถูกใจเรา แต่ก็ทำให้มันถูกใจเขานั้นมันดี ดีตรงที่มันได้พิจารณาทุกข์

ทุกข์กับใจตัวเองก็ให้เราวางอุเบกขาในตัวเอง เราก็ตั้งมั่นในการทำความดี ให้มีเมตตาต่อกัน

คนเราเกิดมาไม่ถึงร้อย สองร้อยปีก็ตายแล้ว ตายจากกันแล้วก็เอาแต่กรรมติดตัวไปด้วยได้ บุญ กุศลติดตัวไปด้วยได้

เขาจะว่าเราไม่ดี ก็ให้ทำดีให้เขา เขาจะว่าเราดีก็อย่าหลงกับคำชมของเขา ให้พิจารณาตัวเอง ดูตัวเองปรับปรุงแก้ไขตัวเอง เคยดุเคยด่า ก็ให้เลิกดุเลิกด่า

ให้ทำใจตัวเองให้สงบ ให้มีสติอยู่กับตัวเอง อย่าไปมองคนอื่น ให้ดูตัวเอง เขาจะทำอะไรก็ให้เป็นเรื่องของเขา

ว่าเเต่เรารู้จักตัวเอง พิจารณาปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้มันดีอยู่ตลอด ทำดีให้เป็นกิจวัตร ทำให้เป็นนิสัย

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกันต้องทำให้เป็นนิสัย ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ก็ทำให้เป็นกิจวัตรทำให้เป็นนิสัย ทำอยู่ตลอด

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ชนะ #อุตฺตมลาโภ







"คนเรามีสองประเภท คือชอบคิด
กับไม่ชอบคิด คนไม่ชอบคิด
เวลาฝึกสมาธิต้องบังคับให้พิจารณา
ถ้าไม่บังคับใจจะติดสมาธิอยู่นั่น
เป็นสมาธิหัวตอไม่ยอมไปไหน

ส่วนคนชอบคิด กว่าใจจะเป็นสมาธิได้
ก็ต้องบังคับให้สงบมากหน่อย
แต่พอเป็นแล้ว เรื่องการพิจารณานั้น
ไม่ต้องบังคับ มีอะไรมากระทบ
ใจจะพิจารณาทันที"

#ท่านพ่อเฟื่อง #โชติโก






#ขอเตือนว่า..

ท่านจะใช้กรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม จงใช้กองนั้นให้ถึงอรหัตผล

ในเมื่อเราเริ่มทำสมถะกองใด จงใช้สมถะกองนั้นให้ถึงอรหัตผล คือว่าไม่ต้องไปเที่ยววิ่งไปหาที่โน่นไปหาที่นี่

ไอ้ความดีหรือไม่ดี
มันอยู่ที่จิตของเรา
ทราบไว้แต่เพียงเท่านี้

#หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร