วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2021, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"วันหนึ่ง ๆ ขอให้อยู่กันด้วยศีลด้วยธรรม มีสติธรรม ปัญญาธรรม เป็นเครื่องกลั่นกรองจิตใจกายวาจาอยู่โดยสม่ำเสมอเถิด อย่าอยู่กันด้วยความอิจฉาพยาบาท อาฆาตจองเวรและเคียดแค้นแก่กันและกัน
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ควรนำมาเผากันสำหรับมนุษย์เรา​ นั่นไม่ใช่ทางของชาวพุทธเรา มันเป็นทางของเปรตของผีของยักษ์ของมาร
ทำลายกันและกันตั้งแต่ส่วนย่อยตลอดส่วนใหญ่ จนถึงความพินาศฉิบหายวายปวงไม่มีอะไรเหลือ ไม่ใช่ทางสงบร่มเย็นต่อกันเลย
แม้จะพากันกำเริบเสิบสานทำด้วยความสาสมใจเพียงไร ก็ไม่พ้นผลคือความพินาศทั้งตนและผู้อื่นจนได้อยู่นั่นแล"

#หลวงตาพระมหาบัว_ญาณสมฺปนฺโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕




…ธรรมะนี้แหละ ที่จะทำให้คนเรา
“ ตื่นจากความไม่ดีสู่ความดี “

. ทำให้เราสุขให้เราเจริญ
ทำให้ทุกข์น้อยลง

. ไม่มีอย่างอื่น ..อย่างอื่นมีแต่
ทำให้เราทุกข์มากขึ้น สุขน้อยลง
แต่เรา ..มองไม่เห็นกัน.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๒๓ กัณฑ์ ๔๑๘
วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓






"ถ้าพูดถึงอสุภะอสุภังมันก็ตัวป่าช้าผีดิบภายในร่างของเราทุกๆ ร่างนี้ มีลมหายใจเท่านั้นประคองตัวเอาไว้ พอไม่แสดงตัวอย่างเปิดเผยดังคนตายแล้วเพียงเท่านั้น นอกนั้นมันผิดอะไรกัน ไม่เห็นมีอะไรผิดกันเลย พิจารณาลงไปตรงนี้จนรู้ชัดแล้วมันจะหลงที่ตรงไหน

เพราะที่รู้เห็นด้วยปัญญานี่คือความจริง ความปลอมก็หลอกเรื่อยไปตามเพลงของมัน ว่าสวยว่างามว่าแน่นหนามั่นคง ลบล้างความจริงไปหมด นั้นคืออำนาจของกิเลสเป็นผู้ลบล้าง ทีนี้ผลิตธรรมขึ้นมาเพื่อลบล้างความจอมปลอมนั้น ให้เห็นความจริงเต็มสัดเต็มส่วนขึ้นมาแทนความเห็นอันจอมปลอมนั้น และถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นมาจากความหลงนั้นให้หมดไปทั้งร่างกายและจิตใจ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๔






#อยู่กินข้าวรอท่าวันตายกันทุกคน

จะทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งกัน ให้เป็นเวรเป็นกรรมไป เพราะเหตุอันใดกัน คิดอ่านให้ดีหน๋า

หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ






#นักภาวนาผู้แสวงหาความสงบของใจจึงต้องปลีกวิเวกหาที่สงัดอยู่คนเดียว

ที่ไหนมีคนที่นั่นมักจะมีเสียง คนนี่แหละเป็นตัวการสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่าอย่าคลุกคลีกัน อย่าสังคมกัน ถ้าคลุกคลีสังคมกันแล้ว มักจะมีเรื่องให้พูดให้คุย ให้วิพากษ์ให้วิจารณ์ ให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำให้จิตใจว้าวุ่นขุ่นมัว

นักภาวนาผู้แสวงหาความสงบของใจ จึงต้องปลีกวิเวก หาที่สงบสงัดอยู่คนเดียว ทำกิจกรรมร่วมกันเท่าที่จำเป็น ขณะที่ทำก็ไม่คุยกัน ให้ดูใจของตนเป็นหลัก ให้มีสติคอยเฝ้าดูใจ ให้ตั้งอยู่ในความสงบ ให้รู้เฉยๆ

ใจมี ๒ ส่วน ส่วนที่เป็นตัวรู้และส่วนที่เป็นตัวคิด ตัวรู้นี้รู้อยู่ตลอดเวลา แต่มักจะถูกตัวคิดบังเอาไว้ ถ้ารู้เฉยๆก็จะไม่มีอารมณ์ ถ้ารู้แล้วคิดปรุงแต่งก็จะมีอารมณ์ มีอารมณ์รักอารมณ์ชัง ดีใจเสียใจ ความคิดนี้เป็นตัวสำคัญ

ถ้าถูกอวิชชา ปัจจยา สังขารา ถูกอวิชชาเป็นผู้ชักนำ ก็จะคิดไปในทางที่จะทำให้เกิดความว้าวุ่นขุ่นมัว ความทุกข์ใจ ผู้ปฏิบัติส่วนมากจะมีอวิชชาเป็นผู้คอยผลักดันให้คิด ให้คิดไปในทางโลก ไปกระทำอะไรต่างๆภายนอกใจ ไปหาความสุขกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไปหาคนนั้นไปหาคนนี้ ไปหาสิ่งนั้นหาสิ่งนี้ เพื่อจะได้มีความสุข

แต่เป็นความสุขที่ไม่ใช่เป็นความสุขแท้ เป็นความสุขปลอม เป็นความสุขที่เจือจางหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีความอยากตามมา อยากจะได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้อีก ทำให้ต้องออกไปหาความสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นความสุขที่ทำให้มีความหิวมีความอยากเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ทำให้มีความอิ่มความพอเพิ่มมากขึ้นเลย

นักปฏิบัติจึงต้องคอยดูใจอยู่เสมอ ดูว่ากำลังคิดไปในทางไหน คิดไปในทางสมุทัยก็คือความอยาก เช่นอยากในรูปเสียงกลิ่นรส อยากกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าคิดอย่างนี้ก็ต้องรู้ทันแล้วระงับเสีย ให้คิดไปในทางธรรม คือคิดปล่อยวาง คิดเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอกใจทั้งหมด ไม่ใช่เป็นความสุข แต่เป็นความทุกข์ เพราะไม่เที่ยง

มีมาแล้วก็ต้องมีไปเป็นธรรมดา มีเกิดก็ต้องมีดับเป็นธรรมดา มีเจริญก็ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดา ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เป็นของเราที่แท้จริง ก็คือความสุขภายในใจ ความสุขที่เกิดจากการปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกใจ ถ้าปล่อยวางสิ่งภายนอกใจไม่ได้ ก็จะไม่ได้ความสุขที่แท้จริง

ถ้าปล่อยสิ่งต่างๆ ภายนอกได้ ก็จะมีความสงบสุขที่จะอยู่กับใจไปตลอด เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมดไป ดังนั้นนักปฏิบัตินักภาวนา จำต้องมีสติเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของใจตลอดเวลา

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
วันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร