วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 17:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2022, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ดูใจเป็นหลัก”

…การปฏิบัติต้องรู้จริงเห็นจริง
แล้วก็ทำกันจริงๆด้วย

.ทานก็สละอย่างจริงๆ
ศีลก็ต้องบริสุทธิ์อย่างจริงๆ
สมาธิก็ต้องสงบอย่างจริงๆ
ปัญญาก็ต้องตัดกิเลสได้อย่างจริงๆ

.ถ้าเป็นเพียงแต่ชื่อ จะทำไม่ได้
ทานก็ยังหวงสมบัติ ยังโลภสมบัติ
ยังอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้
อย่างนี้ยังไม่ใช่ผู้ที่สละเรื่องลาภ
เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องสมบัติต่างๆ

.” ต้องดูใจเป็นหลัก “..ใจนี่แหละ
เป็นสนามรบของธรรมของกิเลส
ใจเป็นที่ตั้งของความสุขและความทุกข์

.ถ้าธรรมมีกำลังมากกว่ากิเลส
ความสงบ ความสุขก็จะเกิดขึ้น
ถ้ากิเลสมีอำนาจมากกว่าธรรม
ความรุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน
กระวนกระวายใจ ก็จะเกิดขึ้น

.ในช่วงปฏิบัตินี้จะผลัดกันรับผลัดกันรุก
ถ้าธรรมมีกำลังมากกว่า
ความสงบก็จะเกิดขึ้น
ถ้ากิเลสมีกำลังมากกว่า
ความรุ่มร้อนใจก็จะเกิดขึ้น
จึงไม่ต้องมองที่ไหน ..” ให้มองที่ใจ “.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๔๘ กัณฑ์ที่ ๔๐๘
๓๑ มกราคม ๒๕๕๓





#บ่จำเป็นต้องหลายครูบาอาจารย์
ครูบาอาจารย์ก็หลายอยู่ดอก....แต่เฮาเลือกอยู่นำองค์เดียวคือ หลวงปู่ผาง เพราะว่าถ้าเฮาเลือกอยู่นำองค์ใดองค์นั้น ตั้งใจปฏิบัติต่อเพิ่น ถ้าหลายครูบาอาจารย์ เฮาสิเป็นคนลังเล บางที่เห็นอาจารย์องค์นั่นสอนแบบนั้น เห็นองค์นี้สอนแบบนี้ ไปเอาครูบาอาจารย์มาเป็นเครื่องต่อรอง เกิดความลังเลสงสัย ไปจับผิดครูบาอาจารย์อีก เป็นกรรมอีก ถ้าสิไปหาหลายครูบาอาจารย์นั้น ตั้งสัจจะตั้งใจอยู่นำองค์ใดองค์หนึ่งแล้วปฏิบัติ ให้ฮู้ทางเห็นทางจั่งไป เพราะถ้าไปบ่มีหลักมีเกณฑ์ ไปหาเปรียบเทียบครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้เป็นกรรมเฉย ๆ

โอวาทธรรม : หลวงปู่ประเสริฐ สิริคุตฺโต






"ที่สุดของความรัก คือ รักโดยไม่ครอบครอง
ที่สุดของการให้ คือ ให้โดยไม่หวังผล
ที่สุดของทาน คือ อภัยทาน
ที่สุดของคน คือ การเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข"

ท่าน ว วชิรเมธี





"สิ่งสำคัญในชีวิตเรา คือ ต้องพึ่งตนเอง
คนเราเกิดคนเดียว แก่ก็แก่คนเดียว
เจ็บก็เจ็บคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว
เรื่องการละกิเลส การบำเพ็ญกุศล
ไม่มีใครทำให้เราได้ เป็นงานของเราโดยเฉพาะ"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





หลวงปู่สอนว่า

"วันเวลา ล่วงไปทุกวันคืน ทำให้ชีวิตเสื่อมชราลงไปด้วย ขออย่าได้ประมาท ให้เร่งหมั่นเพียรทำกุศล ความดีใส่ตนไว้ ก่อนที่ความตายจะมาถึง กายตายเผาไฟ จิตมันบ่ตาย"

"ผู้มีความเพียร อันเผากิเลสให้เร่าร้อน ไม่เกียจคร้าน ทั้งกลางวัน และ กลางคืน อย่างนี้แล เรียกว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ ถึงจะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็ ประเสริฐกว่าบุคคลผู้มีประมาท อันเป็นอยู่ตั้งร้อยปี"

"รู้ดีรู้ชั่ว คือ ตัวปัญญา รู้ยึด รู้ติด ผิดทางพ้นทุกข์ รู้ละ รู้วาง ถูกทางปัญญา รู้ไม่ยึด ไม่ติด จิตหลุด คือ พุทโธ"

"จงรักษาจิตให้ดี ก่อนตาย จิตดีจะไปดี กายตาย จิตมันบ่ตาย"

(ที่มา หนังสือที่ระลึกงานประชุมเพลิงสรีระสังขาร พระครูสันติวรญาณ (หลวงปู่อ่ำ )







#กำลังใจจากหลวงตา

การปฏิบัติธรรม
จิตไม่มีเพศ ไม่มีหญิงมีชาย
นิสัยวาสนา ไม่มีเพศ
บาปบุญไม่มีเพศ

ใครทำบาปเป็นบาป
บุญเป็นบุญได้ด้วยกัน
ให้ต่างคนต่างพยายาม
แก้ไขดัดแปลงทุกคน

#หลวงตามหาบัว







#อย่าให้มันเข้าไปอยู่ในใจ

เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน รู้สึกก็รู้สึก แต่อย่าให้มันเข้าไปอยู่ในใจของท่าน

ยึดมั่นถือมั่น ; อย่างที่ตรัสว่า พาหิยะ เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยินรู้สึกก็สักว่ารู้สึก ความตาย (ทุกข์) จักไม่มีแก่ท่าน

บัดนี้ อะไรๆ มันก็แล่นเข้าไปอยู่ในใจเสียหมด ไม่ว่าขี้ฝุ่น หรือเพชรพลอยนะโว้ย

#หลวงพ่อพุทธทาส







#หลวงปู่เหรียญ #วรลาโภ

โยม – หนูรู้สึกว่า พระดีหรือไม่ดีรูปไหน ที่จะเกิดขึ้นมาอีกต่อไปในอนาคตก็ดี หนูก็จะไม่เลิกนับถือศาสนาพุทธ ในความรู้สึกหนูเป็นอย่างนั้น

หลวงปู่ – เอา โธ่ คุณมีบุญนะ คนมีบุญมีวาสนา บุญกุศลดลบันดาลให้สนใจ ฝึกฝนจิตใจตัวเอง มันจะพ้นทุกข์ไปได้ก็เพราะมาฝึกจิตนี่เองแหละ ถ้าใครไม่ฝึกจิต ปล่อยให้ลอยลมไปตามกิเลส ก็นานกว่าจะพ้นทุกข์

คนส่วนมากเป็นอย่างนั้น มีแต่กินๆ ทานๆ ธรรมดา ไม่ได้ฝึกจิตเลย เพราะฉะนั้นแบบนั้นมันก็นานถึงจะพ้นทุกข์ ถ้าเราทำบุญทำทานไปด้วย แล้วก็ฝึกจิตใจไปด้วย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไปด้วย อย่างนี้แล้วก็ใกล้ต่อพระนิพพานไปเรื่อยๆ

ศีล ๕ นี่ก็สำคัญ ต้องใส่ใจให้มาก ต้องทบทวน สมมติว่าอย่างตื่นนอนมานี่จนถึงค่ำ เราไปนั่งภาวนาแล้วทบทวน ว่าได้ทำบาปอะไรบ้าง ล่วงศีลข้อไหนบ้าง ถ้าเห็นว่าไม่ได้ล่วงศีลข้อไหนเลยอย่างนี้ จิตใจมันก็จะเกิดปีติ มันก็จะยินดี ในคุณของศีลที่ตนรักษา อันนั้นก็เป็นกำลังทำให้ใจสงบส่วนหนึ่ง เป็นอย่างนั้น

ทานการกุศลเราก็นึก เราก็กำหนดว่า เราได้ให้ทานมาอย่างนั้น ก็มีประโยชน์อย่างนั้นๆ เราต้องนึก เราต้องทบทวน ไม่ใช่ทำแล้วๆ ไป เมื่อทบทวนมาแล้วเห็นว่ามันมีจริง ผลทานผลศีลเหล่านี้มีจริงอย่างนี้ มันก็เกิดปีติ เกิดความอิ่มใจขึ้นมา มีกำลังใจเข้มแข็งที่จะทำใจให้สงบลงไปได้ มันเป็นอย่างนั้น

โยม – แต่รู้สึกว่าตอนช่วงรักษาศีลนี่ หนูจะฝึกสมาธิได้ดีกว่าตอนที่ไม่ได้รักษาศีล สงบเร็วกว่า

หลวงปู่ – ก็ผู้ไม่มีศีลนั้นมันทำบาป เมื่อทำบาปแล้ว เวลาจะน้อมจิตลงสู่ความสงบ บาปมันก็มาดันไว้นั้นแหละ บาปนี่มันเป็นข้าศึกของความสงบ ดังนั้นศีล สมาธิ ปัญญา ๓ ประการนี้ พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงไว้ว่า เป็นธรรมที่ต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกันเสมอ

ศีลก็สนับสนุนให้เกิดสมาธิ สมาธิก็สนับสนุนให้เกิดปัญญา แล้วปัญญามาสอนจิตอีกทีหนึ่ง บัดนี้ เมื่อปัญญาสอนจิตได้แล้ว ก็วิมุติคือจิตหลุดพ้น จิตนั้นจะหลุดพ้นได้ด้วยอำนาจแห่งปัญญา แต่ว่าปัญญานี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยศีล อาศัยสมาธิ

โยม – ถ้าสมาธิไม่ดี มันก็จะไม่มีปัญญาใช่ไหมคะ

หลวงปู่ – ไม่ ปัญญาในทางธรรมไม่เกิด ถ้าสมาธิไม่มี

โยม – ถ้ามีน้อยหรือไม่มั่นคงก็จะไม่มีปัญญาใช่ไหมคะ มีแต่สมาธิ

หลวงปู่ – อือ ไม่มีปัญญา เป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อเรามีสมาธิ เราหัดใจตั้งมั่นลงไปแล้วไม่ว่ากลางวันกลางคืน จิตใจมันก็ตั้งมั่นอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อจิตใจตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น มีเหตุอะไร มีเรื่องอะไรกระทบเข้ามา ปัญญามันก็จับเรื่องนั้น พิจารณาเรื่องนั้น รู้เท่าทันเรื่องนั้นได้ มีสมาธิเป็นฐานที่ตั้งของปัญญา มันเป็นอย่างนั้น

โยม – อย่างเวลาเราทำงานในทางโลกนี้ล่ะคะ เรามีทั้งผิดหวัง เสียใจ คับแค้นใจ มีทุกอย่างเลย เพราะว่าในการทำงานจะต้องมีหลายๆ แบบนี่นะคะ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเอง ทำให้มันมีสภาพที่ดี มีสภาพจิตใจที่ดี จะแนะนำอย่างไรคะ

หลวงปู่ – ก็อย่างที่ว่านี่แหละ รักษาสมาธิไว้ให้ได้ เมื่อเรานั่งภาวนาสมาธิแล้ว จิตใจสงบลงไปแล้ว พอออกจากสมาธิ ก็ให้มีสติรักษาจิตที่สงบนั้นไว้ คือว่า จิตที่มันสงบนั้นนะ มันมีความรู้สึกตัวอยู่ มีสติกำกับรู้ตัวอยู่ อะไรกระทบเข้ามา มันก็รู้ทันเลย ปัญญามันก็ตัดอารมณ์เหล่านั้นออกไป

เรื่องนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องชั่วก็ตาม จะเป็นเรื่องของบุคคล หรือว่าเรื่องของสัตว์ เรื่องของสิ่งของก็ตาม เราก็ต้องเตือนจิตตัวเองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะพาไปสู่สวรรค์นิพพาน เป็นเรื่องของโลก เกิดอยู่ในโลก ดับอยู่ในโลก เราไม่ควรจะไปหวั่นไหว ไม่ควรที่จะไปเสียใจ ไปคับแค้น เมื่อความผิดหวังบังเกิดขึ้นมา เราก็ใช้อุบายปัญญาสอนจิตอย่างนี้ ความเสียใจ ความคับแค้นต่างๆ นานา ก็หายไป

โยม – หนูรู้ว่าฝึกสติมาไม่ค่อยดี เนื่องจากฝึกแต่สมาธิไม่ได้ฝึกสติมา สติมันเลยไม่ค่อยจะอยู่

หลวงปู่ – สติคือความระลึกได้ เราหมั่นระลึกเข้ามาหาจิตนี่บ่อยๆ อย่างนี้นะ อย่าไปละเลยเรื่องจิต บางคราวเราก็ใช้ระลึกไปในหน้าที่การงานต่างๆ ตอนนั้นก็ยกไว้ พอการงานภายนอกนั้นไม่มีเรื่องที่จะคิดแล้ว เราก็เพ่งเข้ามาหาจิตนี้ มาประคองจิตไว้ ให้จิตสม่ำเสมอไว้

หมายความว่า สตินี่ถ้าจะเปรียบแล้ว ก็เหมือนกับนายประตู รักษาพระราชาอยู่ในพระราชวัง ใครไปใครมา นายประตูนั้นต้องตรวจ ต้องรู้ทั้งนั้น ถ้าเป็นคนไม่ดีก็ไม่ให้เข้า ถ้าเป็นคนดีก็ให้เข้าไป อันสตินี้ก็เป็นเช่นนั้นแหละ คอยระวังรักษาจิตอยู่ พอเรื่องไม่ดีกระทบมามันก็รู้ เรื่องนี้ไม่ดี ไม่ยึดไม่ถือ สติมันก็ไปเตือนจิตทันทีเลยอย่างนี้นะ

เรื่องนี้ดีเป็นศีลเป็นธรรม เป็นประโยชน์ ก็กำหนดเอาไปคิดไปกรอง ไปพิจารณา เพราะฉะนั้นสตินี้มันจำเป็นจริงๆ เราต้องใช้ เรียกว่าสตินี้บำเพ็ญเจริญให้มากเท่าไรยิ่งดี แต่ว่าคุณธรรมอื่นๆ นั้น ถ้าเจริญมากเกินไปมันเสีย อย่างสมาธิอย่างนี้ หากไปทำแต่สมาธิสงบอยู่นั่นแหละ หน่อยหนึ่งก็เกิดความง่วงเหงาหาวนอน แล้วปัญญาก็ไม่มี อย่างนั้นเรียกว่าสมาธิมันมากเกินไป

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจริญสมาธิ ทำใจให้สงบพอสมควรแล้ว ก็เจริญปัญญา ต้องหัดคิด หัดวิจาร ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อะไรต่างๆ ในกายนี้แหละ พยายามคิดอ่านให้มันรู้ เพ่งให้มันรู้ นี่เรียกว่าเราเจริญปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญากับสมาธินี้ ต้องเป็นคู่ขนานกันไป ปัญญามากเกินไป จิตฟุ้งซ่าน สมาธิมากเกินไป หดหู่ง่วงเหงาหาวนอน

โยม – เวลาจิตมีสมาธิแล้วรู้สึกสบาย ไม่อยากออก แปลว่าอะไรคะ

หลวงปู่ – อันนั้นเรียกว่ามันไปติดอยู่กับสมาธินั่นแหละ มันไปติดอยู่แต่สมาธิ มันไม่เจริญปัญญา

โยม – หนูสบายดี ก็คิดว่าตรงนี้แหละดีแล้ว

หลวงปู่ – ความสบายเช่นนั้นมันเป็นผลของสมาธิ มันยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นนิรามิสสุข เป็นสุขอันปราศจากกิเลสตัณหา มันยังไปกลบกิเลสอยู่ สมาธิอันนั้นนะ เพราะว่ากิเลสมันนอนอยู่ในใจนั้น แล้วสมาธิมันไปทับไว้ บัดนี้เมื่อเราใช้ปัญญาค้นหาเหตุแห่งทุกข์ต่างๆ นานาเข้าแล้ว กิเลสเหล่านั้นมันจึงโผล่ขึ้นมา โผล่ขึ้นมาปัญญามันก็ตามรู้

โยม – หมายความว่า เวลาเราอยู่ในสมาธิแล้ว เริ่มกำลังสบาย ให้เราพิจารณาหรือคะ

หลวงปู่ – เมื่อจิตใจสงบแล้ว เราก็หาเรื่องมาพิจารณา

โยม – ไม่ให้อยู่กับสมาธินานๆ

หลวงปู่ – ใช่ ธาตุสี่ นี้อะไรบ้างหนออย่างนี้ ต้องนึกนะ ไม่นึกปัญญามันก็ไม่เกิด ธาตุสี่ นี้คืออะไรบ้างหนอ อย่างนี้นะ แล้วปัญญามันจะบอกจิตว่าอย่างไรล่ะ ธาตุสี่ ก็คือ ธาตุดินหนึ่ง ธาตุน้ำหนึ่ง ธาตุไฟหนึ่ง ธาตุลมหนึ่ง อย่างนี้ ร่างกายทุกส่วน ประกอบด้วยธาตุสี่นี้ เราก็เพ่งพิจารณาวิจารไป มันก็รู้ไปเห็นไป ทีแรกมันก็รู้ไปไม่มากเท่าไรหรอก แต่เมื่อเราหัดทั้งได้ยินได้ฟังด้วย ทั้งภาวนาด้วย มันก็เกิดความรู้ความเห็นกระจ่างออกไปเรื่อยๆ มันเป็นอย่างนั้น

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ








อัตภาพเป็นมนุษย์นี้เหมือนดังว่าใกล้จะถึงฝั่งสังสารสาครอยู่แล้ว ถ้ากลับกระโจนลงไปสู่หล่มลึกอีก ก็จะได้รับความเสียใจในภายหลัง

เหมือนกับคนที่มือด้วน ถึงจะไปพบปะดวงแก้ว ก็ไม่รู้ว่าจะจับต้องอย่างไรได้

เพราะเหตุนั้นเราทั้งหลาย ควรรีบที่จะเร่งเจริญบุญกุศลเสียแต่ในเวลายังมีชีวิตเป็นอยู่ ความตายยังไม่มาถึง

น่าเสียดายจริงหนอ! ทำไมผู้ที่มีอินทรีย์สมบูรณ์ดีอยู่พร้อมแล้ว จึงไม่แลเห็นดวงแก้วอันเป็นอุดมรัตน์นั้นได้

ป่วยการจริงหนอ! ที่มัวไปเป็นธุระเสียให้กิจการอื่น ๆ ที่ทำสำเร็จแล้ว ก็คงเท่ากับไม่ได้ทำ

โลกนี้ชอบกลจริงหนอ

#ลิขิตธรรม
#หลวงปู่ลี #กุสลธโร








#ต่อไปอย่าไปอ้อนวอนผีสางเทวดานะ

อย่าไปหาขูดต้นไม้ขอหวยขอเบอร์นะ เห็นพระมา. จะขอหวยขอเบอร์

#คนที่เขาถูกหวยถูกเบอร์. #ก็เพราะบุญเขาทำมาตั้งแต่อดีตชาติโน่น

คุณโยมเหมือนกันก็ทำบุญมาแต่อดีตชาติโน่นถึงได้เกิดเป็นคน พระพุทธเจ้าจึงสอนเราให้มีบุญ คิดถึงบุญกุศล คุณความดีที่ตัวเองทำเอามา

อย่าไปคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย

เหนือจากพ่อจากแม่ไป. สู้พ่อแม่เราไม่ได้นะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขนาดพ่อแม่เราตายจะมาบอกหวยบอกเบอร์เราไม่ได้

#จะไปขูดทำไมต้นไม้ #พ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนยังช่วยเราไม่ได้

ลองคิดดูอย่าไปอยากได้เลย คนเราเนาะด้วยความอยาก ความโลภขึ้นครอบงำจิตใจทำให้มนุษย์เราหลง

#อย่างอาตมาเทศน์ #หลวงพ่อจะใบ้หวยไหมหนอ #ถ้าบุญไม่มีบอกก็ไม่ถูกหรอกโยม

เพราะเราไม่เคยสร้างบุญมา เราอย่าไปหลงใหลมันเลย สร้างคุณงามความดีสร้างบุญกุศลให้เป็นทางเดินเรา

#ท่านจึงตรัสย้ำในมรรคมีองค์8

เห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ สติตั้งมั่นชอบ ระลึกชอบ หาเลี้ยงชีพชอบ

#อาชีพที่สุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ไม่ลักเล็กขโมยผู้อื่น ไม่คดโกงผู้อื่น ไม่โกหกหลอกลวง ทำมาหาเลี้ยงชีพชอบประกอบอาชีพที่มันสุจริต ไม่ต้องทุกข์ทนทรมาน

#นี่แหละเกิดเป็นคนรู้จักทำเอา #อย่าไปคิดพึ่งผีสางเทวดาเลยมันไม่ได้หรอกโยม

คนเราอยากมาก คิดเกิดมาเคยทำบุญให้ทานมากแค่ไหน ถึงอยากจะถูกหวยถูกเบอร์ลองคิดดู จะเอาเงินบาทไปแลกเงินล้าน ลงทุนน้อยแต่เอามากมันถูกไหมล่ะลองคิดดู ยังกล้าลงทุนไหม

#ลงทุนบาทจะเอาตั้งหนึ่งล้าน

เราคิดดูเถอะนะ เราอยากมากเกินไป ความโลภขึ้นครอบงำจิตใจ ทำให้เราคิดแต่ทางไม่ดี

#พระพุทธเจ้าถึงสอนเราให้ประมาณให้พอเพียงกับตัวเอง อย่าทะเยอทะยานให้อยู่กับภูมิวาสนาบารมีของเรา

หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร