วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2022, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


…พระพุทธเจ้าไม่มีเงินทอง
ครูบาอาจารย์ไม่มีเงินทอง

“ แต่ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจ
ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ต่างๆ “

.ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ..ไม่มีปัญหา
“ เพราะจิตเป็นอุเบกขาตลอดเวลา “
ไม่ดีใจไม่เสียใจ …มีแต่พอใจ

.คนชมก็พอใจ คนด่าก็พอใจ
“ เพราะใจไม่ไปรับ “
จะว่าอย่างไรก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขา
ไม่ใช่เรื่องของเรา

.ใจเป็นเหมือนคนดู ก็ดูไป
คนแสดงจะแสดงอย่างไร
ก็ปล่อยเขาแสดงไป
จะแสดงบทโหด ก็ปล่อยเขาแสดงไป
จะแสดงบทเมตตา ก็ปล่อยเขาแสดงไป

.ไม่เกี่ยวกับเรา ..เราเป็นคนดู
“ ไม่ได้ ไม่เสีย กับการแสดงของเขา “.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕๔กัณฑ์ที่ ๔๒๗
๗ สิงหาคม ๒๕๕๔








#อดีตเป็นธัมเมา
#อนาคตเป็นธัมเมา
#ปัจจุบันเป็นธัมโม
.
"มีผู้มาถามหลวงปู่แหวน (สุจิณโณ) ว่า หลวงปู่ ชาติก่อนฉันเป็นอะไรมา หลวงปู่แหวนจะตอบยังไงทีนี้ เรา (หลวงปู่คำบ่อ) ก็โอ้ย ! จะตอบแบบไหนหนอหลวงปู่นี่
.
หลวงปู่(หลวงปู่แหวน)
ท่านก็ตอบว่า
'เอ่อ ! เรื่องอดีตมันก็ผ่านไปแล้ว
ดีก็ดีไปแล้ว เสียก็เสียไปแล้ว
อย่าเอามาคิด มันเป็นธัมเมาท่านว่า
อดีตมันเป็นธัมเมาท่านว่า
อนาคตมันก็ยังไม่มีไม่เป็น
อย่าเอามาคิด อนาคตก็เป็นธัมเมา
ให้เอาปัจจุบัน ดีก็ดีในปัจจุบัน
เสียก็เสียในปัจจุบัน ท่านว่าอย่างนี้'
.
โอ้! เรา (หลวงปู่คำบ่อ) ก็โล่งอกไปเลย ท่าน (หลวงปู่แหวน) ตอบไม่มีที่จะแก้ไขได้เลย พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ท่านตอบตรงจุดจริง ๆ เรื่องอดีตอนาคตมันเป็นธัมเมา ปัจจุบันเป็นธัมโม
:
อยากรู้ธรรม เห็นธรรมก็ต้องเห็นในปัจจุบัน เห็นในปัจจุบันนี่ เหมือนเราชอบเกิด ไม่ชอบแก่ ไม่ชอบเจ็บ ไม่ชอบตาย ถ้าเกิดมาแล้ว มันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ผู้ฉลาด ดีชั่ว มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด ไม่มีใครเก่งกว่าใคร
:
ทีนี้ถ้าเราสร้างความดี ทำความดี เราก็ต้องเข้าใจตรงนี้ให้ได้ เข้าใจในปัจจุบันนี่ เราต้องทำเอาก่อน ไม่ใช่จะมีคนนั้นคนนี้มาบันดาลให้ เหมือนเราปลูกต้นไม้ ปลูกมะม่วง เราจะบังคับมันให้มันเกิด เอ่อ..มึง ปีหน้า ปีนั้น เดือนนั้น มึงเป็นลูกให้กูกินนะ มันก็ไม่ได้ มันไม่เป็น ปีสองปี สามปีมันจึงเป็นลูก มันเป็นหน้าที่ของมัน คนปลูกก็ต้องให้น้ำให้ปุ๋ยมันเท่านั้นเอง"
:
หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ
วัดใหม่บ้านตาล จ. สกลนคร







วิธีดู “พระแท้ พระเทียม” ดูอย่างผู้มีปัญญา
(ธรรมะยาวหน่อย ควรอ่านให้จบ)

ปัญหาต่างๆเรื่องราวต่างๆที่เราได้ยินได้ฟังกันนี้ ก็เกิดจากความอยากทั้งนั้น ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็มาจากความอยากทั้งนั้น ความอยากเสพกามจึงเป็นปัญหาขึ้นมา อยากเสพรูป เสียง กลิ่น รส อยากนั่งรถเบนซ์นี่ก็เป็นความอยากเสพกามนะ อยากจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวนี้ก็เป็นความอยากเสพกาม ความอยากจะใส่แว่นตาหรูๆ ใช้กระเป๋าหรูๆใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องของการเสพกามทั้งนั้น นักบวชต้องไม่เสพกาม นักบวชต้องมักน้อยสันโดษสมถะเรียบง่าย ดูครูบาอาจารย์ท่านซิ ใส่แว่นตาหรูๆใช้กระเป๋าหรูๆ นั่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเปล่า พระพุทธเจ้ามีราชรถนำขบวนหรือเปล่า พระพุทธเจ้าเวลาจาริกไปไหน ไปโปรดสัตว์โลกนี้ท่านเดินไป ท่านเดินภาวนาไป นี่แหละคือแบบฉบับพุทธังสรณังคัจฉามิ ชาวพุทธเราไม่มอง มองไม่เห็นกัน พอมาเจอพวกห่มเหลืองที่กลายเป็นผู้เหาะเหินเดินอากาศได้ก็ตื่นเต้นตกใจ มีเงินมีทองเท่าไหร่ก็ประเคนไปให้หมดเลย เพราะหวังจะร่ำจะรวยจากการทำบุญ กับพระผู้วิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วท่านก็เอาไปเสพกามอย่างสบาย พอเป็นข่าวโผล่ขึ้นมาก็ตกใจกัน ก็เราเป็นคนส่งเสริมท่านเอง เอาเงินไปให้ท่านเอง เพราะหลงคิดว่าท่านเป็นผู้วิเศษ

ผู้วิเศษต้องแบบพระพุทธเจ้า แบบครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หลวงปู่มั่นที่ท่านเป็นพ่อแม่ของพระครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านอยู่อย่างไร ท่านมีรถเก๋งมีรถเบนซ์หรือเปล่า ถ้าอ่านประวัตินี้ ตอนที่ท่านอยู่เชียงใหม่ นิมนต์อาราธนาท่านลงมาจากเชียงใหม่มาโปรดญาติโยมที่อีสาน ท่านก็นั่งรถไฟมา ท่านเดินทางแบบชาวบ้าน ชาวบ้านเขาเดินทางกันอย่างไรก็เดินทางแบบชาวบ้าน เวลาที่ท่านจะไปตายที่สกลนคร เขาก็ต้องแบกท่านไปไม่มีรถ ไม่มีอะไร ไม่มีเครื่องบิน ท่านไม่ให้ความสำคัญกับร่างกาย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเสพกาม เพราะท่านรู้ว่าการเสพกามนี้มันเป็นบ่วงที่จะรัดสัตว์โลกให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดในกามภพนี้เอง ผู้ที่เสพกามนี้ก็จะต้องกลับมาเกิดในกามภพ

กามภพคือภพของใคร ก็ภพของเทวดาลงมา เทวดา มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต นรกนี้เป็นผู้ที่เสพกามทั้งนั้น ผู้ที่เป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน เป็นนรกเพราะเสพกามด้วยการทำบาป เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง เสพอบายมุขต่างๆ พวกนี้ก็ต้องเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตไปตกนรก ผู้ที่เสพกามด้วยการรักษาศีลได้ ก็จะไปสวรรค์ เป็นเทพ เป็นมนุษย์ นี่เรียกว่าเป็นผู้เสพกาม
ผู้ที่ไม่เสพกามก็จะไปเป็นพรหม คือผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ผู้ที่เข้าฌาณได้ ทำจิตใจให้สงบได้ หาความสุขจากการทำใจให้สงบ พวกนี้ก็จะไปเกิดเป็นพรหมกัน พวกนี้ไม่เสพกาม นักบวชต้องไม่เสพกาม ถ้าเป็นนักบวชแล้วเสพกามนี้มันไม่ใช่นักบวชแล้ว นักเบียด ต้องบอกว่าเบียดก่อนบวชหรือบวชก่อนเบียด นี่ทั้งบวชทั้งเบียดไปด้วยกัน บวชด้วยเบียดด้วย ธรรมเนียมคนไทยก็คือต้องบวชก่อนเบียดใช่ไหม อายุครบยี่สิบก็บวช บวชแล้วก็ค่อยไปแต่งงานแต่งการ แต่สมัยนี้บวชแล้วก็เบียดไปพร้อมๆกันเลย เพราะไม่มีใครควบคุมดูแลพระเณร เพราะญาติโยมไม่รู้วิธีการปฏิบัติของพระเณรที่ถูกต้องว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร กลับถูกพระเณรหลอกให้สนับสนุนเรื่องการเสพกามโดยไม่รู้สึกตัว ออกไปข้างนอกจีวรปลิวว่อนไปหมดนี่ เรียกว่าไปเสพกามนะ

นักบวชที่แท้จริงต้องไปเข้าป่า ต้องสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ไปหมดที่ไหนญาติโยมไปพี่เหลืองเราก็ไปกันหมด มีถ่ายรูปมาด่ากันในหนังสือพิมพ์ก็ไม่เดือดร้อน ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะว่าไม่มีใครรู้เรื่องของพระว่าวิถีชีวิตของพระเป็นอย่างไรกัน ก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วเดี๋ยวนี้ พระออกไปข้างนอกวัดนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไปช้อปปิ้งที่โน่นที่นี่เป็นเรื่องธรรมดาไปหมดแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องตื่นตระหนก เมื่อก่อนนี้เป็นเรื่องตื่นตระหนกนะ มีพระไปโผล่ตามสถานอโคจรต่างๆ แม้แต่กิจนิมนต์พระเคร่งๆพระที่ท่านเข้มข้นท่านก็ไม่รับเห็นไหม

หลวงตาท่านไม่ให้พระรับกิจนิมนต์ ก็เพราะไม่อยากให้ออกไปข้างนอก ไม่ให้ออกไปเสพกามนั่นเอง ออกไปข้างนอกมันก็เห็นรูปฟังเสียง ได้กลิ่น มันก็เห็นรูปเสียงของฆราวาสญาติโยม เดี๋ยวมันก็เกิดกามอารมณ์ขึ้นมา กลับมาวัดก็ใจก็กว่าจะทำให้สงบได้ก็อีกหลายวัน เห็นรูปนั้นแล้วมันก็ยังติดตาติดใจอยู่อย่างนั้น ท่านจึงไม่ให้รับกิจนิมนต์ เพราะว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย ไปโปรดญาติโยมนิดเดียว แต่ตัวเองกลับมานี้แทบจะตายเอา แทบจะต้องสึกน่ะ บางทีกลับมาอารมณ์วุ่นมากๆกว่าจะทำใจให้สงบได้ นี่พระเณรที่ยังไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์นี้ ถ้าออกไปข้างนอกนี่รับรองได้ ไม่สึกก็อยู่แบบไม่เป็นพระ ไม่สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ ใจมันก็จะสงบไม่ได้ เมื่อไม่สงบมันก็จะมีความอยาก ความโลภ

ถ้าชาวพุทธเรารู้หน้าที่ของพระ เวลาพระทำอะไรไม่ถูกเราก็ไม่สนับสนุน นี่เราไม่รู้ เรากลัวบาปกันไปหมด ท่านพูดอะไรก็เชื่อไปหมดดีไปหมด เพราะพระโกหกไม่ได้ใช่ไหม บอกว่าระลึกชาติได้ก็ต้องเชื่อ บอกว่าตัดกรรมได้ก็ต้องเชื่อ บอกว่าไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวนรกมาก็ต้องเชื่อ แล้วใครไปพิสูจน์ได้ว่าพูดจริงหรือพูดไม่จริง ของบางอย่างถึงแม้จะเป็นความจริงก็ไม่กล้าพูด คนที่รู้จริงเห็นจริงเขาไม่กล้าพูดหรอก ถ้าคนเชื่อก็ดีไป แต่คนไม่เชื่อก็อาจจะมา กล่าวหาได้ว่าอุตริหรือเปล่า หรือว่าถ้าพูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ เรื่องของเดรัจฉานวิชาต่างๆนี้พูดไปแล้วมันไม่เกิดประโยชน์กับคนฟัง ทำให้คนฟังเกิดความลุ่มหลงขึ้นมาก็ไม่ควรพูด ควรจะพูดในเรื่องที่ทำให้เขาหูตาสว่าง พูดเรื่องไตรลักษณ์ พูดเรื่องอริยสัจ ๔ ถ้าจะเห็นก็ให้เห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจ ๔ แล้วจะพูดก็พูดได้เต็มปาก ไม่เป็นปัญหาไม่เป็นโทษกับใคร แต่ถ้าพูดเรื่องเดรัจฉานวิชา พูดเรื่องระลึกชาติได้หรือพูดเรื่องชาติก่อนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชาตินี้เลยต้องมาเป็นหลวงปู่ นี่มันไม่รู้พูดไปทำไม พูดเพื่อสร้างยกตนเอง เพื่อให้มีความสำคัญให้น่าเลื่อมใสศรัทธา คนที่จะเลื่อมใสศรัทธาคนแบบนี้ก็คือคนตาบอดเท่านั้นละ คนที่ไม่รู้ธรรม คนที่รู้ธรรมเขาไม่เลื่อมใสศรัทธากับเรื่องแบบนี้หรอก

ชาวพุทธเราต้องฉลาด ต้องศึกษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้รู้ว่าพระแท้จริงเป็นอย่างไร พระปลอมเป็นอย่างไร พระแท้ท่านอยู่อย่างไรท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่มีใครศึกษาสนใจกันเป็นชาวพุทธแท้ๆ แต่สู้คนที่ไม่ใช่เป็นชาวพุทธไม่ได้ พวกชาวต่างประเทศนี้เขาศึกษาถึงแก่นเลย เวลาเขาเข้าหาศาสนานี้เขาเข้าไปในพระไตรปิฎกเลย ศึกษาพระพุทธประวัติ ศึกษาพระธรรมคำสอน เขาจึงไม่หลงกัน เขามาเมืองไทยนี้เขามาบวช เขาไม่ได้มาเพื่อจะมาหาลาภสักการะต่างๆ

พวกเราเป็นเหมือนไก่ได้พลอย มีของดีกลับเขี่ยทิ้งไปชอบของไม่ดี ชอบตัวหนอนตัวไส้เดือน ชอบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชอบวัตถุมงคล ชอบเสกชอบเป่า ชอบฟังพระสวด พระสวดแล้วรู้สึกโอ้โหมีความสุขเหลือเกินได้บุญมาก แต่ไม่รู้ว่าสวดอะไรไม่เข้าใจความหมายเลย การสวดก็คือสวดพระธรรมคำสอนเป็นการสั่งสอน เพียงแต่ว่าไปสอนภาษาบาลีไม่สอนภาษาไทย คนฟังก็เลยไม่เข้าใจ เลยไม่ได้ปัญญา ถ้าตั้งใจฟังก็อาจจะได้สมาธิ คือเวลาฟังพระสวดแล้วตัวเองไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจจดจ่ออยู่กับการฟัง ก็จะได้อานิสงส์ทำให้ใจสงบได้ แต่จะไม่ได้ปัญญา จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติอะไรกัน สอนให้เราร่ำรวยหรือสอนให้เรายากจน ถ้าปฏิบัติถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าสอนให้เรายากจน เพราะความรวยนี้เป็นทุกข์ ความรวยดับความทุกข์ไม่ได้ ความร่ำรวยจะเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น เพราะรวยแล้วก็ไม่อยากจะจน กลัวความจน ความกลัวความจนนี้คือความทุกข์ แต่พวกเราทุกคน ในที่สุดก็ต้องจนกันหมด เวลาตายก็ไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว เวลาจะตายนี้จะทุกข์มากคนที่กลัวความจน ความตายมันยังไม่ค่อยกลัว กลัวที่จะต้องจากทรัพย์สมบัติ จากสิ่งต่างๆไปมากกว่า คนที่ไม่มีอะไรจะจากนี้เวลาตายเขาไม่ค่อยเดือดร้อน อย่างขอทานนี้เวลาเขาตายนี้เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจเสียดาย เขากลับดีใจว่าจะได้หมดทุกข์เสียที อยู่มาก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

ศาสนาพุทธสอนให้เราให้มีความสุขใจ ให้รวยทางจิตใจ รวยด้วยทรัพย์ภายใน รวยด้วยทาน รวยด้วยศีล รวยด้วยภาวนา รวยด้วยมรรคผล นิพพาน เพราะอันนี้แหละเป็นทรัพย์ที่จะให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง และจะเป็นทรัพย์ที่จะติดไปกับเราทุกภพทุกชาติ

ก็ขอให้เราศึกษาธรรมะกันให้มากๆ เราจะได้ไม่หลงทางกัน จะได้ไม่ถูกหลอก นี่มันมีเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว พอจางหายไปสักสองสามปีก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ลองนับมาซิ เวลาโผล่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นกันคิดว่ามีศาสดาองค์ใหม่มากันแล้ว แล้วเดี๋ยวก็เกิดเรื่องฉาวกันตามมา แล้วพอสงบตัวไปสักพัก ก็โผล่ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว ก็มาแนวเดิมมาแนวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ชอบเพราะชาวบ้านไม่เคยศึกษาธรรมะกัน ไม่รู้ว่าของที่วิเศษวิโสจริงๆนั้นเป็นอย่างไร คิดว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้เป็นของวิเศษ ไม่ได้คิดว่าการดับความทุกข์นี้เป็นของวิเศษกัน เวลาสอนให้ดับความทุกข์นี้ไม่ชอบกันไม่อยาก ให้รักษาศีลไม่เอา ให้ภาวนาให้นั่งสมาธินี้ไม่เอา ถอยหนี ให้พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย พอคิดคำว่าตายเท่านั้นไม่เอาแล้วไม่มงคลแล้ว เพราะขาดการศึกษาเป็นพุทธแต่ชื่อ พุทธในทะเบียนบ้าน ไม่ใช่พุทธแท้

พุทธแท้ต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักพระธรรมคำสอน ต้องรู้จักพระอรหันตสาวก นี่ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าวิเศษตรงไหน วิเศษอย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร พระอรหันตสาวกท่านวิเศษอย่างไรพวกนี้ไม่รู้จัก จะรู้จักแต่พระที่แจกวัตถุมงคลเท่านั้น ถ้าที่ไหนมีแจกวัตถุมงคลนี้ คนไปเป็นหมื่นเป็นแสน พอไปแจกธรรมะนี้กระจายเลย พอตั้งนะโมจะเทศน์เท่านั้นลุกไปหนีกันไปแล้ว

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖






#ธรรมะถึงใจ
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

"คนเราจะดีได้ จะยิ่งใหญ่ได้ จะเจริญได้ จะสูงได้ ก็ต้องเกิดจากความกตัญญูกตเวที ไม่ลืมพระคุณของคุณพ่อคุณแม่นี่เอง"

#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
"บวชเรียน"
กัณฑ์ที่ ๓๖๑
๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๐







"ทุกคนมีความต้องการเหมือนกัน นั่นคือ
ไม่ต้องการให้คนอื่นมาพูดให้เราเกิดความ
ไม่สบายใจ ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ เราก็ต้องรู้ตัวเอง
ว่าไม่ควรทำ ไม่ควรพูดให้คนอื่นมีความเดือดร้อน
เป็นทุกข์จากตัวเราเช่นกัน"

หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ






เวลาภาวนา ให้ถือเอาความสุขของจิตเป็นสำคัญ

หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง






#นี่ละการพิจารณาภาวนา #เมื่อมันอิ่มตรงไหนแล้วมันก็ปล่อย

ปัญญาพิจารณาทางด้านปัญญาเกี่ยวกับเรื่องสกลกายนี้ มีการยักย้ายเปลี่ยนแปลงกันเรื่อยๆ นะ

พิจารณาอย่างนี้แล้วแยกอย่างนั้น พิจารณาอย่างนั้นแยกอย่างนั้น เอาจนกระทั่งสุภะ-อสุภะนี้มันกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน

แล้วทีนี้มันหมดสภาพของร่างกาย จิตพิจารณาร่างกายจนครบรอบหมดแล้วอิ่มตัวในการพิจารณาร่างกายแล้วไม่อยากพิจารณา

จิตเข้าสู่ความสงบเข้าไป จากนั้นก็ว่างเข้าไปๆ ร่างกายเหล่านี้ก็ค่อยปล่อยไปๆ แต่เอาร่างกายสลับซับซ้อนทบทวนอยู่เสมอนะ จนกระทั่งจิตมันชำนาญ ร่างกายของเรานี้มันก็ปล่อยของมันเอง

ทีนี้ยังเหลือแต่ความว่างของจิต สติจับอยู่กับความว่าง ตั้งอันนี้ขึ้นเรื่อย ตั้งสกลกายที่เป็นหินลับปัญญาตั้งขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปตั้งขึ้นไปมันก็ดับ ตั้งขึ้นไปก็ดับ

ต่อไปมันก็หยุดทางร่างกาย มันอิ่มร่างกายแล้วหยุด พิจารณาแต่เรื่องความว่างกับความรู้อยู่ด้วยกัน แต่อาศัยอันนี้ละตั้งอยู่เสมอ ไม่ใช่ปล่อยทิ้งทีเดียว

มันควรจะปล่อยทิ้งได้มันก็รู้เอง ถ้ายังไม่ควรปล่อยก็เอาอันนี้สลับเข้าไป ช้าหรือเร็วมันเกิดแล้วมันดับ ช้าหรือเร็วเกิดแล้วดับ อสุภะอสุภังตามไม่ทันเมื่อถึงขั้นมันเกิดดับๆ แล้วไม่พิจารณาอสุภะอสุภังละ มันอิ่มของมันเอง

จากนั้นมีความว่างแล้วนิมิตของร่างกายเข้าไปแทรกซ้อนๆ อยู่เสมอ ต่อไปมันก็ชำนาญ จิตก็เข้าถึงขั้นว่าง

นี่ละการพิจารณา มันอิ่มของมันแล้วมันปล่อยเอง ปล่อยแล้วเอาอะไร เมื่อไม่มีร่างกายแล้วเอาอะไร ขั้นว่าง ว่างสลับกับร่างกายต่อไปมันก็ว่างเข้าไปเรื่อยๆ จิตใจก็สง่าผ่าเผยละเอียดลออเข้าไป จนกระทั่งว่างไปหมดในโลกธาตุนี้ กลายเป็นความว่างเปล่าไปเหมือนร่างกายของเรา

นี่ละการพิจารณาภาวนา เมื่อมันอิ่มตรงไหนแล้วมันก็ปล่อย ถ้ายังไม่อิ่มก็ไม่ปล่อย

ร่างกายนี้ถ้ามันอิ่มแล้วมันก็วิ่งเข้าไปอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่ว่าอสุภะอสุภังเหล่านี้มันผ่านของมัน มันอิ่มแล้ว เข้าไปหาความเกิดความดับ ความเกิดความดับ พิจารณาอันนั้นต่อไปมันก็ว่าง

ว่างก็ยังเอาสิ่งนี้มาสลับอยู่นั้นแล มันหากจะรู้ในตัวเอง

เมื่อมีผู้แนะไว้แล้วอย่างนี้ต่อไปมันก็ว่างไปหมด จิตกับความว่างอยู่ด้วยกัน สติกับจิตกับความว่างอยู่ด้วยกันเรื่อยๆ ละเอียดลออเข้าไป มีแต่ยิบแย็บๆ แล้วก็ว่างๆ เข้าไป นั่นจะเข้าถึงจิตเดิม

จิตเดิมแท้ที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา มันจะเข้าสู่จุดนั้นละ เมื่อพิจารณาพอแล้ว อวิชฺชาปจฺจยา มันก็เบิกตัวมันออกไป ปัญญาอันนี้มันก็บีบกันเข้าไปจนขาดสะบั้นไปหมดเลย

ต่อจากนั้นไม่ถามใครก็ได้ มันหากเข้าใจในตัวเอง

พิจารณาอะไรถ้าจิตยังดูดดื่มอยู่กับอะไรให้พิจารณาอันนั้นให้มาก เมื่อมันอิ่มแล้วมันก็เคลื่อนย้ายไปจากการพิจารณา สภาพของกรรมฐานที่นำมากำกับใจมันก็เปลี่ยนของมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันว่างหมด

จิตเมื่อถึงขั้นมันว่างว่าง เราจะพิจารณาร่างกายเมื่อไรเกิดพับดับพร้อม เราจะแยกธาตุแยกขันธ์อย่างนี้ไม่ทัน มีแต่เกิดดับ ดับพร้อมๆ พร้อม แล้วก็มาอยู่ความว่าง

หากฝึกกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเกิดปั๊บนี้เราจะพิจารณาว่าเป็นอย่างไรๆ ไม่ทัน เกิดแล้วดับๆ ทีนี้จิตก็อาศัยอันนี้เป็นอารมณ์ เกิดดับๆ สติจ่อเข้าไปๆ จิตจะเคลื่อนย้ายเข้าไปสู่ความละเอียดเรื่อยๆ

นี่การพิจารณาภาวนาเป็นขั้นเป็นตอนนะ ไม่ถามใครมันก็รู้เอง เมื่อถึงขั้นตอนของจิตที่กำลังพัวพันอยู่กับกรรมฐานใดมันก็พัวพัน เมื่อมันอิ่มตัวของมันแล้วมันก็ปล่อยออกมา ปล่อยออกมาแล้วก็มาอยู่ขั้นว่าง

ความว่างกับความคิดปรุงมันก็เกิดด้วยกันแล้วก็ดับพร้อมกันๆ นี่เรียกว่าการพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาจะเกิดอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมีสติติดแนบอยู่แล้วมันจะเกิดของมัน จึงเรียกว่าปัญญาอัตโนมัติ ท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา มันเกิดแล้วดับๆ หากเป็นไปอย่างนั้น นี่การพิจารณา

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






#คุณย่าชีแก้ว #เสียงล้ำ

การปฏิบัตินี้ อย่าสงสัยเลย
อย่าประมาทนะ
ทำไว้ได้น้อยนึงก็ให้เอาเถิด
เพราะเป็นจริงเฉพาะตน

ให้นึกถึงตัวเอง
ใครเป็นผู้ เกิด
แก่ เจ็บ ตาย

รูป นาม ชีวิตเป็นอยู่
มันมิใช่ของเรา
อย่าเอาตัวเอง
ไปสกปรกอยู่กับทุกข์

(การยึดในขันธ์5 เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คุณย่าท่านให้ตัดขันธ์5 ทิ้ง มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา)

แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร