จิตทุก1ขณะครบขันธ์5มีตัวจริงธรรมเกิน7ประเภท
และตามการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าขันธ์5ไม่ใช่ตัวตน
ในขณะนี้มีแต่จิต1ขณะเกิดดับนับไม่ถ้วนไม่มีเราไม่มีเขา
มีแต่ธรรมแต่ละ1ดับไปหลากหลายที่ยังมีเหตุและปัจจัย
ทำให้เกิดขึ้นเห็นได้ยินดมกลิ่นลิ้มรสรับสัมผัสคิดนึกจำไว้
ตามความคิดของเราว่ามีตัวเราแต่ตรงตามพระธรรมแล้ว
มีแต่ธรรมไม่มีเราจึงต้องฟังเพื่อศึกษาแต่ละชื่อของธรรม
เพื่อรู้ลักษณะของธรรมและการเกิดร่วมกันได้เพื่อเข้าใจ
ว่าธรรมแต่ละประเภทมีที่เกิดตรงไหนทำงานร่วมกันยังไง
ขณะนี้กำลังมีจิตตนเป็นไปตามอารมณ์ที่จิตรู้อย่างไรบ้าง
พระพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของธรรมแต่ละ1ลักษณะ
โดยละเอียดเพื่อไม่ให้ใครเอาไปคิดตกแต่งต่อเติมคำเพิ่ม
ดังนั้นการทำงานของจิตรู้อารมณ์(อารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้)
จิตทุก1ขณะเกิดได้ดวงเดียวและมีธรรมที่มาประชุมรวมกัน
เกิดให้รู้ว่ายังมีจิตคือมีนิมิตตามปกติภพภูมิให้คิดตรงตามได้
พระธรรมต้องศึกษาตลอดชีวิตและการรู้คำตรงตามคำสอน
อาศัยสุตมยปัญญาไม่ใช่การเรียนวิชาการแต่เป็นการฟังธรรม
ที่เป็นลักษณะจริงจริงที่กำลังปรากฏว่ามีที่กายจิตใจขณะนี้
จิตเกิดเร็วมากประมาณความเร็วเทียบแค่ลัดนิ้วมือเดียว
มีจิตกำลังเกิดดับแล้วนับแสนโกฏิขณะ=ล้านล้านดวงจิต
เทียบอีกเร็วแค่พริบตาเดียวจิตดับเป็นอดีตไม่กลับมาอีก
ขณะนี้เกิดจิตดวงใหม่เกิดแล้วและดับแล้วถึงแสนโกฏิคือ
เรากำลังมีกิเลสตัณหาอวิชชาแปลว่าไม่รู้ความจริงใดใด
เพราะไม่คิดตรงคำตามการฟังคำสอนเพื่อคิดไตร่ตรอง
รู้จักธรรมที่ปรากฏว่ามีแล้วไม่ทำอะไรเลยจิตก็ดับแล้วค่ะ
เราจำว่ามีตัวตนแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าจิตจำสิ่งที่จิตรู้
และจิตรู้อารมณ์ทีละ1อย่างตรง1ลักษณะที่่จำดับทันที
จิตเกิดดับตรงทีละ1ดวงจิตและมีอากาศธาตุแทรกคั่นไว้
เกิดจิตดวงใหม่ที่จำสิ่งที่จิตดวงใหม่รู้ไม่จำข้ามจิตดวงอื่น
จึงเป็นที่มาของคำถามว่าทำไมจึงไม่มีจำอันเก่าแล้วเพราะ
จิตคือวิญญาณขันธ์ขณะนี้คือดวงใหม่เสมอทุกเวลาและ
จิตที่เกิดใหม่คือขันธ์5ใหม่ทั้งหมดมีเป็นประธานรู้ว่าจำ(สัญญาขันธ์)อะไร
และในขณะที่กำลังฟังรู้สึกคิดนึกไตร่ตรองเข้าใจถูกตรงตามคำสอนได้
ขณะนั้นเองที่จิตกำลังปรุงแต่งบุญที่ประกอบด้วยปัญญา(สังขารขันธ์)
ทั้งหมดนี้รู้ผ่านที่ประชุมรวมกันที่กายใจตนเองได้เท่านั้น
ขณะนี้จึงมีธรรมครบถ้วนทั้งธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6
ที่เกิดปรากฏว่ามีตรงตามเหตุตามปัจจัยตามปกคิเป็นปกติ
https://youtu.be/2EkMKg8pBvo