วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2022, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่จับผิดแต่คนอื่น
มันก็จะได้แต่ความผิด
คนที่คอยจับถูกคนอื่น
มันก็จะได้แต่ความถูก...

#พระเทพมงคลวชิรมุนี
หลวงปู่หา สุภโร




เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของพระอรหันต์กับปุถุชนมีเหมือนกัน
แต่ท่านไม่ติด ท่านเป็นจิตวิมุตติหลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว
นั้นแหละเป็นผู้พ้นแล้วจากกรรมฐานทั้งหลาย
พ้นแล้วจากโทษทั้งปวง
เอา พูดให้เต็มยัน
ไม่มีใครพูดหลวงตาบัวองค์เดียวเป็นผู้พูด
เมื่อหลุดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว
สังฆาทิเสส ปาราชิก ไม่มี
อาบัติอาจีทุกอย่างที่จะเข้าไปติดใจของพระอรหันต์ไม่มีเลย
เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล จิตนั้นเป็นจิตตวิมุตติหลุดพ้นไปแล้ว
ยังเหลือตั้งแต่ธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติด้วยกันครองกันอยู่
จึงต้องรักษากิริยามารยาทอันสวยงามให้พอเหมาะพอสม
ทั้งฝ่ายศาสนาก็ยอมรับ ทั้งฝ่ายประชาชนก็ยอมรับ สังคมยอมรับกันด้วยมารยาทของผู้มีศีลธรรม ทั้งผู้ที่มีกิเลส ทั้งผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว
มารยาทที่จะรักษาธาตุขันธ์นี้มีเสมอกัน ท่านรักษากันไปเพียงนั้น
แต่ที่จะให้ท่านมาเป็นสังฆาฯ ปาราชิก หมด สุดวิสัยแล้วที่จะเป็นไปได้
ท่านครองขันธ์อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ขันธ์อันนี้ก็ต้องปฏิบัติแบบโลกเขาปฏิบัติกัน
เราเป็นพระก็ปฏิบัติแบบพระสมบูรณ์แบบตามเดิม
โลกเขาก็เป็นโลกเขาตามเดิม
ส่วนจิตบริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้ว
ไม่มีโทษมีภัย ไม่มีกรรมอันใดที่จะเข้าไปติดจิตที่บริสุทธิ์แล้ว
เพราะฉะนั้นจึงว่า สังฆาทิเสส ปาราชิก เป็นโทษที่หนักที่สุดในวงสมมุติ
กิเลสสลัดปัดขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นคนละฝั่ง เป็นนิพพาน เป็นธรรมธาตุแล้วหมดโดยสิ้นเชิง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติ
สังฆาฯ ปาราชิกเป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ
หลุดพ้นแล้วครองขันธ์อยู่ ที่เป็นสมมุติก็คือขันธ์
ขันธ์นี้ต้องรักษาไว้จนถึงกาลเวลา เพศของพระรักษากิริยามารยาท
ความประพฤติปฏิบัติของพระให้อยู่ในศีลในธรรม
จนกระทั่งถึงวันนิพพานก็สิ้นสุดไป
หมดทั้งโลกทั้งธรรมอยู่ด้วยกัน
ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว วิมุตติหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด




"เป็นตัวอย่างในการวางตัวของพระกับฆราวาส"
การวางตัวของพระต่อฆราวาสญาติโยม
ที่มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องละเอียดมาก
ท่านพ่อเคยพูดอยู่เสมอกับพระลูกศิษย์ว่า
"จำไว้นะ ไม่มีใครจ้างให้เราบวช
เราไม่ได้บวชเพื่อเป็นขี้ข้าของใคร"
แต่ถ้าพระองค์ใดมาบ่นกับท่านพ่อว่า
โยมที่อยู่ประจำที่วัดไม่ยอมทำตามที่ท่านขอไว้
ท่านพ่อจะย้อนถามทันที "ท่านบวชมาเพื่อให้เขารับใช้หรือ"
"ความเป็นอยู่ของเราก็อาศัยเขา
เพราะฉะนั้นเราอย่าทำอะไรที่จะต้องหนักที่เขา"
"ถึงเขาจะปวารณา..เราอย่าเป็นพระขี้ขอ
ผมเองตั้งแต่บวชมา ถึงจะมีคนปวารณา
ผมไม่เคยขออะไรที่เขาจะต้องออกไปซื้อ
ได้ปัจจัยมาผมก็ทำบุญไป ไม่เคยซื้ออะไร
เก็บไว้เป็นส่วนตัวนอกจากหนังสือธรรมะ"
"พระเราถ้ากินข้าวของชาวบ้าน แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ
ให้สมกับที่เขาใส่บาตรเรา ชาติหน้าเรามีหวัง
เกิดมาเป็นควายใช้หนี้เขา"

"พระอาจารย์เฟื่อง โชติโก"
วัดธรรมสถิต จ.ระยอง









…ถ้าเป็น “ ธรรมแท้ “ นี้
ต้องรักษาใจให้สงบได้ทุกเวลา
.ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ใจจะนิ่งจะเฉย จะไม่เดือดร้อน
จะไม่วุ่นวาย จะไม่หวาดกลัว
ถึงจะ..เป็นปัญญาจริงถึงจะเป็นธรรมแท้
.ธรรมแท้
จะรักษาใจให้สงบให้ปลอดภัย
จากความทุกข์ต่างๆ
.ถ้ายังมีธรรมะแล้ว..ใจยังทุกข์อยู่ก็
แสดงว่าไม่ได้เป็นธรรมะแท้
ไม่ได้เป็นปัญญาที่แท้จริง
ถ้าเป็นปัญญาที่แท้จริงนี้
“ ใจจะไม่ทุกข์กับอะไรเลย “.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๙







"คำสอนของผมนอกตำรา แต่อยู่ในขอบเขต อาจไม่ถูกคัมภีร์แต่มันถูกสัจธรรม”
หลวงพ่อเขมธัมโม (ลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดป่าสันติธรรม ณ เมืองวอร์ริค ประเทศอังกฤษ
"พระอาจารย์เขมธัมโม เล่าถึงบรรยากาศในขณะนั้นว่า หลวงพ่อชา ชอบเดินเล่นรอบๆ วัดในตอนเช้า หลังจากออกบิณฑบาต บางครั้งเมื่อหลวงพ่อชา เดินอยู่ตามลำพังท่านก็มักจะกวักมือเรียกใครสักคนให้เดินไปกับท่าน เพื่อสนทนาธรรมไปในตัว
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านกำลังสับสนบางอย่างเกี่ยวกับคำสอน หลวงพ่อชา จึงได้พาท่านเดินไปด้วยอยู่สองสามวัน เพื่อจะช่วยหาทางแก้ปัญหาให้ จนวันหนึ่งมีกิ่งไม้หนักขวางทางอยู่ หลวงพ่อชา ได้ยกท่อนไม้นั้นขึ้นและบอกให้ท่านช่วยยกอีกข้าง แล้วถามว่า
“หนักไหมล่ะนี่ ?”
และเมื่อได้ช่วยกันเหวี่ยงไม้ท่อนนั้นเข้าไปในป่าแล้วหลวงพ่อชา ก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า
“ตอนนี้ล่ะเป็นไง หนักไหม ?” และสอนว่า
“ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้รู้จักการปล่อยวาง ถ้าทำได้ก็จะเบาตัว”
ครับ..ในเรื่องของการปล่อยวางนี้ เป็นตัวอย่างของการสอนในแบบฉบับของหลวงพ่อชา คือสอนด้วยการทำให้ดู อันเป็นการสอนในลักษณะของภาษาธรรม ซึ่งพระอาจารย์เขมธัมโม ก็ไม่ได้เป็นพระฝรั่งองค์เดียวที่เคยถูกสอนด้วยภาษาธรรม เพราะในครั้งหนึ่งเคยมีชาวตะวันตกที่หวังแจ้งเกิดในหลักธรรมได้ยิงคำถามตรงประเด็นแบบไม่ถนอมน้ำใจคนที่ต้องตอบว่า
“ศาสนาพุทธ สอนอะไร?”
แทนการตอบคำถามหลวงพ่อชา ท่านได้ชี้นิ้วไปที่ก้อนหินเขื่องบนดาน
“ยกก้อนหินนั้นขึ้นมาสิโยม”
ฝรั่งนายนั้นทำตามที่หลวงพ่อชา บอก
“หนักไหม” ท่านถาม
“หนักครับ” ฝรั่งเจ้าของปุจฉาที่ตนเองคิดว่าลึกล้ำร้องตอบ
หลวงพ่อเจ้าปัญญาจึงไขปริศนาธรรมนั้นว่า
“อะไรมันหนัก ก็วางลงเถิด สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มีเพียงเท่านี้”
ครับ “ก้อนหินก้อนนั้น” เปรียบเสมือน “กิเลสและตัณหา” ที่เกาะติดตัวเราอยู่ ถ้าเรารู้จักการปล่อยวางเสียบ้าง เราก็คงจะเบาสบายตัวอย่างที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้แหละครับ
"...เหตุไฉนบุคคลผู้มีความรู้ทางโลกเพียงแค่ชั้น ป.๑ อย่างหลวงพ่อชา จึงมีลูกศิษย์ชาวต่างประเทศที่ได้อุทิศตนเป็นพุทธสาวกอย่างจริงจังจำนวนมากแล้ว ในอีกมุมหนึ่งคือทางธรรมยังเป็นการสะท้อนให้เราทราบถึงความจริงที่ว่า
“ธรรมไม่เคยแบ่งชนชั้น ไม่เคยแบ่งประเทศ ไม่เคยแบ่งภาษา และไม่เคยแบ่งเพศวัย”
เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ถึงจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาและสามารถสัมผัสได้ด้วยการกระทำ ดังคำสอนของหลวงพ่อที่มักบอกลูกศิษย์เสมอๆ ว่า
“คำสอนของผมนอกตำรา แต่อยู่ในขอบเขต อาจไม่ถูกคัมภีร์แต่มันถูกสัจธรรม”

หลวงพ่อเขมธัมโม (ลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท)
วัดป่าสันติธรรม ณ เมืองวอร์ริค ประเทศอังกฤษ






ถ้าเอ่ยคำว่า ‘วิญญาณ’ หลายๆ คนอาจจะกลัว คิดโยงไปถึงเรื่องผีทันที แต่ในทางพุทธ วิญญาณเป็นชื่อของธาตุรู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเห็นอะไรก็ตาม หรือพูดภาษาธรรมะว่าตาเห็นรูป ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจจะเห็นรูปนั้น การเห็นรูปคือวิญญาณ จู่ๆ มีเสียงเกิดขึ้น หูได้ยินเสียง การได้ยินเสียงก็เป็นวิญญาณอีกวิญญาณหนึ่ง เป็นวิญญาณเกิดที่หู ส่วนวิญญาณทางตาก็ดับไป เมื่อจมูกได้กลิ่น วิญญาณก็เกิด ลิ้นได้รสก็เป็นวิญญาณ กายได้สัมผัสก็เป็นวิญญาณ เกิดความคิดอยู่ในใจก็เป็นวิญญาณ ความรู้ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นวิญญาณทั้งสิ้น แต่มันไม่ใช่มีวิญญาณตัวเดียวกัน มีวิญญาณที่ตา เกิดขึ้นดับไป วิญญาณที่หู เกิดขึ้นดับไป วิญญาณที่กาย เกิดขึ้นดับไป เป็นอย่างนี้ หากมองภาพรวม มันเป็นกระแสที่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เร็วมากๆ จนเหมือนต่อเนื่องเป็นสิ่งเดียว ส่งผลให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเราผู้ได้เห็น ผู้ได้ยิน ผู้ได้กลิ่น ผู้ได้รส ผู้สัมผัส ผู้คิด
พระพุทธองค์ตรัสว่าที่จริงแล้วมันเป็นวิญญาณ คือ ความรู้เกิดขึ้นที่ตา เกิดขึ้นดับไป ความรู้เกิดขึ้นที่หู เกิดขึ้นดับไป ความรู้เกิดขึ้นที่จมูก เกิดขึ้นดับไป เป็นต้น วิญญาณที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัววิญญาณเป็นความรู้เฉยๆ ไม่ได้รู้รายละเอียด ไม่ได้รู้ว่าดีว่าชั่ว ไม่ได้รู้ว่าควรไม่ควร มันเป็นเพียงแค่พื้นความรู้เท่านั้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งต้องอาศัยสติต่อเนื่องและปัญญาพิจารณาให้ดีให้เห็นว่ามันไม่ใช่

พระอาจารย์ชยสาโร






ผู้ที่มีจิตเคารพในศีล ตั้งมั่นอยู่ในศีลที่มั่นคงและต่อเนื่องนานๆ จิตก็จะเกิดความผ่องแผ้ว ความดีใจ นึกถึงศีลแล้วก็เบาใจ นึกถึงศีลแล้วสบายใจ นึกถึงศีลแล้วอุ่นใจ จุดนี้แหละคือที่จะทำให้เกิดสมาธิ

หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร