วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2022, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“#พระคุณพ่อแม่นี้ยิ่งใหญ่มหาศาล”

บุญคุณของพ่อแม่นี้ยิ่งใหญ่มหาศาล เพราะไม่มีพ่อแม่จะมีเราได้อย่างไร เราเกิดมาเป็นคนได้นี้ ถ้าไม่มีพ่อแม่จะมาเกิดเป็นคนได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าบุญคุณของพ่อแม่นี้ ต่อให้เลี้ยงดูท่านดีขนาดไหนก็ตาม แบกท่านไว้บนบ่าบนไหล่ ให้ท่านอุจจาระปัสสาวะใส่เราไปจนถึงวันตาย บุญคุณของท่านก็ใช้ไม่หมด

อันนี้แหละคือความยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ของเราที่พวกเราไม่มีใครสอนกัน ไม่มีใครให้คิดกัน คิดแต่จะเอาประโยชน์จากพ่อแม่อย่างเดียว พ่อแม่มีสมบัติเท่าไหร่เดี๋ยวแย่งกันแล้ว ใช่ไหม นี่พ่อแม่ตายมาตีกันแล้ว มาตีมาแย่งสมบัติกัน แต่เวลาพ่อแม่ต้องการความช่วยเหลือของเรา ไม่มีใครมาแย่งช่วยเหลือกันเลย เพราะความโลภความหลงของเรา ความเห็นแก่ตัวของเรา อยากจะได้ประโยชน์ ไม่อยากจะรับภาระ

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๒

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน




"ตั้งใจทำความเพียร อย่ากินแล้วนอน มันทับอาหาร มันไม่แข็งแรง เห็นมั้ยครูบาอาจารย์ ฉันแล้วท่านเดินจงกรม ถึงเวลาเที่ยงค่อยพักก็ได้ ไม่พักยิ่งดี พวกเรามันต้องฝึกตัวเอง ครูบาอาจารย์แนะให้ เราต้องไปฝึกเอาเอง ตัวเราไม่ฝึกใครจะฝึกให้
....
ธรรมวินัยก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าท่านวางไว้อย่างดี ไม่ขาด ไม่เกิน ที่จะเกินไปทำไม่ได้ไม่มี ทำได้หมด เว้นแต่คนไม่ทำเท่านั้นแหละ ไม่ได้หายไปไหน ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ถ้ามนุษย์ทำไม่ได้ท่านไม่วางไว้หรอก ธรรมทั้งหลายท่านวางไว้ให้มนุษย์ทำนี่แหละ ไม่ใช่วางเพื่ออะไร"
.
โอวาทตอนหนึ่ง ของหลวงพ่อสมบูรณ์








#มุมที่เรามอง

“...อาตมานั่งบนเครื่องบินที่กำลังจะลงที่ดอนเมืองเห็นเขาติดไฟตามวัดก็ดูสวยงามมาก เมื่อเราเห็นภาพแบบนั้นเราก็ดีใจที่ได้กลับมาเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ อาตมาถือว่าเรามีโอกาสของคนมีบุญ ได้พบครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่นหลวงพ่อชา พระโพธิญาณเถร และครูบาอาจารย์อีกหลายองค์ เราก็เกิดปีติสุข กำลังจะกลับดินแดนของพุทธ รู้สึกว่าสบาย

เมื่อกำลังมองหน้าต่างด้วยความสบายใจ ก็ได้ยินเสียงของชาวต่างชาติอีก ๒ คน เขานั่งเก้าอี้ข้างหน้าเรา และเขากำลังมองหน้าต่างอันเดียวกัน เห็นภาพเมืองกรุงเทพอันเดียวกัน และเขาก็พูดออกมาเสียงดังให้พระอาจารย์ได้ยินด้วย เขาคุยกัน ๒ คนบอกว่าถึงกรุงเทพแล้ว ถึงเมืองบาปแล้ว sin city ! แล้วเขาพูดว่าจะเที่ยวพัฒพงษ์ให้สนุก

อาตมาสะดุ้ง เราสะดุ้งที่เขามองคนละอย่าง ตรงกันข้ามกับเรา ทำให้เรามีความรู้สึกอยู่เหมือนกันว่าทั้ง ๒ คนนี้กำลังจะมองภาพอันเดียวกัน จากหน้าต่างอันเดียวกัน ประเทศเดียวกัน เมืองเดียวกัน แต่มองหาคนละจุด คนละมุมกับเรา เราไปที่ไหนในโลกนี้แล้วมองหาสิ่งดีก็ได้ หรือสิ่งไม่ดีก็ได้ แล้วแต่เราแสวงหาอะไรอยู่...”

#พระเทพพัชรญาณมุนี
พระอาจารย์ฟิลลิป ญาณธมฺโม
วัดป่ารัตนวัน อ.ว้งน้ำเขียว จ.นครราชสีมา







"คนเราเกิดมามีบุพกรรมเนื่องกัน อยู่ไกลแสนไกลก็ต้องได้มาเจอกัน แต่ที่จะสอนกันได้ ทรมานกันได้ ลากกันไปสวรรค์ พรหม นิพพานได้ ต้องเคยเป็นหมู่คณะบำเพ็ญร่วมกันมาเป็นอสงไขยกัป ไม่อย่างนั้นกระทบอะไรหน่อยเดี่ยวก็สะดุด หลุดวงโคจรไป

เคยเห็นไหม มาวัดแต่ไปไม่รอด ไปไม่รอดเพราะอะไร จิตใจมันไม่อยู่กับวัด มันวิ่งไปอยู่กับคนรัก เงินทอง ลูกหลาน วุ่นกับอดีต กับอนาคต รุงรังอย่างนี้แล้ว จะไปนิพพานได้อย่างไร แต่ก็เอาเถอะ ค่อยๆ สั่งสมบุญบารมีไป สะสมนิสัยวาสนาไป บุญบารมีพร้อมเมื่อไหร่จะดำริออกจากกาม มุ่งไปพระนิพพานสถานเดียวเอง..."

บางช่วงบางตอนของธรรมเทศนา เรื่อง ความเกี่ยวข้อง

#พระวชิรญาณโกศล
พระอาจารย์คม อภิวโร
วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ในหนังสือสวดมนต์ฉบับพิเศษ ฯ วัดป่าธรรมคีรี (จันดีอนุสรณ์) ๙๙๙ หมู่ ๑๔ บ้านซับน้ำเย็น ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา






…ดูข่าวคนตายบ้าง
ตายอายุกันเท่าไหร่ ๒๐, ๓๐
เด็กบางคนอายุไม่ทันกี่ขวบ
“ ก็ตายกันแล้ว “

.ฉะนั้นโอกาสที่เราจะตาย
“ ก็มีเหมือนเขานั่นแหละ “
อาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้

.คืนนี้นอนหลับ
แล้วพรุ่งนี้ไม่ตื่นขึ้นมาก็ได้
ให้คิดอย่างนี้ แล้วเราจะได้ไม่มาวุ่นวาย.
……………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๓







"... การปฎิบัติธรรมนั้น ปฏิบัติเพื่อมรรค
ผล นิพพาน
... หรือว่าถ้าพูดอย่างสามัญลงมา ก็เพื่อ
ความดี
... เพื่อความบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อสวรรค์..."

#สมเด็จพระญาณสังวร_สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก








“เราทั้งหลาย ควรพิจารณาเนืองๆ ทุกวันว่า
เรามีกรรมเป็นของตนเอง และอย่าได้ประมาท
เรื่องของกรรม

เราทำกรรมอย่างใดไว้ ใครไม่รู้ไม่เห็น
ก็ว่าจะไม่ได้รับผลของกรรมนั้น อย่าได้เข้าใจ
อย่างนั้นเป็นเด็ดขาด การทำบาป หรือการทำบุญ
จะทำในที่ลับ หรือในที่แจ้ง หรือใครไม่รู้ ไม่เห็น
ก็ตัวของเรา ใจของเรารู้เห็นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็กล่าวไว้ว่าที่ลับไม่มีในโลกนี้
แม้ว่าจะลับตาลับหูคนอื่น แต่เราก็รู้ เราก็เห็น
คนเดียว เรื่องของกรรมมันเป็นอย่างนี้...”

ครูบาเจ้าพรหมมา พรหมจักโก

รูปภาพ

หลวงปู่ภาวนาไปดู
เมืองสวรรค์ เมืองนรก เมืองบาดาล เมืองพญานาค

กรรมบังตาบังจิต กว่าจะมารู้นี่มันแก้ไม่ได้แล้ว

จริงๆ แล้วที่หลวงปู่ได้ไปเที่ยวทั้งสวรรค์ ทั้งนรก ทั้งเมืองบาดาล เมืองพญานาค ลงไปเมืองบาลมันเป็นยังไง เมืองมนุษย์ของเราเป็นยังไง พวกเปรตทั้งหลายที่ได้เสวยกรรมอยู่ ถูกทรมานอยู่ในที่คุมขังอยู่เหมือนคุกนี่เป็นยังไง ลำบากไม่มีของอยู่ของกิน สกปรกโสมมจะกินน้ำจะอาบน้ำก็ไม่มี เสื้อผ้าจะใส่ก็ไม่มี พวกหนึ่งก็เป็นสัมภเวสีล่องลอยเดินอยู่อย่างนั้น ไม่มีอาหารอยู่อาหารกิน ผอมนะ เขาเห็นคนทำบุญนี่ก็ไปแหล่ว ไปขอกินคนที่เขามีบุญ พอพระอนุโมทนาเสร็จ เรากรวดน้ำเสร็จ ของก็กองอยู่พวกอาหาร

พวกเขามีบุญที่ทำบุญทำทานเหมือนกับพวกเรา ก็ไปกินแบบอิ่มหนำสำราญ มีความสุข แล้วก็อนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้า เวลาที่พระเจริญพทธมนต์ก็นอบน้อมเข้าไปสู่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระให้ไตรสรณคมให้ศีลอย่างนี้ เราก็นอบน้อมเข้าไปเอง นี่จิตที่เป็นบุญเป็นกุศล เมื่อเต็มแล้วเขาก็ไปเกิด บางคนก็ไปสวรรค์

“พวกที่ทุกข์ยากลำบาก ที่ไม่เคยได้ทำบุญสุนทาน ก็ไปขอเขาก็เอาไม่ได้ เสื้อผ้าอย่างนี้ก็จับไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เปลือยกาย”

ส่วนมากคนเป็น ๑,๐๐๐ คนนี่จะมีเสื้อผ้าใส่นี่ จะมีไม่เกินคนสองคนเด้ นอกนั้นเปลือยกายทั้งหมดนะ คนที่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เพราะไม่เคยได้ทำบุญให้ทาน อย่างที่พวกเราอย่างนี้ ถ้าไปเฉลี่ยใส่คน กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คนในกรุงเทพฯ นี่ ทำเป็นอย่างเรานี้มีกี่คน ถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ หรือเปล่า?

นี้แหละ...นอกนั้นพวกนั้นนี่ไม่มีเสื้อผ้าใส่แล้ว แล้วกินแต่เหล้าเมายา ร้องรำทำเพลงเข้าผับเข้าบาร์ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่มีศีลมีธรรม ขโมยของกัน รบลาฆ่าฟันตีกัน ทะเลาะกัน ไม่เหมือนกับพวกเรานะ เขาทำอย่างนั้นเขาว่าเขามีความสุขเด้

แต่พวกเราเห็น...รับไม่ได้นะมันเป็นอย่างนั้น ที่เดินสวนกันในถนนข้าวสารนี่ ทั้งฝรั่งทั้งคนไทย โอ้ย ! จะเหยียบกันตายในเทศกาลนี่ นี้แหละมันเยอะๆ อย่างนั้นแหละ

นี้แหละคนมันไม่รู้จักศีลไม่รู้จักธรรม ไม่ได้ปฏิบัติเวลาตายไปถึงจะรู้ กว่าจะมารู้นี่มันแก้ไม่ได้แล้ว จนกว่าจะสำนึกได้นี่ ต้องถูกเขาบังคับรังแกข่มเหงให้รับโทษอยู่เป็นเวลาร้อยปี พันปี หมื่นปี รับแล้วรับอีกๆ ว่าจะไม่ทำแต่ว่าก็ยังทำเหมือนเดิมอย่างนี้

ทีนี้เมื่อนานไปหลายครั้งหลายหน ถูกทรมานมากๆ จิตมันก็จะย้อนไปถึงอดีต เมื่อคราวที่เกิดเป็นมนุษย์ “กูไม่ได้ทำบุญจริงๆ เหมือนอย่างที่ยมบาลเขาว่า เขาถึงได้ตีกู เขาถึงได้ลงโทษกู เขาถึงเอากูไปลงนรก กูไม่ได้ทำบุญจริงๆ นี่ ไม่เหมือนพวกนั้นเขาได้ทำบุญ”

พวกยมบาลพวกนั้นก็เล่าให้ฟัง พอได้ยินอย่างนั้น...

“กูทำยังไงถึงจะได้บุญ กูทำยังไงถึงจะได้ทำบุญ กูทำยังไงกูถึงจะได้ไปเกิด”

พอคิดอย่างนี้มามันก็...

“กูอยากจะไปฟังเทศน์ กูอยากจะไปรักษาศีล ถ้ากูได้ไปเกิด...กูก็จะไปทำบุญอย่างนี้”


เพียงคิดเท่านี้จิตก็เริ่มเป็นกุศลแล้วเด้ พอจิตเริ่มเป็นกุศลนี่ พระสวดมนต์ก็ได้ยินละทีนี้ ได้ยินพระสวดมนต์เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระเทศน์ยังไงสั่งสอนยังไงก็ได้ยิน เมื่อได้ยินจิตก็น้อมเอา เมื่อจิตน้อมเอาก็เป็นบุญเป็นกุศล ก็ขยับใกล้เข้าๆ พอใกล้เข้าๆ ผลสุดท้ายนานไปๆ บาปมันก็หมดไปๆ บางไปหมดไป

พวกเราทำบุญอุทิศให้พวกนั้นไป ครั้งแรกก็จะได้กินคำหนึ่งเล็กๆ “อร่อยที่สุดในโลก” จะไปกินอีกไม่มีเพราะว่ามันหาย...เพราะว่าบุญยังน้อยอยู่ พอนานไปๆ ก็อนุโมทนาไปเรื่อยๆ ก็ได้กินเต็มคำละทีนี่ ได้คำหนึ่งใหญ่ก็อิ่มๆ พออยู่ไปๆ กินได้หลายคำ ผลสุดท้ายกินจนอิ่ม พอกินจนอิ่ม...

“โอ้ย ! กูอยากจะไปเกิดเด้ๆ”

ได้ยินพระสงฆ์สวดมนต์ก็อนุโมทนาบุญ เห็นพวกเรามารักษาศีลภาวนาอย่างนี้...

“สาธุ ถ้าข้าพเจ้าได้ไปเกิดข้าพเจ้าจะไปบำเพ็ญภาวนาอย่างนี้ จะไปไหว้พระสวดมนต์เหมือนอย่างพวกเจ้าอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดด้วยเด้อ อนุโมทนาด้วยเด้อ”


ผลสุดท้ายก็ได้มาเกิดนะ นี้แหละ...โอ้ย ! กว่าจะเป็นอย่างนี้ ใช้กรรมมาเป็นหมื่นๆ ปีเด้ มันไม่ใช่ธรรมดาเด้ !!

ตอนนั้นก็จะหูหนวกตาบอดอยู่เหมือนอย่างคนที่เขาเที่ยวถนนข้าวสารนี้แหละ เราไปชวนเขามาทำบุญนี่ เขาไม่มาเด้นี่ เขาไปกินแต่เหล้าเด้นี่ ตังค์เขาไม่เสียดายเด้ เขาไม่ตระหนี่เด้ แต่ว่ามาทำบุญ ๕ บาทนี่ เขาก็ไม่ให้เด้ บาทหนึ่งเขาไม่ให้เด้ นี้แหละเขาว่าคนหูหนวกตาบอด แต่มันบอดนี่...มันบอดที่จิตวิญญานนะ มันไม่เห็นเลยเด้

อย่างพวกเรานั่งอย่างนี้นี่ ในขณะที่เสวยกรรมอยู่นี้จะไม่เห็นเด้ จะไม่เห็นพวกเราเด้ พวกเรามีศีลนี้นะ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี้เขาจะไม่เห็น ถ้าเป็นหนังสืออย่างอื่นนี้เห็น ถ้าเป็นกระดาษเฉยๆ นี้เห็น เจดีย์ก็ไม่เห็นแต่ต้นไม้เห็น นี้มันเป็นอย่างนี้ มันจะถูกปิดบังหมด นี้คือบาปจนถูกทรมานมานานเข้าๆ จนยอมรับสภาพแล้วจิตถึงย้อนไปถึงที่กล่าวมานั้น ถึงจะค่อยบางไปๆ ถึงจะได้ยินเสียงพระถึงจะเริ่มมองเห็นคน...

“โอ้ ! คนมันเป็นอย่างนี้ เขามีความสุขอย่างนี้ กูทำไมทุกข์ยากลำบากแท้ ชาติก่อนกูก็มีอยู่เหมือนเขา แต่กูไม่ได้ทำบุญ เกิดชาติตอนมาเป็นผีนี้...ทำไมกูถึงได้มาลำบากแท้ เพราะกูไม่ได้ทำบุญ กูอยากจะมาทำบุญ มันเป็นอย่างนี้”

เรื่องวิบากกรรมเรื่องเหล่านี้นี่ ต้องปฏิบัติให้มากๆ แล้วจะเห็นนะ

โยม : กรรมมันบังตาเขาใช่ไหมครับ?

หลวงปู่ : โอ้ ! มันบังตาบังจิต บังตามันไม่เท่าไหร่เด้ แต่มาบังจิตนี่ โอ้ย ! แก้ยาก ใครจะว่าดีเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมรับ ดีไม่ดีนี่...เราว่าดีนี่ มันด่าเราเด้ มันดีตรงไหนว่ะ เห็นพระบิณฑบาตยังด่าเลย มันถึงได้ไปตกนรก


รูปภาพ
ภาพโดย : CR.Puttaporn Aesarn

ถอดความจากเทปพระธรรมเทศนาหลวงปู่ไม อินฺทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
(เป็นช่วงตอบปัญหาธรรมจากญาติโยม
หลังจากที่องค์หลวงปู่ได้เมตตาแสดงธรรมเทศนาแล้วเสร็จ)
ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
:b8: :b8: :b8:


:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่ไม อินฺทสิริ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=58801


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร