วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 18:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2022, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ท่านพ่อลี" เมตตาหญิงยากจนจะหมดอายุขัย ให้เลขไปซื้อหวย ไว้เป็นทุนจัดงานศพตัวเอง..

“ท่านพ่อลี ธมฺมธโร” วัดอโศการาม

ท่านเป็นพระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดชื่อนายกวง ตั้งศรีงามสง่า เป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี เคยบอกพระอาจารย์ฟัก (หลวงปู่ฟัก) ว่า “มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ไปขอหวยจากท่านพ่อลี ท่านก็เอากระดาษเขียนเลยแล้วม้วนกลมๆ โยนให้เธอ เธอรับแล้วเก็บเอาไปด้วยความดีใจ รีบกราบลาท่านออกไปทันที” นายกวง ลูกศิษย์ท่านพ่อลีเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นวิ่งตาม เพื่อจะไปขอดูหวย เพราะปกติไม่เคยเห็นท่านพ่อลีทำเช่นนี้กับใคร และในขณะที่นายกวงกำลังจะลุกวิ่งตามหญิงคนนั้น

ท่านพ่อลีถามว่า “กวง มึงจะไปไหน”
“จะไปเอาเบอร์จากยายคนนั้น”
ท่านพ่อลีก็ห้าม และพูดว่า “อย่า! อย่าไปเอาเป็นอันขาด”

แล้วท่านพ่อลีก็อธิบายต่อไปว่า “กวง! กูจะบอกให้มึงฟัง โยมผู้หญิงคนนั้นนะเธอหมดอายุขัยแล้ว นอกจากเธอจะหมดอายุขัยแล้ว ยังยากจนมากด้วย เราพิจารณาเห็นแล้วสงสาร เราจึงสงเคราะห์เขา เมื่อเขาถูกหวยแล้ว เขาก็จะตาย เงินที่ถูกหวยนั่นแหละ จะเป็นเงินทำศพของเขาเอง และลูกหลานของเขาจะได้ไม่ต้องลำบาก”

หลังจากหวยออกแล้ว ลูกชายของหญิงคนนั้นก็เข้ามาหาท่านพ่อลีที่วัด กราบเรียนท่านว่า “ท่านพ่อ แม่ผมถูกหวยหลายหมื่นบาท และแม่ก็เสียชีวิตแล้ว”

ท่านพ่อลีตอบว่า “เออ มึงเอาเงินนั้นทำฌาปนกิจศพให้แม่มึงนะ”

นี่เอง คือเมตตาธรรมที่ท่านพ่อลีมีให้เสมอสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย เมื่อใครเข้ามาในข่ายแห่งญาณที่ท่านพอจะช่วยได้ ท่านจะไม่ปล่อยผ่านเลยไป นายกวง เห็นท่านพ่อลีบอกหวยหญิงคนนั้นถูก ก็มั่นใจตนเองเป็นนักหนาว่าท่านพ่อลีสามารถรู้ได้ด้วยญาณ จึงคิดอยากจะขอหวยเองบ้าง จึงเข้าไปหาท่านพ่อ แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อครับ ผมขอหวย ๒ ตัว”

ท่านพ่อบอกว่า “ให้มึงไปซื้อหวยที่ปากน้ำสมุทรปราการ”
“เลขอะไร”
“มึงไปถึงตรงนั้น เลี้ยวซ้าย แล้วไปบอกแม่ค้า.. หวยเถื่อนมึงอย่าไปซื้อ ซื้อล็อตเตอรี่รัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ซื้อเพียง ๒ ใบ อย่าเกิน เขาจะให้เลขอะไรมาก็ช่างเขา มึงไม่ต้องสนใจ”

นายกวงก็ถามว่า “ท่านพ่อ ไม่รู้ว่าเลขอะไร แล้วจะถูกอย่างไร”
“มึงไม่ต้องมาถามกู มึงเพียงไปบอกแม่ค้าว่าเอา ๒ ใบก็พอ”

หลังจากนั้นนายกวงถูกลอตเตอรี่ทั้ง ๒ ใบ หางเลขหนึ่งใบ รางวัลที่ ๕ หนึ่งใบ นายกวงจึงเอาปัจจัยมาถวายและซื้อมีดตราตุ๊กตาคู่มา ๑ เล่ม ท่านพ่อลีบอกว่า “เงินการพนันมึงจะเอาไปไหนก็เอาไป กูไม่เอา ประสาหวย กูบอกล่วงหน้าทีละ ๑๐๐ งวดก็ได้”

นายกวงได้ยินดังนั้น กลัวท่านมาก จึงนำเงินไปมอบให้แม่ขาวเป็นค่าน้ำค่าไฟ และทำครัวถวายพระ และเลิกซื้อหวยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
#โอวาทธรรม #ท่านพ่อลี






ถึงจะเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ที่เขาลือกันว่าเป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้า ในที่สุดแล้วความดีของท่านก็เป็นความดีของท่าน ไม่ใช่ความดีของเรา ฉะนั้น การที่ได้เข้าใกล้อาจารย์เพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้จิตใจเราสูงขึ้นมาได้ มันอยู่ที่เราเองแต่ละคน ท่านก็เป็นแต่ผู้ชี้บอก แต่ในที่สุดแล้วตัวเราเองต้องเป็นผู้พายเรือทวนกระแส ครูบาอาจารย์ยกเอาเรือมาให้ เราต้องเป็นผู้พายเรือ ท่านไม่พายให้เรา...

พระอาจารย์ชยสาโร








#หลวงตามหาบัว
๑. -

ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำดุจผ้าขี้ริ้วซึ่งไม่มีราคา ใครจะเช็ดเท้าหรือเหยียบย่ำไปด้วยดินโคลนของโสโครกหรือสะอาดอันใด ก็ไม่มีความรังเกียจหรือยินดียินร้าย ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ซึ่งทรงลดทิฐิมานะของพระองค์ในการเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ขัตติยราชชาติ สกุล ลงมาเป็นนักบวชอย่างคนธรรมดาสามัญ ถือบิณฑบาตเที่ยวเดินไปตามหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ โดยมิได้ทรงคำนึงว่าอาหารที่ได้มานั้นจะเป็นของดีเลวหยาบหรือประณีตประการใด พระองค์ก็ทรงรับไว้และบริโภคได้ทั้งสิ้น ฉันใดก็ดี ผู้ปฏิบัติทั้งหลายก็ควรจะต้องดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ พยายามปลดปล่อยละวางทิฐิมานะ ถือตัวถือตน ความโอ้อวดในคุณธรรม ความรู้ความฉลาดและชาติสกุลของตน ๆ ว่าเราเป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสิกา เราเป็นคนดี คนวิเศษกว่าคนนั้นคนนี้ เราจะต้องทำตัวให้มีความรู้สึกดุจผ้าขี้ริ้วหรือพรมเช็ดเท้า ยอมรับความดีความชั่วทั้งหลายได้โดยดุษณีภาพ หรือโดยชื่นตาชื่นใจ ถ้าหากเราไม่ยอมลดทิฐิมานะของตนลงต่อเหตุการณ์ของโลกเหล่านี้ได้แล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะก้มหัวลงสู่ข้อปฏิบัติได้อย่างเต็มใจ

๒. -

หลักของการปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ก็คือเราจำเป็นต้องศึกษาให้รู้จักถึงการมาและการอยู่และการไปของตัวเราเอง ให้ชัดเจนดีเสียก่อน คือรู้เรื่องสภาวะความเป็นจริงของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณของเรา ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมไปอย่างไร รู้ลักษณะที่เป็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และรู้ในอริยสัจธรรม ในเรื่องของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าอะไรเป็นทุกข์ เป็นสมุทัย เป็นนิโรธ เป็นมรรค สิ่งเหล่านี้เป็นข้อที่เราควรศึกษา

๓. -

ศีลภายนอกเป็นของที่ทุกคนอาจทำได้ง่าย เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวด้วยการรักษา กาย วาจา ให้บริสุทธิ์สะอาด แต่ศีลภายในคือความสงบแห่งดวงจิต หรือความปรกติของใจ ซึ่งเรียกว่าศีลธรรมนั้น เป็นของที่ทำกันได้ยาก เพราะเกี่ยวด้วยการรักษาให้บริสุทธิ์สะอาด ไม่เศร้าหมอง ฉะนั้น จึงมีอานิสงส์มาก และควรจะพากันบำเพ็ญไว้ให้มีประจำตัวอยู่ทุกคน ศีลธรรมนี้แหละเป็นสิ่งที่จะนำมา ซึ่งความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า

๔. -

ผู้ฟังธรรมอย่ามุ่งหวังตั้งใจว่า เราจะมาจำคำเทศน์ให้ได้ไปหมดทุกถ้อยทุกคำ จงตั้งใจจำเก็บเอาไปแต่เพียงหัวข้อสำคัญ ซึ่งเราจะนำไปใช้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองดีกว่า เพราะคนที่ทรงจำพระไตรปิฎกได้หมดทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ แต่ไปเสียท่าเข้าก็ใช้การอะไรมิได้ เช่นคนที่มีสมบัติตั้งล้าน แต่ตนเองเกิดเป็นบ้าวิกลจริตหรือตายไป สมบัติแสนล้านก้อนนั้นก็หาช่วยทำประโยชน์อันใดแก่ตนได้ไม่ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมถึงจะมีความรู้แตกฉานในอรรถธรรม และมีความทรงจำได้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นคนขาดสติสัมปชัญญะในคราวใดขณะใดแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะตั้งตนให้เป็นคนดีงามและสำเร็จประโยชน์สุขแห่งตนได้

๕. -

จิตใจถ้ากังวลแม้แต่เพียงนิดเดียว ก็เป็นเหตุให้บรรลุความสำเร็จคือมรรคผลนิพพานไม่ได้ ดังเช่นปิงคิยมานพในโสฬสปัญหา ซึ่งมีความคิดถึงห่วงใยในอาจารย์เดิมของตน อยากจะให้ได้มาฟังธรรมของสมเด็จพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างที่ตนได้รับฟังอยู่ใน ขณะนั้นบ้าง ใจที่กังวลในอาจารย์แม้เพียงนิดเดียวเท่านี้ ยังเป็นเหตุให้มานพผู้นั้นไม่สำเร็จในธรรมได้พร้อมกับเพื่อน ๆ ของตนที่เขาได้พากันสำเร็จไปหมดแล้วในครั้งนั้น นี่จึงเป็นข้อควรจำ เป็นคติสำหรับตัวเองในการปฏิบัติจิต หากใจขาดความสงบแม้เพียงเล็กน้อยแล้ว ย่อมไม่สามารถเป็นไปได้เพื่อมรรค ผล นิพพาน

๖. -

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต นี่หมายความว่า ผู้ใดเห็นธรรมก็คือผู้นั้นเห็นใจ ใจเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ฉะนั้น เมื่อผู้ใดเห็นธรรมก็เท่ากับว่าได้เห็นพระพุทธเจ้า ในความบริสุทธิ์ของตน

๗. -

ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ที่เราได้ผ่านมาแล้ว แต่เกิดมาจนบัดนี้ มีอะไรเก็บขังไว้ได้บ้างไหม ฉะนั้น เราจะไปรำพึงรำพัน หรือคร่ำครวญกับความทุกข์ สุข ดี ชั่ว ต่าง ๆ ที่ผ่านไปแล้วนั้น เพื่อประโยชน์อันใด ควรคิดแต่ประโยชน์ปัจจุบัน คือความดีที่กระทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกดีกว่า แม้เหตุการณ์ข้างหน้าก็ไม่สมควรไปคำนึงใฝ่ฝันเช่นเดียวกัน

๘. -

ศีลก็ตาม สมาธิก็ตาม หรือปัญญาก็ตาม ก็คือใจของเรานี้สิ่งเดียว เปรียบเหมือนเชือกหนึ่งเส้น จะมีสองเกลียวหรือสามเกลียวก็ตาม ก็ย่อมรวมลงเป็นเชือกเส้นเดียวกันนั่นเอง

๙. -

ไฟเป็นของร้อนโดยธรรมชาติ ถ้าเราไม่เข้าไปใกล้หรือจับมัน เราก็จะไม่รู้สึกร้อนฉันใด ใจของเราถ้าอยู่เฉย ๆ ตามลำพังของมัน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับเหตุการณ์ภายนอกทั้งหลายแล้ว เราก็จะไม่มีความทุกข์อันใดเลย ความทุกข์เกิดจากใจของเราเข้าไปยึดถืออารมณ์ภายนอกว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหตุนั้นเราจึงต้องได้รับความเดือดร้อน

๑๐. -

ใจที่ยังมองไม่เห็นสภาพความจริงของทุกข์ ก็เหมือนกับเราเห็นวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งในครั้งแรก เราย่อมจะมองเห็นรูปร่างของมันไม่ชัดเจนดี ต่อเมื่อได้จับต้องวัตถุนั้น ๆ มาวินิจฉัยดูนาน ๆ อย่างใกล้ชิด เราจึงจะมีความรู้ในสิ่งนั้น ๆ และคลายความสนใจในรักชังฉันใด เมื่อได้วินิจฉัยร่างกายของเราดูอย่างจริงจังด้วยสมาธิและปัญญาแล้ว ก็จะเป็นหนทางคลี่คลายจิตใจของเราให้เบื่อหน่ายจืดจางต่อความทุกข์ สุข ดี ชั่วทั้งหลายได้

๑๑. -

ผู้ใดปฏิบัติรักษาศีล ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือศีล ผู้ใดปฏิบัติสมาธิ ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือสมาธิ ผู้ใดเจริญปัญญา ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือปัญญา ต่อจากนี้วิมุตติญาณทัสสนธรรมก็จะต้องตกเป็นสมบัติของผู้นั้นโดยไม่ต้อง สงสัย ฉะนั้นถ้าเราเป็นผู้พิจารณาตัวเราเองอยู่ทุกเวลา ทั้งในกลางวันและกลางคืนแล้ว เราก็ต้องเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ และปัญญาสมบัติ แล้วผู้ที่จะวิมุตติจะเป็นใครที่ไหน นอกจากตัวเราเอง

บันทึกธรรมของท่านอาจารย์ที่แสดง
ณ วัดอโศการาม
เมื่อวันที่ ๒๐–๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒
(แม่ชีมธุรปาณิกา บันทึก)







อย่าเห็นทุกข์สมุทัยเป็นคนละคนนอกจากตนไป และอย่าเห็นนิโรธมรรคเป็นมิตรสหายมาจากต่างดาว พึงทราบว่าอริยสัจทั้งสี่เป็นลวดลายของจิตดวงเดียวของคนๆ เดียวเท่านั้น

ที่ถูกแท้ไม่ได้เอาที่ความเห็นชัดและไม่ชัดในขันธ์ 5 แต่เอาที่เห็นชัดด้วยปัญญา เพราะพ้นจากทุกข์ด้วยปัญญา ที่เห็นชัดในไตรลักษณ์ อันเกี่ยวกับการพิจารณาขันธ์ เอวํ.

#หลวงตามหาบัว







#ละกิเลส #ละภพ #ภาวนาดับความคิด

ทุกความคิดที่มีอารมณ์ ความคิดนั้นเป็นภพขึ้นมาแล้ว วิธีปฏิบัติ-หยุดความคิดนั่นเอง

ความคิดไหนไม่มีอารมณ์ ความคิดนั้นมันจะแยกแยะให้เห็นเหตุเห็นผล อันไหนสุข อันไหนทุกข์ อันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ ไม่มีอารมณ์ มันจะเห็นของมันเองหรอก เห็นไปเรื่อยๆ

#หลวงพ่อมานพ #พุทธครุโต






#ที่สุดแล้วก็ทิ้งเหมือนกัน

อย่าไปเอาอภิญญาเลย พอจิตสงบแล้วพิจารณาร่างกายสังขาร ให้เอาวิปัสสนาดูมันเกิดดับตรงนี้ มันก็ไปได้เท่านั้น

ความเป็นจริงแล้ว ไม่ต้องย้ำอะไรมันมากมาย คนที่มีปัญญาแล้ว พอเราเพิกถอนสมมุติที่เขาสมมุติกันนี่ เพิกถอนมันออกซะ ให้มันหมด ให้มันเป็นวิมุติ

วิมุติ คือมันพ้น มันว่างจากสิ่งสมมุตินั้น สิ่งสมมุติว่ามันเป็นนั้น แต่เราเพิกสิ่งสมมุติที่มันเห็นอยู่ ให้เป็นตัววิมุติอย่างงั้น ให้มันพ้นจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นี่ให้มันรู้จุดของเจ้าของ ไม่ต้องตามอะไรมันไปมากมาย เท่านี้ก็พอแล้ว

ปัญหาอันนี้มันยุ่งหลาย บางคนก็ทำยาก คือคิดจนเกินไปซะ เลยไม่ถูกเรื่องเลย คิดว่าจะทำมากๆ มันดี อะไรมันดี มันมากอย่างไรจนไม่รู้จักว่ามากน้อยมันเป็นอย่างไร

ก็เหมือนกะเศรษฐีกับคนจน เศรษฐีมันดี มันดียังไง คนจนมันจนยังไง ผลที่สุดเมื่อดูแล้วมันก็เท่ากัน ที่สุดแล้ว มันก็เป็นอย่างงั้น อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

คิดชั่วคิดดีไม่ใช่ทั้งนั้น ถ้าใช่มันจะหมดเหรอ ถ้าถึงที่สุดแล้วอันนี้ ไม่เหลือ

อย่าตามสังขาร อย่าตามความปรุงแต่ง เราตามสังขารว่ามันเป็นปัญญา ไอ้ความรู้นั่นก็ไม่ใช่ ทิ้งมันเหมือนกัน

#หลวงปู่ชา #สุภัทโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร