วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2022, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์โลกเกิดมา..เพราะกรรม ?

“..บางคนเกิดมาไม่รู้จักศาสนา เพราะชาติก่อนเขา
มีนิสัยมาจาก..สัตว์เดรัจฉาน
บางคนเกิดมาสร้างแต่..ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เพราะชาติก่อนเขา มีนิสัยมาจาก..นรกมาเกิด

บางคนเกิดมา..รู้จักเสียสละ ทำบุญให้ทาน
รักษาศีลภาวนา เพราะชาติก่อนเขามีนิสัย
มาจาก..สวรรค์มาเกิด บางคน..เกิดมายากจน
เพราะชาติก่อนเขา..ไม่เคยคิดเสียสละทรัพย์สิน
เงินทองข้าวของ ทำบุญให้ทานแก่ผู้อื่น
กรรมจึงจำแนก..ความเป็นอยู่ของแต่ละคน
ให้มีความเป็นอยู่..ที่แตกต่างกันไปต่างๆนานา..”
.............................................................................
โอวาทคติธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
(หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป)







" หลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังนิทานในพระพุทธศาสนาเรื่องหนึ่งที่ชายสองคนเป็นสหายรักใคร่กัน ครั้นตายไปคนหนึ่งไปเกิดเป็นเทวดา คนหนึ่งไปเกิดเป็นหนอนในส้วม คนที่เป็นเทวดามองหาเพื่อนเห็นอยู่ในส้วมก็ลงไปแสดงตนให้คนที่เป็นหนอนรู้ และชวนว่าจะพาขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนวิมาน ได้รับคำปฏิเสธจากหนอน โดยให้เหตุผลว่าไปอยู่วิมาน ให้โง่ทำไม อยู่ส้วมสะดวกสบายทุกอย่าง มีอาหารกินตลอดเวลา ไม่ขาดแคลนเลย และไม่ต้องแสวงหาให้เหนื่อยยากด้วย

ผู้นับถือพระพุทธศาสนาที่ทอดทิ้งการปฏิบัติตามพระบรมศาสดา ก็ด้วยเป็นว่าเหนื่อยยาก ไม่ได้อะไรดีไปกว่าลำบากอย่างเดียว เปรียบก็ไม่ผิดกับผู้ไปเกิดเป็นหนอนในส้วมนั่นเองกินอาจเอร็ดอร่อยเหมือนกินกิเลส คนดีที่ไหนเล่าจะไม่รังเกียจ แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมมีคนดีที่เหมือนเทวดา ผู้ปรารถนาดีต่อหนอนในส้วม อุตสาหะพยายามชักชวนให้หนอนทิ้งส้วมขึ้นสู่วิมาน

ขอฝากท่านทั้งหลายผู้มีหน้าที่เทิดทูนพระพุทธศาสนา จงมีเมตตา พยายามช่วยผู้หลงผิด เช่น หนอนในส้วม ให้ขึ้นสู่วิมาน ให้สำเร็จแม้เพียงจำนวนน้อยก็ยังดี เพราะคนดีเพียงคนเดียงเป็นคุณเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่โลกได้
#โลกกำลังมืดเข้าทุกที #ช่วยกันสร้างคนดี
ก่อนอื่นคือสร้างตนเอง มองตนเองให้ตรงตามจริง ว่ากำลังเป็นเทวดาบนวิมานหรือเป็นหนอนในส้วม นี้เป็นความสำคัญที่ขอฝากไว้ให้เป็นพรวันวิสาขบูชา เพื่อผลสำเร็จงดงามในการสร้างแสงส่องโลกให้พ้นจากความมืดที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด"

--- แสงส่องใจ ฉบับวิสาขบูชา วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๘
พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






"..เรื่องที่พูดกัน ก็พูดแต่เรื่องการปรุงแต่งของกริยามารยาท ของความรู้สึกที่เป็นเพลิดเพลินเท่านั้น

อย่าไปมองว่าคนนั้นดี คนนั้นเลว คนนั้นเกลียดเรา คนนั้นรักเรา ถ้าเรามองในแง่อย่างนี้ เราจะหลงไปในทิศทางมืด

ถ้าเราวางความรู้สึกของเราในสภาพว่าเป็นสภาวะธาตุ สภาวะขันธ์ มันเป็นกฎธรรมชาติแล้ว จะทำให้เรามีอารมณ์เป็นปกติ…"

#พระเทพวชิรญาณ (เลี่ยม ฐิตธมฺโม)
วัดหนองป่าพง






“ถ้ารอเวลาตายนี้
จะมีแต่บุญกรรม
ที่จะฉุดเราไป
ทำไมไม่สมมุติ
ว่าเราตายไปเสียแต่วันนี้
ตายจากทุกสิ่งทุกอย่างไป
เราก็จะได้ไปปฏิบัติ
ได้เดินทางไป
สู่พระนิพพานได้”

#คติธรรม
#พระจุลนายก
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







…ต้องปล่อยวาง อย่าไปอยาก
สิ่งนั้นสิ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป
ถ้าไม่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ได้
ก็อย่าไปแก้ให้เหนื่อยไปเปล่าๆ

.ถ้ายังแก้ได้ก็แก้ไป
ถ้าสั่งไม่ให้ผมหงอกได้ก็สั่งไป
ถ้าสั่งไม่ให้หนังเหี่ยวได้ก็สั่งไป
ถ้าสั่งไม่ได้…ก็อย่าฝืนธรรมชาติ
อย่าไปทำศัลยกรรมตกแต่ง

.เวลาพูดธรรมะทีไร
มักจะไปโดนใจคนฟังทุกที
เมื่อเช้าพูดเรื่องการอดสุราอดบุหรี่
ก็มีคนมาบอกว่ากำลังจะอดพอดี
พอฟังแล้วก็ได้อุบาย

.แล้วก็มีภรรยาพาสามีมาหา
ถือดอกไม้ธูปเทียนมาตั้งสัจจะอธิษฐาน
ให้หยุดดื่มสุรา
เพราะเวลาดื่มแล้ว จะอาละวาด ฝสร้างความเดือดร้อนให้กับภรรยา

.เราก็บอกว่าให้เห็นโทษของการดื่มสุรา
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ทั้งกับตัวเรา และกับผู้อื่น
ถ้าไม่หยุดดื่ม..ก็จะต้องสูญเสียคนที่รักไป

.เพราะจะทนอยู่กับเราไม่ได้
แล้วก็บอกภรรยาว่า ..ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ไปดีกว่า
ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลกนี้
“ คนดีๆไม่เอา ไปเอาคนไม่ดีทำไม “.
………………………………………
.
กำลังใจ ๕๘ กัณฑ์ที่ ๔๔๕
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






"ทานเป็น​เบื้องต้นแห่งบุญ​ ... ทำทานภายนอกแล้ว​ ให้สละทานภายในด้วย ... ทานความโลภ​ ความโกรธ​ ความหลง นั่นเป็นสุดยอดแห่ง​ทาน ... วันนี้จิตเรามีกุศล​ หรือ อกุศล​ มากกว่า​กัน ให้หมั่นพิจารณา​ ... รู้จักสอนตัวเองให้เป็น"

#พระราชวชิรเขมคุณ
หลวง​ปู่​อว​้าน​ เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร






"เสื่อมก็จงรู้ตาม เจริญก็จงรู้ตาม
เผลอ หรือไม่เผลอ ก็จงตามรู้ทุกอาการ
จึงจัดว่าเป็นนักค้นคว้าความรู้เท่าในอาการ
เกิดๆ ดับๆ ของสิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญาเสมอไป
นั่นแล จัดว่าเป็นผู้รู้เท่าทันโลก และเรียนโลกจบ
จึงจะพบของจริง"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน






"เมื่อเกิดแล้ว ทุกชีวิตมีทุกข์ติดมาพร้อมแล้ว
น่าสงสารทุกชีวิต เราก็น่าสงสาร เขาก็น่าสงสาร
น่าสงสารทุกเวลานาที

พึงนึกถึงความจริงนี้ และมีเมตตาต่อทุกชีวิต
ทุกเวลาเถิด ความร้อนจะคลายได้ ด้วยอำนาจ
ของความเย็นแห่งเมตตา ทั้งความร้อนของเขา
ความร้อนของเรา และความร้อนของโลก"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ








สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ ไม่ได้ปรุงเลย มันเป็นของมัน เกิดเอง ก็ดับเอง สุดยอดเลยตรงนี้ หยุด แล้วรู้ตัว ไม่ต้องอาศัยเหตุผล นี่คือตัวปัญญา

เราเคยชินแต่กับปัญญา ชนิดที่สามารถอธิบายแยกแยะอะไรได้มากมาย หลวงปู่ฝั้น ท่านว่าจะอยากได้ไปทำไม ปัญญาแบบนั้น นั่นมันเป็นปัญญาความคิด เรียกว่าสุตมยปัญญา แต่จริง ๆ แล้วตัวรู้ตื่น สัมปชัญญะนี่ต่างหาก คือตัวปัญญา

ตรงนี้สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต มันก็ตั้งมั่นแล้ว ศีล คือความปรกติก็มีแล้ว ปัญญานั้นมันก็ตัดแล้ว สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ ไม่ได้ปรุงเลย มันเป็นของมัน เกิดเอง ก็ดับเองสุดยอดเลย ตรงนี้

ให้พยายามทำความรู้สึกตัวประจำ ๆ รู้สึกตัวมาก ๆ รู้สึกตัวบ่อย ๆ รู้สึกตัวถี่ ๆ เสมอ ๆ ความรู้สึกไปอยู่ตรงไหน จิตมันก็อยู่ตรงนั้นและจิตอันนั้นแหละคือพุทธะ

อันที่จริง จิต - วิญญาณ - ผู้รู้ ก็คล้ายเป็นตัวเดียวกัน ผู้รู้คงที่ไม่เคยหายไปไหนหรอก แต่อาการมันเปลี่ยนไป ๆ มันก็ออกจากตัวเดิมนั่นแหละ มันออกไปจับตัวนั้น ตัวนี้ จับอารมณ์นั้นที จับอารมณ์นี้ที คือจับสิ่งที่มากระทบ

ให้เราเอา "ตัวหลัก" มาอยู่กับตัวหลักนี้ ให้มีหลักคือมีสติมีความรู้สึกตัวตรงนี้ รู้แล้วก็วางไม่เอา มาทำอย่างนี้เอาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ให้เอา แต่นี่เป็นจุดเปลี่ยน เป็นมรรค แค่นี้เองมรรครู้เฉยๆนี่แหละ

สมาธิ มันก็ตัวนี้ ปัญญา ก็อยู่ตรงนี้แหละ ตรงนี้เองเราจะเห็นสิ่งทั้งหลายเกิดดับ อันไหนเกิด อันนั้นดับ อันไหนเกิดอันนั้นดับนี่เป็นปัญญา

เมื่อเรามีจุดยืนตรงนี้แล้วเราก็ไม่ต้องไปหาตรงไหน ง่ายเลยไม่ยาก ไม่มีอะไรพิสดาร ไม่ฟุ้งเฟ้อ

ไปรู้ ไปเห็นภายนอกก็ไม่ใช่ ไปรู้ไปเห็นจิตคนอื่น มีฤทธิ์ มีเดช เหาะเหิร เดินอากาศได้ แสดงฤทธิ์ได้ ก็ยังไม่ดับ ก็ยังไม่พ้น

แต่ตัวนี้ดับได้เป็นปัจจุบันตลอด ทำได้ก็ดับได้ในปัจจุบัน ไอ้ตัวที่มันเคลื่อนมาแล้วผ่านไปนั่นเป็นเพียงอาการ มันจะออกเป็นอดีต ไปอนาคต ถ้าไปอดีต ไปอนาคต มันไม่ใช่ เมื่อเราเห็นความเกิด - ดับ นี่คือเห็นอริยสัจ

เราไม่ต้องไปจำแนกไม่ต้องสมมุติตั้งชื่อให้มันเห็นชัดหรือไม่ชัดก็ไม่เกี่ยว เอาเท่านั้นมีเท่านั้นให้เป็นปัจจุบัน และมีเท่านี้จริงๆง่ายๆเลย

ตรงนี้มันไม่มีการปรุงแต่ง เป็นความรู้สึกตัวตรงๆเลย ความรู้สึกตัวนี้มันไม่มีความปรุงแต่งมันแค่นั้นจริง ๆ

พระอาจารย์ประทีป ธีรปัญโญ วัดป่าหนองม่วงประโคนชัย บุรีรัมย์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร