วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2022, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิปทาของท่านพระอาจารย์ตั๋น ถิรจิตฺโต

อาตมาพูดได้เลยว่า เลือด เนื้อ เอ็น กระดูกของอาตมาเนี่ย ที่อยู่ทุกวันนี้เพราะปัจจัย ๔ ของญาติโยม เนี่ยถึงทรงตัวอยู่ได้ แม้นบวชใหม่ๆก็คิดแล้ว ฉันเสร็จก็ไปเดินจงกรมนะ เดินจงกรมชั่วโมงนี้ให้ญาติโยมที่ไม่รู้จักเลย เราไปอยู่อีสานเป็นพระใหม่มองไปไหนก็ไม่รู้จักไม่ใช่ญาติในปัจจุบันนี้เลย แต่เป็นญาติทางธรรมที่มีศรัทธาต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อาศัยความดีของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์อาศัยความดีของพระพุทธเจ้าสืบต่อมา

เขาไม่ใช่ญาติเราเลยนะที่มาทำบุญเนี่ย เราทำไงฉันเสร็จ? ไม่ได้...จะเป็นหนี้ชาวบ้านนะ เค้าอุตส่าห์มาถวายภัตตาหาร เราฉันอิ่มแล้วน่ะมีกำลังกายแล้วเนี่ย เราต้องไปเดินจงกรม เดินจงกรมชั่วโมงนั่งสมาธิชั่วโมงนอกนั้นก็เป็นกำไรของเราแล้วเนี่ย เราต้องให้เค้าทุกวันเลยให้ทุกวันเลยนะนั่งสมาธิเดินจงกรม แต่ไม่ได้ทำชั่วโมงนั่งสมาธิชั่วโมงนะ มากกว่านั้น เวลาว่างทั้งหมดจะนั่งสมาธิเดินจงกรมตลอด เนี่ยเพราะเราสู้กิเลส ทำความพากเพียรตลอด ตื่นตั้งแต่ตี ๒ เดินจงกรมทำกิจธุระส่วนตัว ๑๕ นาที เดินจงกรม ๔๕ นาที ตี๓ ตี๔ นั่งสมาธิรอเวลาทำวัตรสวดมนต์ ตี ๔ เนี่ยกิจวัตรประจำวันนั้นทำวัตรสวดมนต์เสร็จ จัดอาสนะที่ฉันทำความสะอาด เตรียมตัวบิณฑบาต รอเวลาบิณฑบาตหาที่หลบมุมนั่งสมาธิอีก นี่เก็บหมดเลย เรารู้ว่าเดี๋ยวเดินบิณฑบาตชั่วโมงหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้วแต่แต่ละสาย เรารู้ว่าเดี๋ยวไปเดินจงกรม ไม่ใช่เดินเล่น ไม่ใช่เดินปล่อยจิตปล่อยใจนะ มีสติคุมจิตตลอด เดินจงกรมไปบิณฑบาตไปกลับเห็นอะไรก็พิจารณาเป็นธรรมหมด นี่กลับมามีเวลาทำกิจธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้าที่นั่งเตรียมรับภัตตาหาร นั่งสมาธิอีก มีแต่ทำสมาธินะ เข้าสมาธินั่งรอเวลาแจกภัตตาหาร แจกภัตตาหารพิจารณาภัตตาหารอีก เนี่ยไม่ให้กิเลสออกเลย

#วันใดที่ฉันภัตตาหารด้วยความอยากเราจะไม่ฉัน พิจารณาอาหารให้จิตเป็นกลางให้จิตเป็นอุเบกขา พิจารณาไม่ทันเข้าสมาธิให้จิตเป็นอุเบกขามีสติในการฉัน นี่มีสติตลอด เผลอสติเป็นเรื่องปกติไม่ต้องคิด ให้คิดถึงว่าช่วงที่มีสติจะคุมไว้ตลอด เรื่องเผลอสติคงจะมีบ้าง เนี่ยฉันเสร็จก็สำรวม กราบพระล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จตากผ้าเสร็จเก็บบริขารเสร็จ เดินจงกรมนั่งสมาธิ จะนอนกลางวันก็นอนไม่ได้ เพราะอะไร? กลัวขาดสติ แค่นั้นเองกลัวขาดสติ คิดว่าไปนอนตอนตายดีกว่า นอนมามากไม่เห็นพ้นทุกข์เลย นี่คิดแบบนี้นะ

ฟังธรรมหลวงพ่อชาว่า พระภิกษุเรานอนวันละ ๔ ชั่วโมงก็พอแล้ว จับเลยนะ เข้าไปบวชใหม่ ๔ ชั่วโมง วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง จะแบ่งยังไงดี แบ่งยังไงๆ คิดไปคิดมา นอน ๔ ทุ่มดีกว่า ตื่นตี ๒ ๔ ชั่วโมงพอดี กลางวันก็หมดเวลาแล้วสิ ก็นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๒ กลางวันก็ไม่ยากก็ไม่ต้องพัก เอากลางคืน ๔ ชั่วโมงนี่แหละ เนี่ยเป็นปฏิปทาของเราเลย นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๒ นอน ๔ ชั่วโมง กลางวันไม่ต้องพักกลัวขาดสติ ฉันเสร็จก็เดินจงกรมนั่งสมาธิ คิดดู ๙ โมง ๙ โมงครึ่งก็เสร็จแล้ว เดินจงกรมนั่งสมาธิถึงบ่าย ๓ ไม่ทำอะไร งานภายนอกไม่เอา เนี่ย..จะติดมั๊ย? ติดก็ติด ใครว่าติดก็ติด ติดซี่.. มันสงบนี่มีปีติมีความสุข มีอุเบกขาใจสงบเย็น เดินไม่เมื่อยนั่งไม่เมื่อย เข้าสมาธิไปถึงบ่าย ๓ เนี่ย เดินจงกรมนั่งสมาธิไม่ทำอะไรนอกจากฉันน้ำ หรือทำธุระเข้าห้องน้ำ บ่าย ๓ ทำกิจส่วนรวมเสร็จ ไปเดินจงกรมอีก ถึงเวลาเย็นก็สรงน้ำ สรงน้ำเสร็จก็มานั่งสมาธิ ร่างกายสะอาดเตรียมไปทำวัตรสวดมนต์ ๓ ทุ่ม ก็ไปเดินจงกรมนั่งสมาธิ พัก ๔ ทุ่ม

บางวันไม่รวมตอนเย็น เดินจงกรมนั่งสมาธิ ๖ โมงเย็นถึง ๔ ทุ่ม ใช้ภัตตาหารของญาติโยมคุ้มมั๊ย? เดินจงกรมนั่งสมาธิถึง ๔ ทุ่ม นี่.. ๘๐ เปอร์เซ็นต์นะ วันหนึ่งนั่งสมาธิเดินจงกรมไม่ต่ำกว่า ๘ - ๙ ชั่วโมงหรอก อีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ บางทีป่วยอาพาธก็นอนมากหน่อย บางทีพักกลางวันครึ่งชัวโมง ๑ ชั่วโมง ถ้าอาพาธ ทีเร่งความเพียรวันพระเนสัชชิกไม่นอน บางทีก็นอนชั่วโมง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะภัตตาหารของญาติโยมมาหล่อเลี้ยงร่างกายเรา เอาร่างกายนี้มาบำเพ็ญเพียร มันก็คงมีอานิสงส์บ้างไม่มากก็น้อย

หลวงพ่ออัครเดช(ตั๋น) ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
เทศน์ในวันงานพิธีถวายผ้ากฐิน ณ วัดบุญญาวาส วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๓






ใครนั่งสมาธิไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่ร้อนรนมาก นั่งสมาธิภาวนาไม่อยู่ก็แสดงว่าจิตใจระส่ำระสายมาก จับธรรมคำบริกรรมไม่อยู่ก็แสดงว่ากิเลสมันรุนแรง ธรรมมันน้อย ทำขึ้นมาแล้วมาวัดดู จิตใจเราส่ายแส่ไปทางไหน จิตใจเรามั่นคงเพียงใด เราจะรู้ขึ้นมา

ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกตัดสินด้วยกรรมการคือใจ เราแพ้เราก็รู้ว่าเราแพ้ เราชนะเราก็รู้ว่าเราชนะ เราอยู่กับธรรมเราก็รู้ว่าเราอยู่ เราจับคำบริกรรมไม่ได้เราก็รู้ว่าเราหมดท่า เท่านี้เอง มันก็เป็นสันทิฏฐิโกในตัวเจ้าของอยู่แล้ว รู้เอง เห็นเอง เป็นเอง เข้าใจเอง เจ้าของบอกเจ้าของ ตัวเองรู้ตัวเองอยู่แล้ว

เหมือนกับทานข้าว เวลาเราอิ่มเราเคยไปถามคนอื่นบ้างไหม ก็ไม่เห็นต้องถาม เมื่ออิ่มแล้วก็รู้ตรงนั้นเอง ไม่อิ่มก็ต้องทานไปอีก มันก็รู้ไปทุกขณะ ๆ

เราปฏิบัติต่อใจ ใจก็รู้อยู่แล้ว เป็นสันทิฏฐิโกอยู่แล้ว รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง เวลาเราทุกข์ก็ยังไม่เห็นต้องถามคนอื่น เวลาสุข อย่างดีก็บอกว่า ฉันมีความสุข มันไม่ต้องถามใครหรอก มันบอกตัวเจ้าของอยู่เอง ไม่ว่าความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ความสบาย ไม่สบาย มันอยู่ที่ตัวเจ้าของอยู่แล้ว มันจะไปถามใคร มันก็อยู่ในหัวใจเราท่านทั้งหลายแต่ละคน ๆ อยู่แล้ว

นี่ก็ได้จากการทำวัตร เอาธรรมขึ้นมาวัด เหมือนปรอทวัดความชื้น ความร้อน ความเย็นของอากาศ ความเย็นมาก อุณหภูมิความร้อนก็ลดลง อุณหภูมิความร้อนมากขึ้นมาเท่าไร ความเย็นก็หายไป ๆ

เหมือนเราภาวนา สร้างบุญ การสร้างบุญอยู่ตรงไหน การทำบาปอยู่ตรงไหน เมื่อเราสร้างบุญขึ้นมา มันก็ละบาปไปในตัว ไม่ใช่จับมันออกไป ความเข้าใจอย่างนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริง เหมือนเราอยู่กับธรรมคำบริกรรม ก็ปฏิบัติธรรมอยู่ตรงนั้น มันก็ทำบุญอยู่ตรงนั้น ทำดีอยู่ตรงนั้น มันก็ละความไม่ดีไปในตัวนั่นล่ะ ไม่ใช่จับความดีเข้ามา จับความชั่วโยนออก มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก

ใจถ้าอยู่ในธรรมคำบริกรรม มันก็อยู่ในความดีอยู่ตลอดนั่นเอง ถ้าใจไร้ธรรมคำบริกรรม ก็เท่ากับเอาฟืนเอาไฟ เอากิเลสมาเผาไหม้ มันก็เหมือนกับฝ่ามือพลิกไปพลิกมาอยู่ เอาธรรมเข้าไปวัด จะได้รู้เห็น มันจะเป็นไม่เป็นก็อยู่ที่หัวใจเราท่านทั้งหลายทุกคน จะรู้ไม่รู้มันก็อยู่ที่นี่ รู้ก็อยู่ที่นี่ ไม่รู้ก็อยู่ที่นี่ บุญก็อยู่ที่นี่ บาปก็อยู่ที่นี่ มันไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ไม่ได้อยู่ที่ท้องฟ้าอากาศที่ไหน มันอยู่ที่ใจ

ถ้าเราทำความรู้สึกกับตัวเจ้าของ เอาธรรมมาวัดดู ถ้าเรารู้ว่าความดีของเรามีอยู่แค่ไหน ก็บ่งบอกว่าความไม่ดีมันได้ออกไปแล้วในขณะนั้น ถ้าเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี อารมณ์ที่ไม่ดีเต็มหัวใจ ก็แสดงว่า บุญเราหายไปแล้ว

พระอาจารย์โสภา สมโณ
๔ มิถุนายน ๒๕๖๕





..หลวงปู่สิมมักจะเทศน์อยู่ ผู้รู้อยู่ ณ ภายใน นั่นคือตัวจิตดั้งเดิม อย่าเอาจิตส่งออกนอก ให้จิตส่งเข้าใน ผู้รู้อยู่ ณ ภายใน นี่หลวงปู่สิมท่านสอนนะ ผู้รู้แท้ๆมันไม่ออกมา มันอยู่นิ่ง อันนั้นวิญญาณที่มันออก ตัวแท้มันจะอยู่ข้างใน ให้รู้อย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติเอาเถอะมันจะเห็น ไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้คุยสารพัด ไม่ได้เรื่อง ต้องนิ่งดูจิตให้มันรู้อยู่ข้างในอย่าส่งออก ใครทำอะไรเรื่องของเขาเราไม่ยุ่ง
..ที่ว่าจิตหลอกนี่เราโดนมาเยอะ จะหลอกให้สึกหลอกให้ไปอยู่บ้าน ไม่เอา รู้ทันมัน ให้ภาวนา จะไปยุ่งกับบ้านกับช่องไม่ไป ร้านอยู่ลำปางน้องก็มาดูหลวงพี่อยู่อย่างไร ดูสักหน่อย ดูเสร็จเขาก็กลับ เราก็อยู่เฉยๆ ดูจิตดูใจเอาสิ ดูให้รู้เท่าแล้วปล่อยวาง มันไม่มีอะไรสักอย่าง กายเขากายเราเหมือนกัน อย่าดูแต่กายเขา กายเราก็สกปรกเหมือนกัน เราต้องย้อนมาดูเอง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่กวง โกสโล วัดป่านาบุญ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่..







เราไปเก็บอดีตมารังแกเจ้าของ มันคุ้มมั้ย
เราไปเก็บของเก่ามาคิดมานึก มาปรุงแต่ง มันคุ้มมั้ย
มันเป็นแค่ของเก่า
เหมือนกับอาหารที่เราเคี้ยวๆ
แล้วก็ถมออก แล้วเราก็ไปเก็บขึ้นมา
แล้วก็เคี้ยวอีก มันน่าขยะแขยงมาก
เช่นเดียวกันเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
เราก็กลับไปคิด กลับไปนึก
กลับไปปรุง กลับไปแต่ง
มันไม่คุ้ม เราปล่อยวางดีกว่า ทิ้งดีกว่า
อันนี้เป็นการเมตตาเจ้าของ
เราก็ต้องยกโทษ ให้อภัย

#พระราชโพธิวิเทศ
พระอาจารย์ปสันโน ภิกขุ
วัดป่าอภัยคีรี สหรัฐอเมริกา







“ ตามความเป็นจริง “

…การก่อภพก่อชาตินี้
เป็นโทษกับตนเอง

.เพราะเป็นการ
สร้างความทุกข์ให้กับตนเองนั่นเอง

.เพราะเมื่อมีการ..เกิด
ย่อมมีการแก่ มีการเจ็บ มีการตาย
“ มีการ..พลัดพรากจากกัน “ ตามมา.
……………………………………………
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สนทนาธรรมบนเขาชีโอน
20 ธันวาคม 2562






#ระเบียบวินัย
#ทำให้อยู่ในศีลธรรม

"ถ้าคนไม่มีระเบียบไม่มีวินัย
ก็เป็นคนเกเร ไม่มีที่สิ้นที่สุด
ถ้ามีธรรมะ มีธรรมวินัยแล้ว
มันถึงอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม"

หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ
วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดน จ.สกลนคร





"ตราบใด ที่เรายังเปรียบเทียบไม่รู้จักจบสิ้น
ไม่ว่าได้อะไรมา เราก็ไม่มีความสุข"

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล







#หลวงปู่เจี๊ยะ #จุนฺโท
#ตีกายให้แตกด้วยอริยสัจ

ปุยนุ่นที่ล่องลอยไปในอากาศ แม้จะดูเป็นอิสระดี แต่มันก็ยังตกเป็นทาสของกระแสลมเลื่อนลอยไปตามอำนาจของแรงลม

การปฏิบัติของเรานี้ก็เช่นกัน จำเป็นต้องพินิจพิจารณาทางปัญญา ทบทวนแล้วทบทวนเล่า เพราะยังตกอยู่ภายใต้อวิชชา

จิตนั้นคล้ายเป็นอิสระเต็มดวง แต่เรายังไม่วางใจในการพิจารณา จับติดโดยตลอด ด้วยการพิจารณาด้วยการหยั่งทราบ

จิตนั้นเป็นอิสระคล้ายปุยนุ่นที่ล่องลอยไปบนอากาศ ไม่มีอะไรให้มันยึดติด แต่เมื่อมาพิจารณาให้ดีอีกทีหนึ่ง มันเหมือนปุยนุ่นดังที่กล่าวมาแล้ว ต้องพิจารณา ลงที่กาย...

“ตีกายให้แตกด้วยอริยสัจ” นั้นจำเป็นต้องดำเนินไม่ให้เนิ่นช้า

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท






#หลวงปู่เทสก์ #เทสรังสี
#หาใจให้เจอ

หาใจให้เจอ ใจคือความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทาง ชอบ-ชัง ถูก-ผิด ดี-ชั่ว เจอใจที่เป็นกลาง ศาสนาพุทธจบลงเท่านี้

ฝึกหัดสมาธิให้เหมือนชาวนาทำนา เขาไม่รีบร้อน เขาหว่านกล้า ไถ คราด ปักดำ โดยลำดับ ไม่ข้ามขั้นตอนแล้วรอให้ต้นข้าวแก่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นเมล็ดไม่เห็นรวงเลย

แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นของเขาว่า จะมีเมล็ดมีรวงวันหนึ่งข้างหน้าแน่ๆ เมื่อต้นข้าวแก่แล้วออกรวงมาจึงเชื่อแน่ว่าจะได้รับผลแน่นอน

เขาไม่ไปดึงต้นข้าวให้ออกรวงเอาตามใจชอบ ผู้ไปกระทำเช่นนั้นย่อมไร้ผลโดยแท้

การฝึกสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกันจะรีบร้อนข้ามขั้นตอนย่อมไม่ได้ ต้องตั้งจิตให้เลื่อมใสศรัทธาให้แน่วแน่ว่าอันนี้ล่ะเป็นคำบริกรรมที่จะทำให้จิตของเราเป็นสมาธิได้แท้จริง

แล้วอย่าไปลังเลสงสัยว่า คำบริกรรมนี้จะถูกกับจริตนิสสัยของเราหรือไม่หนอ คำบริกรรมอันนั้น คนนั้นทำมันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำแล้วจิตไม่ตั้งมั่นอย่างนี้ใช้ไม่ได้

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร