วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2022, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


#คนเรานี้แปลก​

"... คนเรานี้แปลก​ เอาของจริงคือธรรมะ​ ให้
ไม่ชอบ
... ไปชอบวัตถุภายนอกกันเสียหมด​ ที่พึ่งอัน
ประเสริฐ​ คือ..
... #พระรัตนตรัย​ นั้นประเสริฐอยู่แล้ว​แต่กลับ
ไม่สนใจ
พากันไปสนใจแต่​ วัตถุภายนอก ..."

#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่



"จะอธิบายให้ฟังเท่าที่อาตมารู้เห็นนั่นแหละ อาตมาก็ศึกษาน้อย รู้น้อย การปฏิบัติก็อ่อน แต่ว่า มีแค่ไหนที่จะให้ ไม่ได้หวงอะ จะให้เลย แต่ว่าถ้าจะฟังอีกนัยหนึ่ง ธรรมะที่อาตมาอธิบายเนี่ยมัน มันก็จะผิดจากอาจารย์อยู่หลายองค์เหมือนกัน ตลอดธรรมะปฏิบัติยิ่งแหม บอกว่า ถ้าหากว่าใครไม่เคยได้ฟังอย่างอาตมาว่าเนี่ย เคยศึกษาจากครูบาอาจารย์อื่นๆมาได้ยินเนี่ยตกตะลึงทีเดียว ไม่รู้มันเป็นยังไง ตกตะลึง

เพราะว่าโดยส่วนมากครูบาอาจารย์ที่แนะแนวการปฏิบัติโดยส่วนมากก็เอาร่างกายขึ้นมา ยกร่างกายขึ้นมาพิจารณากัน พิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เค้าเรียกไตรลักษณญาณ3 ไง ผู้ที่เกิดวิปัสสนาญาณได้แก่เห็นไตรลักษณญาณ3

คือว่าเค้าเข้าใจว่า ใครจะสามารถทำสมาธิจนกระทั่งเดินในฌานจนจบ แล้วก็ถอยกลับมาจนตลอด แต่ไม่มีปัญญาเกิด ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผล นี่เค้าเข้าใจกันแบบนี้ ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาลเค้ายังอ้างตำราว่า มีพระองค์หนึ่ง สามารถดำเนินฌานเนี่ย พุ่งเข้าไปตลอดถึง 7 คราว สำเร็จมรรคผลไม่ได้เลย เพราะว่าวิปัสสนาญาณไม่เกิดนั่นเอง เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะเข้าไปถึงแล้วก็ตาม ถ้าวิปัสสนาญาณไม่เกิดแล้วก็ตก ตกเอง ในตำนานยืนยันกันถึงขนาดนี้ จนกระทั่งพระองค์นั้นน่ะท้อใจ ละอายใจ เลยเอามีดโกนเนี่ยมาจะตัดคอตัวเอง พญามารห้ามเลย ห้าม แล้วก็พญามารเนี่ยเข้าไปขอพระพุทธเจ้า ไม่ให้พระองค์นั้นฆ่าตัวเองตาย พระพุทธเจ้าบอกว่า ลูกของเราตถาคตผู้เห็นธรรมไม่เสียดาย อย่างงั้นนะ ว่านะ เลยเอามีดโกนตัดคอตัวเอง เค้าว่านะ พอตัดคอตัวเอง พอคอขาดก็ได้สำเร็จมรรคผล

ทีนี้ไอ้สันดานของอาตมานี่มันเชื่อมั้ยอะ เก้าเล่มก็ยังไม่เชื่ออีกอะนะ ตัวหนังสือเท่ากันกะไอ้ตัวแม่ไก่นี่ก็ยังไม่อ่านมันอีกอะอย่างงั้น ไม่เอา เพราะเป็นจริงไม่ได้ พระพุทธเจ้าองค์เดียวพูดหนึ่งไม่มีสอง กลับกลอกไม่ได้ พระองค์สอนในหลักปาราชิก4 บอกว่าภิกษุนะ ฆ่าคนนะต้องอาบัติปาราชิก เนี่ยภิกษุองค์นี้ฆ่าตัวเองทำไมไม่เป็นปาราชิก สมมุติอย่างพระธรรมเนี่ยฆ่าตัวเองก็เป็นปาราชิกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าองค์เดียวทำไมพูดกลับไปกลับมา ถ้าพระพุทธเจ้าพูดจริงๆ อาตมาคนหนึ่งเดินหนีเลย ไม่เชื่อเลย ไม่ถือเป็นพระพุทธเจ้าหรอก แท้ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น คือว่าไม่เข้าใจในทางฌานของเรา เข้าใจในทางฌานฤาษี หยิบถูกตำราฤาษี ตำราฤาษีเลยเข้าตาฟางเลยมองไม่เห็น

แท้ที่จริงตำราในทางพุทธศาสนา หรือสายทางเดินของพระอริยเจ้าของเราเนี่ย การเข้าฌาน เมื่อเข้าไปถึงนะ เราก็พูดได้เต็มที่ล่ะเอ้า ว่าต้องมีปัญญา เพราะตั้งแต่เบื้องต้นที่เราจะทำลายกามภพชั้นหยาบๆ จนเป็นเหตุให้จิตของเราตกเข้าไปสู่กระแสของสมาธิอันดับที่หนึ่ง ขณิกะ ก็ต้องมาได้ด้วยกำลังของปัญญา จะก้าวจากอันดับที่หนึ่งคือขณิกสมาธิไปสู่อุปจารสมาธิ ก็ต้องไปด้วยกำลังของปัญญา ถ้าไม่อย่างนั้นผ่านไม่ได้ ตายเลยถ้าคนไม่มีปัญญา เพราะว่ามันมีหลุมดักเราอยู่แล้วเช่นภวังคจรณะนี่เป็นหลุมใหญ่ เป็นภพใหญ่ เป็นห้วงใหญ่ มีความสุขเหลือเกิน เทียบเท่ากับโลกทิพย์เลย ถ้าไม่มีปัญญาถอนตัวออกไม่ได้ ความสุขมันมากยิ่งกว่าเราเป็นมนุษย์นี่มาก คือว่าเหนือสำนึกเนี่ยจะสุขแค่ไหน เทียบกะไอ้จิตของเราหยั่งลงไปจนเกือบจะถึงกลางสำนึกเนี่ยเท่าไหร่ มันมีความสุขมาก เพราะฉะนั้นจะทำลายอันเนี้ยไปได้ต้องไปได้ด้วยกำลังของปัญญา ไม่เฉพาะสติผลักดันอย่างเดียว ทีนี้ต่อจากนั้นไปก็ เราสามารถข้ามตรงนี้ไปได้ไปตก..เช่นตัวอย่างอุปจารสมาธิอย่างเงี้ย โอ้โห ไอ้นั่นก็น่าดู ภวังคุบาท ดักเราอยู่แล้วเป็นหลุมใหญ่เลย รู้สึกว่ามีความสุขมากอยู่ ณ สถานที่นั้น ถ้าใครไม่มีความสามารถ หรือสติปัญญาไม่เก่งก็เข็นตัวเองออกไม่ได้เหมือนกัน เมื่อผ่านเข้าไปสู่อัปปนานี่ยิ่งแล้วกัน ยิ่งไปตกฌาน ญาณ แต่ละอันดับเนี่ยน่าดู! อืม

เพราะเหตุนั้นพวกเรามองเห็นชัดกันอยู่แล้วว่าการกระทำสมาธิแบบโลกุตรสมาธิของเราเนี่ย เป็นไปด้วยปัญญา เราลองคิดดูซิเนี่ย ตั้งแต่เบื้องแรกที่เราอยู่ปัจจุบันเนี่ยเราก็มองเห็นได้อันไหนสติ อันไหนปัญญา อันไหนสมถะ อันไหนวิปัสสนา เราเห็นชัด แต่เค้าหาได้อ่านออกไม่ว่า ลักษณะของสมถะคืออันไหน ลักษณะของวิปัสสนาคืออันไหน อันเนี้ยยังเข้าใจไม่ถูกอยู่แล้ว ทำไม๊มันจะไปพูดถูกเล่าธรรมะ ไม่มีประตูแล้ว นี่อันหนึ่ง

แล้วอันหนึ่งเราอย่าไปพูดกันเพียงแค่นั้นเลย มาพูดกันเพียงแค่ที่ว่าความสงบอย่างเดียวเนี่ย ก็ไม่ตรงกันอยู่แล้ว โดยมากเค้าสอนกันคำว่าที่ความสงบเช่นตัวอย่างจิตมันดิ่ง......เฉ๊ย......อันนั้นเค้าว่าสงบ แต่สำหรับอาตมาว่าไม่ใช่สงบ ตกโมหะสมาธิของอาตมา คำที่ว่าความสงบของอาตมาเนี่ยหมายถึงสงบจากบาป อย่างเราสามารถทำลายความรู้สึกของเราซึ่งมันพอใจในทางบาปเนี่ย มันอยากกินเหล้า มันอยากฆ่าคน มันอยากเล่นการพนัน อยากเที่ยว อยากเตร่ อยากประพฤติอนาจารต่างๆ ซึ่งมีความแรงอย่างเนี้ย เราสามารถทำลายความรู้สึกอย่างนี้ได้เสีย แล้วจิตของเราพอใจจะทำบุญให้ทานบริจาค แล้วก็ทำความดี พอใจทีเดียว ถ้าจะทำความชั่วนึกถึงหมู่ ถึงคณะ ถึงครูบาอาจารย์ ถึงกลุ่มของพวกเราที่จับกลุ่มกันประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ กลัวจะเป็นเหตุให้ทำลายหมู่คณะอะไรเหล่านี้ ความคิดของเราพุ่ง..พล่าน อยู่อย่างเงี้ย ตกเข้าสู่กระแสแห่งความเจริญสุวัฒนะ เราพยายามผลักไสความรู้สึกของเราไปอย่างนั้นน่ะ พูดอย่างง่ายๆนะ เมื่อหากเรามีแนวคิดอย่างนั้นเรียกว่าตกกระแสแห่งกุศล แล้วก็พ้นไปเสียจากบาป อันนั้นเค้าเรียกว่าเอกัคคตารมณ์ นี่ของอาตมามีอย่างนี้ แต่สำหรับของเค้าไปดิ่งงงง......อยู่เฉยๆเค้าเรียกเอกัคคตารมณ์ พวกที่ดิ่งอยู่เฉยๆเป็นเอกัคคตารมณ์ทีเนี้ย จะไปเห็นนิพพานทีเนี้ยหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เกลี้ยงงงงงงง....ไม่มีเหลือซักนิดเดียว นั่นเป็นนิพพานเค้า แต่สำหรับของอาตมาที่ทำลายความรู้สึกแบบที่เรียกว่าตกไปสู่อำนาจแห่งบาป หรือตกไปสู่อำนาจฝ่ายต่ำในทำนองเนี้ย ทำลายได้ เราเกิดรักความบริสุทธิ์ น่ะ ความบริสุทธิ์ เจตนาที่บริสุทธิ์ จะทำอะไรมีเจตนาบริสุทธิ์ บริสุทธิ์เรารัก นะ รักความบริสุทธิ์ ทีนี้พอใจในความบริสุทธิ์ พอใจที่จะช่วยเหลือบรรดาพวกเหล่าผู้ปฏิบัตินี้ ให้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติดีได้ รักษาความสงบสุขของหมู่คณะไว้ไม่ให้ตกไปอะไรในทำนองนี้ ความเข้าใจและความรู้สึกเราหนักมาทางนี้เรียกว่าตกเอกัคคตารมณ์ คือตกทางที่เป็นบุญนั่นเอง เพราะแนวคิดของเรา 1.คิดเป็นไปบาป 2.คิดเป็นไปในทางที่เป็นบุญ 3.เฉยๆ เมื่อเราทำลายได้เสียเฉยๆก็ไม่เอา ทางบาปก็ไม่เอา ได้เฉพาะทางบุญ มีแนวคิดพุ่งไปในทางบุญเค้าเรียกตกเอกัคคตารมณ์แล้ว นี่ นี่เป็นแนวที่อาตมาแนะนำ

ทีนี้แนวของอาตมาแนะนำทีเนี้ยจะไปเห็นนิพพานนี่ผิดกันกับเค้า เห็นนิพพานของอาตมาว่าทำลายสิ่งก่อกวนทั้งหมดเนี่ยได้หมดเลย แล้วความรู้สึกของจิตมีความสุขละเอียดอ่อน รู้สึกว่ามีความสุข ความสุขและความรู้สึก ความน้อมเอียงของจิตเนี่ย ทุกคนจะหยิบ หรือนำเอาความรู้สึกมาเล่าสู่กันฟังเนี่ย ใครก็เล่าไม่เป็นน่ะ เล่าไม่เป็น เพราะฉะนั้นท่านถึงบอกว่าให้ผู้ปฏิบัติเข้าไปดูเอาเองท่านบอกงั้น ให้ผู้ปฏิบัติเข้าไปดูเอาเอง พิสูจน์เอาเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติไป ปฏิบัติไปเราไปตกกระแสรู้ทันทีเลย อ้อ..รู้สึกว่าจิตเนี่ยมันนิ่ม มันนวล มัน..บอกไม่ถูก จะเทียบยังไงไม่ทราบ คล้ายกันกับพูดอย่างง่ายๆนะถ้าคนเราทั้งโลกนี่เป็นอย่างนั้นนะ โลกนี้ศิวิไลซ์ ยุคนี้เป็นอริยะยุค พูดแล้วนะ เป็นยุคของพระอริยเจ้าเลย บอกว่ามัน มันบอกไม่ถูก มันนิ่ม มันนวล พูดถึงเรื่องความเมตตาอารีย์กับบรรดาคนทั้งหลายเนี่ย มันไม่ใช่รัก มันเป็นเมตตา แต่ลักษณะของเมตตาและลักษณะของความรัก รักก็ได้เอ้า..แต่มันไม่ใคร่ มันมีความรัก หรือมีความเมตตา แล้วจะสอนกันแต่ละคนแต่ละคนที่จะสอนเนี่ย มันมีความเมตตาและสงสารหยั่งเข้าไปถึงจิตเลย มันไม่เฉพาะที่อย่างที่ว่าพ่อแม่รักลูก สงสาร เมตตา จะสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ซึ่งมองเห็นร่างกายเป็นนิมิต แต่สำหรับผู้มีคุณธรรม มองเห็นจิตใจเป็นนิมิต อยากจะให้จิตใจอันนั้นน่ะได้รับความสุข อยากจะให้จิตใจอันนั้นน่ะกำจัดสิ่งที่มัวหมองดองอยู่ในตัวของเค้าเอง แล้วก็อยากจะให้จิตใจอันนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง อยากจะให้จิตใจอันนั้นพ้นไปจากภพชาติ มองเห็นว่าจิตใจจะต้องมาก่อเกิดเผชิญความทุกข์อีกต่อไป อะไรในทำนองนี้ ความรู้สึกมันซาบซ่าน มันผิดกันบอกไม่ถูก มันคนละอย่างกันจริงๆ

นี่อาตมาถึงกล้าพูดได้ว่าผู้ใดเห็นว่าความสงบอย่างธรรมดาเนี่ย นะ จะเทียบเท่ากับพระอริยเจ้า เท่ากันกับตัวเองได้ชิมลองรสพระนิพพานเนี่ย โอ๊!..คนเนี้ยเข้าใจไม่ถูกและไม่รู้เรื่องด้วย! เป็นคนไม่รู้เรื่องซะเลยแหละอย่างงี้ เพราะว่ากระแสนั้นมันเป็นกระแสที่นิ่มนวล เป็นกระแสที่โอ๊ยบอกไม่ถูก เพียงแค่เราไปได้กระแสสักนิดหนึ่ง กระแสนั้นจะรู้สึกว่าน่าดูอยู่แล้ว ถ้าเข้าไปถึงตัวจริงมันจะขนาดไหน มันนิ่วนวล มัน..ฮู๊!..บอกว่าฉลาดพอจริงๆ มันเป็นอย่างงี้ นี่เป็นของแปลก เพราะฉะนั้นจึงว่าคนที่จะมาเอาความสงบอย่างปัจจุบันปัจจุบันเนี่ย ว่าเป็นปราศจากกิเลส อาตมาจะเอาเหตุผลมาเทียบง่ายๆ อย่าให้อาตมาบาปเถอะ อาตมาจะเอาสิ่งลึกลับมาเล่าสู่ฟัง เช่นตัวอย่างคนนี้เป็นโรคเรื้อนนะ แต่มันไม่เห่อไม่ขึ้นอะนะ มันก็อยู่ปกติเป็นคราวๆอยู่นะ มันจะเห่อขึ้นมาเป็นคราวๆ ...ในระยะที่เค้าปกติลงน่ะปราศจากจริงมั้ย แต่จะว่าเค้าหายแล้ว ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีอาการวิปริต เห็นมั้ย หายแล้ว แต่ขอให้หมอมาพิสูจน์สิหายจริงรึเปล่า แท้ที่จริงมันสงบลง แค่นั้นเอง แล้วต่อไปในวันข้างหน้า เผื่อหากว่ามันจะแสดงขึ้นมาโดยลำพังก็อาจจะแสดงเห่อขึ้นมาก็ได้ หรือบางทีมันอาจจะไปเจอของแสลงก็เห่อขึ้นมา เค้าเรียกโรคเห่ออย่างเงี้ย ทีนี้เมื่อมันหายเห่อ มันสงบก็จะว่ามันหาย มันไม่ได้หาย เค้าเรียกว่าเชื้อมันหลบใน ฉันใดก็ดี ในระยะที่กิเลสมันลุกโฮมมมมม..ขึ้นมา เราก็ว่ากิเลสเสีย เวลามันเข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ คือมันนอนเนื่องอยู่ก็ว่าไม่ใช่กิเลส พอมันไปเจอะอะไรซึ่งเป็นอาหารก็เห่อ!ออกมาเสี๊ย นี่มันอยู่ตรงนี้เอง เพราะนั้นคนที่ยังไม่ปราศจากกิเลสจริง ความรู้สึกของจริง จิตที่จะโน้มเอียงในฐานที่เรียกว่า..มันปราศจากสิ่งเหล่านั้น มันเทียบกันไม่ได้ มันสุขุม ละเอียด มันลุ่มลึก มันนุ่มนวล มันบอกไม่ถูก นี่ผิดกันจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงว่า จะเอารสชาติของพระนิพพานมาเทียบเท่ากับคนที่สงบแบบธรรมดาๆที่กิเลสเข้าไปซ่อนตัวเนี่ย โอ๊ยยย..มันเทียบกันไม่ได้ มันผิดกันมาก มันเป็นอย่างงี้

นี่เล่าถึงเรื่องปฏิปทาการสอนธรรมะปฏิบัติ ที่อาตมาปรารภขึ้นเป็นเบื้องต้นว่า ความเข้าใจเบื้องแรกมันก็ไม่ตรงกัน คือว่าสอนกันไปคนรูปคนละทางกัน แล้วความเห็นก็ไม่ตรงกัน ความเข้าใจไม่ตรงกัน ตลอดนิพพานก็ไม่ตรงกัน เอกัคคตารมณ์ก็ไม่ตรงกัน ความสงบไม่ตรงกัน พูดกันคนละลักษณะไปหมด มันเหมือนกับศึกษาธรรมมาคนละศาสนา มันเหมือนๆกับอย่างงั้นเหลือเกิน พูดไม่เรื่องกันเลย ไปนั่งคุยกันเอ๊ะ นี่มันว่ายังไงกันนี่ไม่เห็นได้เรื่องเลยนี่ อ้าว..เค้าก็มองอาตมาเอ๊..มันพูดยังไงไม่เห็นรู้เรื่องกัน ทำไมมันไปคนละทางกันอย่างงี้เนี่ย มันเป็นถึงขนาดนั้นเชียวนะ โยมตั๋นลองๆไปฟังดูล่ะตกตะลึงเชียวนะ

เออ..ลองๆให้องค์หนึ่งมาบรรยายธรรมเสร็จให้อาตมาขึ้นไปแทรก มองหน้ากันเลย..อ้าว..มันยังไงเนี่ย มันเดินไปคนละทางกันยังไงเนี่ย มันใครหลงโลกกันแน่นอนเนี่ย มันเป็นถึงขนาดนั้นเชียวนะ โอโหย..จะเข้าใจเป็นเล่นไปเลยเนี่ย ห้าอาจารย์ก็ไปห้าเรื่อง แต่โดยส่วนมากอาจารย์ที่เอากายขึ้นมาพิจารณาเนี่ย มากที่สุด แต่สำหรับผู้หาทางสร้างกำลังตปธรรมเข้าทรมานเนี่ย ถ้าใครได้ทราบประวัติของพระพุทธเจ้าจริงๆ จนกระทั่งพระองค์ศึกษาธรรมะจากใคร จากใคร จากใคร จากใคร ไปเป็นลำดับ เป็นลำดับ จนกระทั่งพระองค์ออกจากอาจารย์แล้วมาดำเนินเนี่ย พระองค์ดำเนินแบบไหนในเบื้องแรกที่ออกมาใหม่ๆ แล้วต่อจากนั้นไปพระองค์ดำเนินยังไงจึงเป็นไปเพื่ออาสวักขยวิชา พระองค์ทำยังไง แล้วเอากำลังจากตัวไหนไปอุดหนุนตัวไหน ถ้าใครเข้ามาเข้าใจอย่างนี้ก็เห็นกุญแจในเลย มองชัด!ทางเดิน ชัด พร้อมทั้งเข้าใจในลักษณะของธรรมถูกต้องเลย ชัดขึ้นมาเลย ถ้าใครไม่เข้าใจตรงนี้ล่ะก็ เหลว รับลองเลย รับรอง เพราะเหตุนั้นจึงว่า บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนกันอยู่ปัจจุบันเนี่ย สอนให้ละกิเลสนอก ส่วนในเนี่ยไม่รู้เรื่องกันล่ะ วงในตีไม่เป็นเลย

โยม : จริงเหรอครับ

หลวงปู่ : เนี่ยสอนกันให้ละกิเลสแบบที่เรียกว่ากามภพชั้นหยาบๆส่วนลึกลับ ไม่รู้เรื่อง ฟังดูเพียงแค่เข้าสมาธิไปสู่อัปปนาสมาธินะ ยังไม่ได้อยู่อัปปนาด้วย ยังต้องถอนออกมา มาอยู่ในระหว่างขณิกะ กับอุปจาระ ก็ไม่ใช่ ไม่รู้มันจะจุดไหนกันแน่ แล้วก็ออกมาทำงานกันล๊อกแล๊กๆอยู่ตรงนี้เอง ทีนี้ส่วนกิเลสในสมาธิไม่รู้เรื่องกันเลย แล้วก็ไม่ได้แก้ไข หรือยัง ยังไม่ได้ชิมด้วย พูดโดยตรง..ถึงขนาดนั้น ลองคิดดูก็แล้วกัน นี่อย่าง

อีกอย่างหนึ่งเค้าเข้าสมาธิไปแล้วเค้าถอนออกมามานั่งเล่นอยู่อย่างพวกเราธรรมดา แล้วไม่รู้จะเข้าไปทำไมกัน กำหนดดันเข้าไป ดันเข้าไปอย่างงั้นน่ะ เข้าไป มันเข้าไปได้เหรอ ก็อยู่แช่..อยู่งั้นน่ะ แต่อีบัดที่จะทำงานทำไง ถอนสมาธิออกมามานั่งอยู่เงี้ย นั่งคิดปรุง....เลยเนี่ย นี่อาตมาเคยได้รับมาจากอาจารย์อย่างนี้ก็มี อ๊า..นี่มันยังไงกันอีกนี่วะ มันไปศึกษามาจากไหน ตำนานมันมีอยู่ที่ตรงไหนบ้าง เอ๊เอาตัวอย่างจากใครนี่ว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าองค์ไหนนี่ว่ะ เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโคดมเนี่ย ก็มองเห็นอยู่ชัดแล้วว่าพระองค์เดินไปอย่างงี้ เราชัดเหลือเกินเนี่ย เอ๊ทำไมคนนี้มาพูดอย่างนี้ ไปเห็นมาจากองค์ไหนอีกนี่ว่ะ ไม่รู้เป็นสาวกของใครก็ไม่รู้ ตกตะลึง แต่มองดูเพศก็เหมือนกันกะเรา เอ๊ะ..มองดูท่าทีทั้งหมด จริยาวัตรก็ของเรา แต่แล้วพูดถึงเรื่องธรรมะปฏิบัติ ลักษณะของธรรม อ้าว..ไปคนละศาสนาแล้ว หึ..อย่างงี้มันก็มี ลองคิดดู นะ

ทีนี้อย่างที่อาตมาสอนเนี่ย อุบายวิธีทำลายกามภพชั้นหยาบ อันนี้จิตเราติดคล้ายกันกับว่าจิตแบกสัญญา เราก็แก้แบกสัญญาโดยอุบายวิธียังไง แล้วก็ให้กำลังของสติและปัญญาทำลายแบบไหน แก้แบบไหน แล้วก็วิธีผลักเข้าไปสู่สมาธิชั้นแรกหรือว่าขณิกะผลักแบบไหน เมื่อตกเข้าไปสู่กระแสแล้วมันมียังไง อย่างเงี้ย อาตมาสอนเป็นลำดับๆไปเลย ตลอดวิธีเขยิบขึ้นมา เขยิบขึ้นมา ถ้าพวกเราจะไม่ลืมซึ่งอาตมาบัญญัติศัพท์มาพูดเนี่ยแปลกนะ ศัพท์นี่ไม่ใช่ภาษาทางวัดและไม่ใช่ภาษาเก่า บัญญัติขึ้นใหม่ๆนับไม่ถ้วนเชียวนะภาษาอาตมาเนี่ย บัญญัติขึ้นอะไรเป็นอะไรนนี่มาบัญญัติใหม่ๆนี่ ต้องการอยากจะนำธรรมะที่ลึก นะ มันลึก ดึงขึ้นมาให้ตื้น พวกเราจะได้มองเห็น แล้วก็ศัพท์ที่ลึกลับ พยายามบัญญัติศัพท์ใหม่ๆให้พวกเราได้เข้าใจกัน เป็นศัพท์ที่บัญญัติขึ้นใหม่ๆเยอะแยะหมดเลย ถ้าจำได้ เช่นตัวอย่างเบื้องแรก วิธีสร้างสติขึ้นมาเป็นเบรก อย่างงี้ก็มี แล้วก็บางทีก็บังคับแบบที่เรียกว่ากามาวจรกุศลจิต ทำลายเสียความรู้สึกในทางที่เป็นบาป บังคับเข้าไปสู่ความรู้สึกที่เป็นบุญ อันนี้เป็นเบื้องแรกของผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว ทีนี้พอหากว่าบังคับเข้าสู่ทางที่เป็นบุญมันก็หนักในทางที่เป็นบุญเรื่อยไป นะ หนักในทางที่เป็นบุญเรื่อยไป ส่วนกำลังที่จะพุ่งไปเป็นเบรกบังคับไม่ได้เอาเพียงแค่นั้น ทีนี้กลับพิสูจน์อีกแหละ พิสูจน์เหตุผล ผลเสีย ผลดีอีก ทีนี้ส่วนผลักเข้ามาในทางที่เป็นบุญอย่างนั้นต้องดูความเศร้าหมองของจิตเป็นใหญ่อีกอะ เข้ามาพิสูจน์อย่างนี้ มันละเอียดขึ้นมา ละเอียด ละเอียด ละเอียด ขึ้นมาเป็นลำดับ อาตมาสอนมาไม่ใช่อยู่คงที่ เดินขึ้นเรื่อย ให้ละเอียดขึ้น..ตามผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ นี่มันเป็นอย่างนี้ เออ..สำหรับอาตมาสอนนะ จนกระทั่งกิเลสหยาบที่สุดคือกามภพชั้นหยาบ และกิเลสชั้นละเอียดลงไปอีกชั้นกามภพที่1 กามภพที่2 จนกระทั่งอันดับที่3 ของกามภพ ตามรูปลักษณะ ต่อจากนั้นเข้าไปก็เข้าไปสู่รูปภพ ในลักษณะของรูปภพที่เราไปติดหลงใหลอยู่ในลักษณะนั้น มีอยู่ 4 อันดับด้วยกัน ถึง 4 อันดับ ต่อจากนั้นก็ตกกระแสเข้าไปสู่อรูปภพ ในลักษณะของอรูปภพมีเช่นไร เราก็จะได้เข้าไปทำลายจนกระทั่งก้าวไปสู่ที่สุด เค้าเรียกว่า นิโรธสมาบัติ ได้แก่สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นองค์ที่สุด คือว่าเป็นตัวโลกุตรธรรมองค์ที่9 เนี่ย อธิบายให้ฟังหมดทุกลักษณะ แล้วกิเลสแต่ละตัวที่ก้าวผ่านไปเนี่ยหน้ามันเป็นยังไงบอกเลย ตลอดความรู้สึกของจิตที่ไหวไปแบบนี้หน้านี้แหละกิเลส หน้านี้แหละตัณหา อะไรเหล่าเนี้ย ป้ายให้เลย บอกว่าตัวเนี้ยตีเลย อย่ารอ เขกกระบาลมันเลยในทำนองเนี้ย บอกให้หมดเลย นี่เราเข้าไปทำไมจะไม่รู้ ความรู้สึกของจิตที่ไหวไปอย่างงี้เขกกระบาลได้เลยเนี่ยตัวมัน เนี่ย อย่างงี้ เราจะนั่งสมาธิอ้าว..มันอยากจะให้เดินอะไรอีกล่ะนั่น เวลาเราไปเดินอยากจะให้นั่ง อ้าวเวลาเรานั่งอยากจะให้ดูหนังสือ อะไรเหล่านี้ มันอะไรล่ะที่มันพาไปน่ะ ความรู้สึกอย่างนั้นคืออะไร นั่นแหละพญามาร นั่นแหละตัวกิเลสเขกกระบาลได้เลย โป๊ก..เข้าไปเลย บอกว่าไปมึงว่างั้น อย่ามา บอกว่ารู้หน้ามึงแล้วกิเลส ว่างั้น มันได้เลย เพราะฉะนั้นเรื่องกิเลสเนี่ยท่านสมมุติเอาความรู้สึกของจิตที่เคลื่อนออกไปอย่างนั้น อย่างนั้น เป็นกิเลสต่างหาก มันไม่ใช่ว่ามีตัวเหมือนกันกะลิง เหมือนกันกะชะนีจะวิ่งเข้ามาหาเราเมื่อไร พุทโธ๋ เนอะโยมตั๋นเนอะ(หลวงปู่หัวเราะ) ความจริงนะพูดความจริงกันนะเนี่ย"

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
คัดลอกมาจากส่วนหนึ่งของการเทศน์โปรดโยมล้ำ วันที่ 8 ก.ย. 2509







สวรรค์มีอยู่ นิพพานมีอยู่ ขาดอยู่
แต่ผู้เอาจริง ให้เร่งภาวนา ดูที่ใจ
อย่าส่งออกนอก ส่องดูที่ใจอย่าง
เดียว ดูอะไรๆ ก็ไม่เหมือนดูใจเรา

หลวงปู่เพียร วิริโย







#หลวงปู่มั่นได้เคยเทศนาให้หลวงปู่เทสก์ฟังเป็นใจความว่า

"ถ้าองค์ไหนดำเนินตามรอยของผม จนชำนิชำนาญมั่นคง องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้าอย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดำเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนาน ต้องเสื่อมหรือสึกไป

ผมเองหากมีภาระมากยุ่งกับหมู่คณะการประกอบความเพียรไม่สม่ำเสมอ เพ่งพิจารณา ในกายคตาสติไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยจะปลอดโปร่ง

#การพิจารณา
#อย่าให้จิตหนีออกนอกกาย

อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ก็ อย่าได้ท้อถอยเพ่งพิจารณาอยู่ ณ ที่นี่. ละจะพิจารณาให้เป็นอสุภะ หรือให้เห็นเป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์ หรือให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น

#แต่ให้พิจารณาเพ่งลงเฉพาะเรื่องนั้นจริงๆตลอดอิริยาบถทั้งสี่

แล้วก็มิใช่ว่าเห็นแล้วก็จะหยุดเสียเมื่อ ไร จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะมา ปรากฏชัดในทีเดียวกันดอก"

#หลวงปู่ได้น้อมนำเอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติตาม

ใช้เวลาปรารภความเพียรอยู่ด้วยไม่ประมาทสิ้นเวลา 6 เดือน โดยไม่มีความเบื่อหน่าย ใจได้รับความสงบและเกิดอุบายเฉพาะตนขึ้นมาว่า

"ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น แต่คนเราไปสมมติแล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันจึงต้องยุ่งและเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง"

#ธรรมประวัติ
#หลวงปู่เทสก์ #เทสรังสี







"การหัดนึกย้อนหลัง หัดนึกก่อนทำ
หัดนึกก่อนโกรธ หัดให้มีความรู้ตัว
หัดให้มีความยับยั้ง

การหัดอยู่เสมอ สติจักเกิดมีทวีเป็นลำดับ
จนถึงเป็นสติรอบคอบ ถ้าไม่หัดทำ
จะให้มีสติขึ้นเองนั้นเป็นการยาก เหมือนอย่าง
เมื่อประสงค์ให้ร่างกายมีพลานามัยดี
ก็ต้องทำการบริหารให้ควรกัน"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







“บุญนั้น ไม่สามารถเอาอะไรมาวัดชั่งได้
บางบุคคล ทำบุญไปแล้ว มีความปลื้มปิติ
ยินดีจนน้ำตาไหล ใจมีความสุข
จนร่างกายสะเทือน

ใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มันมีน้ำหนักเท่าไหร่
บอกไม่ได้ เป็นเรื่องของตนเองที่จะรับรู้
ว่าใจมีความสุขแค่ไหน สบายแค่ไหน
เพราะ บุญมันอยู่ที่ใจ”

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร